ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 34 เงินออมส่วนตัว
เมื่อเจิ้งซื่อจื่อเดินมาถึงห้องรับแขกที่เรือนนอก ก็เห็นบุรุษสองคนในชุดคลุมสีดำนั่งรอเขาอยู่แล้ว
เขาจึงเร่งฝีเท้าเข้าไป คุณชายทั้งสองต่างลุกขึ้นต้อนรับ
“เจิ้งซื่อจื่อ”
“อา พี่ชาย ไม่ต้องมากพิธี เรียกข้าเทียนเฉิงเถอะ นั่งก่อน นั่งก่อน”
หนึ่งในชายทั้งสองคนที่มานั้นมีคนหนึ่งที่หล่อเหลาสะดุดตา แน่นอนว่านั่นคือเซียวป๋อเจี้ยน ส่วนคุณชายน้อยอีกคนคือฉีหมินเหอ อาศัยอยู่ที่เดียวกับเซียวป๋อเจี้ยน เขามีใบหน้าทรงเหลี่ยม คิ้วหนา แลดูมีอายุเล็กน้อย
ฉีหมินเหอมาจากกลุ่มเจี่ยงหนานอันยิ่งใหญ่ ชายทั้งสองล้วนเป็นนักศึกษาอันดับต้นของสถานศึกษาหลวง ทั้งยังอายุได้ยี่สิบกว่าปี เป็นช่วงวัยที่ชายหนุ่มล้วนเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นใฝ่ฝัน
ฉีหมินเหอเห็นเจิ้งซื่อจื่อถือกล่องมาก็ว่าแปลกนัก จึงถามขึ้น “เทียนเฉิง เจ้าถืออะไรมาหรือ? ”
เจิ้งซื่อจื่อหัวเราะอย่างมีเลศนัยก่อนจะเชิญทั้งคู่ให้มานั่งด้วยกันที่โต๊ะ แล้วจึงสั่งสาวใช้ให้รินเซนฉะ
เขายังวางกล่องลงบนโต๊ะด้วยความระมัดระวัง “นี่เป็นขนมจากจวนจิ่งอัน”
ฉีหมินเหอเกิดในตระกูลขุนนาง แน่นอนว่าคุ้นเคยกับของว่างอันประณีตทุกรูปแบบ จึงจู้จี้เรื่องของกินเป็นพิเศษ เขาได้ร่ำเรียนในสถานศึกษาหลวงมากว่าสามปี และรู้จักอาหารทุกชนิดที่ยกขึ้นโต๊ะของแต่ละจวนทั่วเมืองหลวง ทั้งยังให้ความสนใจค้นคว้าจนรู้จักในทุกสิ่งเสมือนเป็นหลังมือของตน ของว่างจวนจิ่งอันนั้นเลื่องชื่อนัก ทว่าเขายังมิเคยมีโอกาสได้ลิ้มลอง เมื่อได้ยินเทียนเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เขากลับตื่นเต้นเสียยิ่งกว่า
เซียวป๋อเจี้ยนเหม่อลอยไปชั่วขณะ จวนจิ่งอัน…ย่อมเป็นของตระกูลสามีฉู่เหลียน ภาพบุรุษหนุ่มที่ฉู่เหลียนตระกองกอดในจวนอิ้งวันนั้นผุดขึ้นมาในใจ
ด้วยคิ้วคมเข้ม รัศมีเยือกเย็น และริมฝีปากบาง ชายผู้นั้นยืนคั่นกลางระหว่างเขาและฉู่เหลียน จับมือนางไว้แล้วเดินจากไป โดยไม่ยอมให้เขาได้มองนางแม้แต่น้อย
เจิ้งซื่อจื่อเห็นเซียวป๋อเจี้ยนเหม่อลอย “พี่เซียว? ”
“เช่นนั้นพวกเราขอสำราญกับขนมเหล่านี้เสียหน่อย ขอบใจเจ้ามากเทียนเฉิง”
เจิ้งซื่อจื่อยิ้มอย่างสบายอารมณ์และเปิดฝากล่องที่ยังคงเย็นออก ภายในยังมีผ้าหนา ๆ บุเอาไว้เพื่อกันมิให้ความร้อนเข้า ทำให้ภายในยังคงความเย็นไว้ได้
เมื่อเจิ้งซื่อจื่อเห็นขนมในกล่อง เขาก็นิ่งงันไป “นี่…”
“เทียนเฉิง เกิดอะไรขึ้น? ”
เจิ้งซื่อจื่อนำขนมออกจากกล่อง ยังคงสั่นสะท้านเล็กน้อย “ดูนี่สิ”
เขาเคยทานของว่างมานับไม่ถ้วน รวมไปถึงขนมในวังหลวง ทว่าเจิ้งซื่อจื่อกลับยังไม่เคยเห็นขนมที่ทั้งงดงามและโดดเด่นเช่นนี้มาก่อน
เซียวป๋อเจี้ยนและฉีหมินเหอต่างตกตะลึง
ฉีหมินเหอเอ่ยออกมาอย่างไม่ผิดหวัง “ไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนต่างกล่าวว่าของว่างจากจวนจิ่งอันดีที่สุด สิ่งนี้ช่างโดดเด่นโดยแท้”
หยดน้ำที่อยู่บนใบบัวนั้นสวยงามราวกับหยาดน้ำค้างแรก
ทว่าเจิ้งซื่อจื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย
ฉีหมินเหอเห็นดังนั้นจึงกล่าวเรียกอย่างงุนงง “เทียนเฉิง? ”
เจิ้งซื่อจื่อเงยหน้ามองชายทั้งสอง “พูดตามจริง ข้าได้ทานขนมจากจวนจิ่งอันมาหลายต่อหลายครั้ง ล้วนอร่อยดังคำร่ำลือ ทว่าครานี้เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นของว่างที่มีลักษณะเช่นนี้”
กล่าวดังนั้นแล้ว เจิ้งซื่อจื่อพลันคิดถึงสิ่งที่ผู้เป็นย่าบอกกล่าวตอนยื่นขนมให้ ท่านย่ากล่าวว่าของว่างกล่องนี้ นายหญิงสามคนใหม่แห่งจวนจิ่งอันเป็นผู้ทำขึ้น
คิดได้แล้ว เขาจึงรีบสั่งให้บ่าวรับใช้ส่วนตัววิ่งไปยังเรือนในเพื่อถามกงเจว๋ฮูหยิน
“โอ จวนจิ่งอันเปลี่ยนกรรมวิธีทำขนมหรือ? ” ฉีหมินเหอสัพยอก
“ท่านย่าบอกข้าว่า ขนมเหล่านี้ นายหญิงสามแห่งจวนจิ่งอันล้วนเป็นผู้ทำขึ้น”
ทั้งสองคนมิได้สังเกตเห็นร่างของเซียวป๋อเจี้ยนที่แข็งทื่อไปชั่วขณะ ช่างเป็นความบังเอิญอันโหดร้ายนักที่ฉีหมินเหอยังกล่าวติดตลก “นายหญิงสามจวนจิ่งอันหรือ? มิใช่หลานอิ้งกั๋วกงผู้เฒ่าหรือ? ”
ท่านชายทั้งสองหันมามองเซียวป๋อเจี้ยน “ป๋อเจี้ยน อิ้งกั๋วกงผู้เฒ่าเป็นผู้สนับสนุนเจ้า เช่นนั้นเจ้าเคยพบนายหญิงสามยามอาศัยอยู่ที่จวนอิ้งบ้างหรือไม่? ”
แม้ร่างกายเซียวป๋อเจี้ยนจะชะงักงัน แต่เขาก็ยังคงตอบกลับด้วยสีหน้าปกติ “แม้ข้าจะอาศัยจวนอิ้งระยะหนึ่ง ทว่าคนนอกเช่นข้าจะกล้าเข้าเรือนในจวนอิ้งได้อย่างไร อย่าล้อเล่นเลย”
สีหน้าที่ดูจริงใจของเขา ทำให้ผู้คนไม่นึกสงสัย ฉีหมินเหอเร่งกล่าวขอโทษ “ขออภัย ข้าล้อเล่นมากไปแล้ว”
พวกเขายังคุยกันต่อพลางเหลือบมองดูสาวใช้ที่รินเซนฉะให้ และในที่สุดบ่าวที่ถูกส่งให้ไปถามหาความจากกงเจว๋ฮูหยินก็รีบวิ่งกลับมารายงาน
“เป็นอย่างไร? ” เจิ้งซื่อจื่อถาม
บ่าวก้มหัวเคารพตอบ “เรียนซื่อจื่อ แม่ครัวของว่างจวนจิ่งอันเพิ่งเสียชีวิตไปจากเหตุไฟไหม้เมื่อสองวันก่อน ของว่างที่กงเจว๋ฮูหยินนำมาในวันนี้ล้วนกระทำโดยนายหญิงสามแห่งจวนจิ่งอันจริง ๆ ขอรับ ทั้งนางยังตั้งชื่อของว่างนี้ว่า ‘โมจิหยดน้ำ’ ขอรับ”
เจิ้งซื่อจื่อตกตะลึงไปเล็กน้อย น่าเศร้านักที่แม่ครัวที่เก่งกาจกลับต้องจบชีวิตลงเช่นนั้น ทว่าอย่างไรแม่ครัวก็เป็นเพียงบ่าวไพร่ การจากไปเช่นนั้นก็เป็นแค่เพียงการจากไปของบุคคลหนึ่งที่มิได้สำคัญ
เจิ้งซื่อจื่อมิได้กล่าวอะไรเพิ่มอีก เพียงแต่ไล่บ่าวรับใช้ออกไป
“มาเถอะ หยุดพูดคุยกันได้แล้ว เห็นว่าของว่างนี้เก็บไว้ได้ไม่นานนัก พี่ชายทั้งสอง พวกท่านไม่ลองชิมสักหน่อยหรือ? ”
พวกเขาหยิบเอาช้อนเงินคันเล็กขึ้นมาลองชิมขนม ดวงตาของเจิ้งซื่อจื่อและฉีหมินเหอต่างทอประกาย ทำได้เพียงสรรเสริญเชิดชูของว่างจานนี้
เมื่อนำโมจิหยดน้ำอันนุ่มนวลมาทานคู่กับเซนฉะก็ยิ่งวิเศษนัก
คงมีเพียงเซียวป๋อเจี้ยนที่รับรู้เพียงรสชาติที่ขมฝาดและความรู้สึกที่ขมขื่น
เขายังคงเฝ้าหวนคำนึงถึงสตรีงามที่เคยเคียงคู่ ผู้ที่ยามนี้กลายเป็นนายหญิงสามแห่งจวนจิ่งอันไปเสียแล้ว สตรีผู้นุ่มนวล เรียบร้อย กล้าหาญ ทั้งยังระมัดระวังผู้คนนั้น หากนางยังมิได้ออกเรือน ยามนี้คงต้มน้ำแกงรอคอยเขาอยู่ที่จวน
บุคคลแรกที่ได้ลิ้มลองโมจิหยดน้ำแปลกใหม่นี้ควรเป็นเขา บุคคลที่ได้โอ้อวดภรรยาผู้งดงามสมบูรณ์แบบต่อหน้าสหายนักศึกษาควรเป็นเขา
ภายใต้แขนเสื้อที่บดบัง มือของเขากำแน่นเสียจนซีดขาว
ขณะเดียวกัน ณ เรือนซงเถาแห่งจวนจิ่งอัน ฉู่เหลียนกำลังหลับอย่างมีความสุข ไม่รับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย
พอทานของว่างกับสาวใช้เสร็จ ฉู่เหลียนก็เข้าไปในห้องนอน
ห้องหนังสือเล็ก ๆ ข้างห้องนอนเป็นห้องที่นางแบ่งกันใช้กับเฮ่อซานหลาง แน่นอนว่าหมายถึงให้นางใช้เพียงผู้เดียว ห้องนี้มิได้ใหญ่โตนัก ทว่าเนื่องจากตั้งติดกับห้องนอนจึงสะดวกสบายยิ่ง
ฉู่เหลียนใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายในห้องหนังสือเล็กนี้ หนังสือที่นางนำมาจากจวนอิ้งถูกจัดเรียงวางบนชั้นอย่างเป็นระเบียบ เช่นเดียวกับหนังสือที่ทางจวนจิ่งอันเพิ่มเติมเข้ามาให้ ทั้งหมดมีไม่มากนัก ชั้นล่างสุดยังมีหีบไม้หลี่ฮวาที่จัดเก็บภาพอักษรจากปรมาจารย์เลื่องชื่อฉบับคัดลอกอยู่
ในนิยายต้นฉบับ แม้ ‘ฉู่เหลียน’ จะมิได้มีลายมือที่งดงามโดดเด่น ทว่ายังคงความเป็นระเบียบอ่อนช้อยสวยงามสมดั่งบุตรีในจวนขุนนาง
ฉู่เหลียนมิได้ปรารถนาสิ่งใด ทว่าก็เข้าใจว่าลายมือตนนั้นยังไม่ดีพอ ทั้งยังไม่สามารถอ่านตัวอักษรจีนตัวเต็มในหนังสือตลกที่นางอ่านได้ทุกตัว…ส่วนมากนางมักจะเดาเอา
ดังนั้นเมื่อยามบ่ายมาถึง ฉู่เหลียนจึงไล่สาวใช้ออกไป เหลือฉีเยี่ยนที่ให้เฝ้าประตูไว้ จากนั้นนางจึงลอบฝึกคัดลายมือลงบนสมุดว่าง ๆ ที่นางค้นเจอในห้องหนังสือ
คัดลายมือไปได้หนึ่งชั่วยาม ฉู่เหลียนก็โยนสมุดที่เคยว่างเปล่าเล่มนั้นเข้าเผาในเตาไฟ นางเป็นผู้มีความจำดี ดังนั้นเพียงหนึ่งชั่วยามก็มากพอให้เรียนรู้ได้ราวหนึ่งร้อยตัวอักษร ฉู่เหลียนพึงพอใจในความก้าวหน้าของตนเองยิ่งนัก
เมื่อฝึกคัดลายมือเสร็จ นางก็ให้ฉีเยี่ยนไปนำกล่องเก็บเงินและเครื่องประดับมา เนื่องจากนางอยากทราบว่าแท้จริงแล้วตนมีเงินทั้งหมดเท่าไหร่แน่
กุ้ยหมัวมัวยืนมองจากด้านข้าง
คราแรกฉู่เหลียนเปิดสมุดบัญชีกลางที่จดรายการรายจ่ายของจวนนี้เอาไว้ ทุกเดือนนางจะได้รับเงินจากจวนจิ่งอัน และแน่นอนว่าเงินเดือนบ่าวไพร่ย่อมต้องตัดออกมาจากเงินส่วนนี้
บัญชีกลางมีอยู่เกือบแปดสิบตำลึง เก็บมาตั้งแต่ยามที่เฮ่อฉางตี้อาศัยอยู่ในเรือนนี้เพียงผู้เดียว และยังมีบ่าวไพร่ที่น้อยกว่านี้
โดยมากแล้วเงินรายเดือนนี้ย่อมไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายรายเดือนทั้งหมด ผู้เป็นนายที่อยู่ประจำเรือนจึงต้องควักเอาเงินทองส่วนตัวออกมาช่วยใช้จ่าย
ฉู่เหลียนวางสมุดบัญชีลง สั่งให้ฉีเยี่ยนเปิดหีบที่เก็บเงินค่าใช้จ่ายรายวันออก หีบนี้มีหลายชั้น ทว่ามีเพียงชั้นแรกสุดที่ใส่ของเอาไว้ นั่นคือเหรียญเงินเล็กน้อย เศษแร่เงิน และเงินทองแดงอีกไม่กี่พวง ซึ่งมีทั้งสิ้นห้าสิบตำลึง
เมื่อนำมารวมกับเงินที่ได้รับในวันแต่งงาน หลังจากหักให้กุ้ยหมัวมัวหนึ่งร้อยตำลึงแล้ว นางเหลือเงินติดตัวเพียงสี่ร้อยตำลึง
ครั้งเมื่ออยู่จวนอิ้งนางไม่มีเก็บเงินมากนัก ซ้ำมารดายังตายตั้งแต่นางยังเล็ก ดังนั้นจึงไม่มีเงินเหลือทิ้งไว้ให้
รวม ๆ แล้วนางมีเงินให้ใช้ทั้งสิ้นสี่ร้อยตำลึงเงินเพียงเท่านั้น
แม้สีหน้าฉู่เหลียนจะเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลงไป ทว่ากุ้ยหมัวมัวและฉีเยี่ยนกลับดูคล้ายกำลังสะกดกลั้นอารมณ์
นายหญิงของพวกนางเสียมารดาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ ซ้ำยังมิได้เป็นที่โปรดปรานในจวนอิ้ง ฮูหยินสาม ผู้เป็นมารดาบุญธรรม ยังเก็บสินเดิมของนายหญิงสามเอาไว้เอง คุณชายสามก็มิได้ช่วยเหลือใด คนทั้งจวนอิ้งต่างคิดว่าคุณหนูหกโชคดีนักที่ได้แต่งเข้าจวนจิ่งอันและจะได้เสพสุขกับความร่ำรวย เหล่าคุณหนูจากบ้านสองล้วนแต่อิจฉานางจึงไม่มีผู้ใดช่วยเติมสินเดิมให้แก่คุณหนูหก
หากมิใช่จวนจิ่งอันช่วยเติมสินเดิมให้เล็กน้อย คงยิ่งน่าเวทนากว่านี้เป็นแน่
ในฐานะบุตรสาวสายตรงแล้ว สินเดิมของนางยังมีน้อยจนมิอาจเทียบได้แม้แต่บุตรีอนุผู้ได้รับความโปรดปราน
หลังแต่งเข้าตระกูลเฮ่อ คุณหนูหกยังได้รับการปฏิบัติอันโหดร้ายจากคุณชายสามอีก…
โชคดีแค่ไหนแล้วที่คุณหนูหกมิได้รู้สึกผิดหวังเรื่องการแต่งงาน มิเช่นนั้นนางคงจะทุกข์ทรมานจนล้มป่วยเสียแล้ว
ฉู่เหลียนไม่ได้สนใจว่าสาวใช้ทั้งสองข้างกายกำลังคิดอะไรอยู่
นางหยิบกล่องใบสุดท้ายขึ้นมา
นี่คือกล่องเครื่องประดับของนาง ที่เก็บไว้ตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัย
ผ่านมาหลายต่อหลายปี นางยังคงมีเครื่องประดับกล่องนี้เพียงกล่องเดียว เมื่อทอดมองกล่องในมือก็อดมิได้ให้สงสารเจ้าของร่างเดิมของนางนัก
อย่างน้อยนางก็ยังเป็นบุตรีที่ถูกต้องของจวนอิ้ง ทว่าทั้งเสื้อผ้าเครื่องประดับล้วนแต่ข้นแค้นไม่สมฐานะ ย่อมไม่แปลกที่บุคลิกนางจะกลายเป็นเช่นนั้น
หากต้องเติบโตในสภาวะแวดล้อมเช่นนั้น ไม่ว่าใครล้วนแต่ต้องใช้ชีวิตเพื่อเอาตัวรอดอย่างที่ฉู่เหลียนคนนั้นทำเป็นแน่
ฉู่เหลียนรับกุญแจจากสาวใช้มาเปิดกล่อง
กล่องไม้ใบน้อยถูกแกะสลักอย่างประณีต ภายในกล่องมีอยู่สิบชั้น แต่ละชั้นฉลุด้วยเงิน ทั้งยังมีการแกะสลักลวดลายอันประณีตงดงามไว้ด้านบน
ชั้นล่างสุดของกล่องคือเครื่องประดับที่ได้รับมาแต่เมื่อแรกเกิด กุ้ยหมัวมัวเล่าว่าคุณหนูหกมักจะสวมใส่มันเอาไว้ตั้งแต่ช่วงอายุหนึ่งปีจนถึงสามปี
ในวัยทารกนางยังใส่เครื่องประดับไม่ได้มากนัก ดังนั้นชั้นนี้จึงมีเพียงกำไลข้อมือข้อเท้าทองคำ ทั้งยังสร้อยคอกับจี้ดอกไม้ที่หลอมจากทองและไข่มุก เมื่อค้นกล่องต่อไปอีกก็พบว่ายังมีจี้หยกอยู่อีกชิ้น เห็นได้ว่ายาม ‘ฉู่เหลียน’ แรกเกิด นางได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นลูกคนแรกของนายท่านสอง
ในกล่องชั้นที่สองเป็นเครื่องประดับที่นางใส่หลังจากอายุครบสามปี
ถึงกระนั้นก็มีเพียงเครื่องประดับศีรษะอยู่ไม่กี่ชิ้น และมิได้งดงามประณีตดังเช่นที่นางได้รับยามเป็นทารก เมื่อนางเปิดออกแต่ละชั้น เครื่องประดับและของมีค่ากลับยิ่งน้อยลงทุกที ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากอายุครบสิบปี ก็ไม่มีเครื่องประดับที่ทำจากทองอยู่อีกเลย
ยามนี้เครื่องประดับในกล่องล้วนสวมใส่ไม่ได้แล้ว ฉู่เหลียนจึงเลือกเอาจี้หยกสองสามชิ้นที่พอมีค่าอยู่บ้างออกมา แล้วนำไปรวมกับเครื่องประดับทองและเงิน หลังจากนั้นจึงส่งให้กุ้ยหมัวมัวสั่งคนให้นำไปหลอมเป็นทองและเงินก้อนเผื่อต้องใช้ในอนาคต
จัดระเบียบกล่องอีกเล็กน้อย ฉู่เหลียนจึงได้หันไปมองกล่องเครื่องประดับที่นางใช้อยู่ในยามนี้
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6816