ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 38 งานอายุยืนของติ้งหยวนโหว
เห็นฉู่เหลียนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจในคำตอบของสาวใช้ จงหมัวมัวก็แทบจะอดปิดหน้าอย่างอับอายไม่ได้
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ฉู่เหลียนก็นั่งพักอยู่ครึ่งชั่วยามก่อนจะไปเรือนชิ่งสี่เพื่อคารวะเฮ่อเหล่าไท่จวิน
เหล่าไท่จวินอายุมากแล้วจึงนอนได้ไม่เยอะ โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนเช่นนี้ นางจึงตื่นมาพักใหญ่
ยามที่ฉู่เหลียนมาถึงเรือนชิ่งสี่ เหล่าไท่จวินเพิ่งจะทานอาหารเช้าเสร็จ
ฉู่เหลียนคารวะนางตามธรรมเนียมของผู้น้อย เหล่าไท่จวินโบกมือให้นางลุกขึ้นและยิ้มไปถึงตา “หลานสะใภ้สาม มานั่งข้างย่านี่”
ฉู่เหลียนนั่งลงบนเก้าอี้เตี้ยที่อยู่ในระดับต่ำลงมาจากเหล่าไท่จวิน นางมองเหล่าไท่จวินแล้วถาม “ท่านย่า มีข่าวจากสามีหลานบ้างหรือไม่เจ้าคะ”
นางเพิ่งจะแต่งกับเฮ่อฉางตี้ได้ไม่กี่วัน และยังมิได้ร่วมหอกัน อีกทั้งเฮ่อฉางตี้ปฏิบัติต่อนางอย่างไม่ใส่ใจ ไม่ว่าเขาจะหล่อเหลาเพียงใด ฉู่เหลียนก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาแม้แต่น้อย แต่เหตุที่นางถามไปก็เป็นเพียงการแสดงบทบาทของภรรยาที่ดีเพื่อให้เหล่าไท่จวินพอใจเท่านั้น
แม้จะไม่ชอบเฮ่อฉางตี้ แต่นางชอบเหล่าไท่จวินมากตั้งแต่ในวันที่สองของการแต่งงาน ระหว่างพิธียกน้ำชา นางก็เห็นร่องรอยของความใส่ใจและกังวลที่ท่านย่าผู้นี้มีให้นาง
ฉู่เหลียนไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้คนที่ใส่ใจนางต้องรู้สึกโศกเศร้าอยู่แล้ว
เฮ่อเหล่าไท่จวินถอนใจ ลูบหัวฉู่เหลียน “เจ้าสามนั่นช่าง…หลานสะใภ้ก็อย่าได้กังวลมากไปนัก ข้าสั่งให้ต้าหลางส่งคนไปติดตามแล้ว อีกไม่นานคงมีข่าวคราวมาถึง”
ฉู่เหลียนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง และด้วยการกระทำที่เรียบนิ่ง ปราศจากสีหน้าใด ๆ ของนางนั้น กลับยิ่งทำให้หัวใจเหล่าไท่จวินรู้สึกเจ็บปวดด้วยความสงสาร
เนื่องจากเฮ่อเหล่าไท่จวินเป็นผู้ร้องขอให้ไทเฮาทรงพระราชทานสมรสเด็กสาวจากจวนอิ้ง ทว่ายามนี้เด็กคนนี้กลับต้องอยู่โดดเดี่ยวราวกับแม่ม่าย ทั้งที่สามียังมีชีวิต นางย่อมรู้สึกผิดกว่าใครเมื่อเทียบกับสมาชิกผู้อื่นในตระกูล
ฉู่เหลียนเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของเหล่าไท่จวินจึงเร่งเปลี่ยนเรื่อง “ท่านย่า เมื่อเช้าท่านทานอะไรหรือเจ้าคะ?”
ทันทีที่ถามเสร็จ ฉู่เหลียนก็หน้าแดงก่ำด้วยความอับอายอย่างถึงที่สุด นางเป็นอะไรไป? เหตุใดเรื่องที่นางนึกออกจึงมีแต่เรื่องที่เกี่ยวกับอาหารเล่า?
ทว่าเอ่ยไปแล้วย่อมมิอาจเอาคืนมา สิ่งเดียวที่ทำได้คือพยายามเก็บอาการหน้าแดงก่ำลงไปแล้วเงยหน้ามองท่านย่าที่แสนใจดี ผู้ซึ่งตรวจพบร่องรอยความเขินอายบนหน้าของเด็กสาว ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“เป็นอะไรไป? ที่เรือนเจ้ามีอาหารไม่พอทานหรือ?”
ฉู่เหลียนถูกเหล่าไท่จวินหยอกล้อเสียจนหน้าแดง นางย่อมกินอิ่ม! ทานเสี่ยวหลงเปาไปครึ่งตะกร้าเชียวนะ! กระทั่งตอนนี้ก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่เลย
ในตอนนี้เฮ่อเหล่าไท่จวินอายุมากแล้ว ดังนั้นลูกสาวของนางล้วนแต่งออกจากจวนไปนานแล้ว ส่วนลูกสะใภ้ก็คลอดลูกชายให้ถึงสามคน ในยามที่โจวซื่อแต่งเข้าจวนมาก็มีอายุได้ยี่สิบกว่าปี นางจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับเด็กสาวอายุสิบห้าเช่นฉู่เหลียนมาเนิ่นนาน จึงทำให้อยากเห็นท่าทีเขินอายไร้เดียงสานั้นมากอีกหน่อย
เห็นฉู่เหลียนหน้าแดงก่ำและไม่รู้จะตอบกลับเช่นไร รอยยิ้มบนใบหน้าของท่านย่าก็ยิ่งกว้างขึ้น “ฤดูร้อนเช่นนี้ ย่าไม่ค่อยอยากอาหารนัก ทานไปได้เพียงรังนกเลือดครึ่งถ้วยเท่านั้น ก่อนเจ้าจะกลับเรือน ข้าจะให้เหลียวหมัวมัวจัดเตรียมไปให้สักสองชั่ง อายุเพียงเท่านี้ยังเติบโตได้อีกนัก ควรทานอาหารที่มีประโยชน์ให้มาก ๆ”
แม้จะไม่เคยทานรังนกเลือดมาก่อนแต่ฉู่เหลียน ผู้คร่ำหวอดในวงการอาหารย่อมทราบว่ารังนกเลือดจัดเป็นรังนกที่ดีที่สุดในบรรดารังนกชนิดอื่น ในขณะที่ขุนนางส่วนมากในยุคราชวงศ์อู่มักจะทานรังนกขาวธรรมดาที่จัดว่าอยู่ในระดับต่ำกว่ารังนกเลือดอยู่สองขั้น
รังนกเลือดของเฮ่อเหล่าไท่จวินย่อมไม่สามารถหาซื้อได้ด้วยเงินแต่น่าจะได้รับมาจากในวังมากกว่า เนื่องจากมีความสนิทสนมกับไทเฮาเป็นพิเศษ คงได้รับพระราชทานมาเป็นของขวัญกระมัง
ฉู่เหลียนพอจะเดาได้ว่านี่คงเป็นของขวัญที่เหล่าไท่จวินได้รับพระราชทานมาจากไทเฮาเป็นแน่ นางย่อมไม่กล้ารับ และรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่จำเป็นเจ้าค่ะท่านย่า ร่างกายหลานแข็งแรงยิ่งนัก! ถ้ารับสารอาหารมากไปประเดี๋ยวหลานจะอ้วนเจ้าค่ะ!”
“เจ้ายังกลัวอ้วนทั้งที่ตัวบอบบางเพียงนี้หรือ?” เฮ่อเหล่าไท่จวินยิ้มกว้าง
“ท่านย่า หากท่านอยากจะมอบให้ผู้อื่น ไยมิมอบให้ท่านแม่แทนล่ะเจ้าคะ?”
เฮ่อเหล่าไท่จวินชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะถอนใจ “เด็กน้อย เจ้ารู้จักแต่ห่วงผู้อื่น”
ฉู่เหลียนมองสีหน้าประทับใจของเฮ่อเหล่าไท่จวิน “ท่านแม่เป็นมารดาแท้ ๆ ของสามีนี่เจ้าคะ จะนับเป็นอื่นไปได้อย่างไร?”
ใจของเฮ่อเหล่าไท่จวินรู้สึกอบอุ่นยิ่ง พลางจิ้มไปที่จมูกเล็ก ๆ ของฉู่เหลียน “ภรรยาเจ้าซานหลานนี่ช่างเป็นเด็กดีจริง ๆ เอาล่ะ ๆ ย่าจะส่งรังนกเลือดนี่ไปให้ท่านแม่ของเจ้า แต่ตัวเจ้าเองก็ต้องเอาติดกลับไปด้วยเล่า”
เห็นเหล่าไท่จวินบังคับเช่นนี้แล้ว จะให้ฉู่เหลียนปฏิเสธต่อก็คงดูไร้เหตุผลเกินไป
ระหว่างนั้นเอง นายหญิงใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าห้องได้สักพักย่อมได้ยินในทุกบทสนทนาของเฮ่อเหล่าไท่จวินและหลานสะใภ้คนเล็ก นางก้าวเข้ามาในห้อง ก้มหน้าลงและลอบขมวดคิ้วเล็กน้อย
ด้วยแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาจากด้านหลังของโจวซื่อนั้นสว่างนัก จึงไม่มีใครมองเห็นสีหน้าที่แท้จริงของนาง
สาวใช้เลิกม่านประตูจวนขึ้นให้โจวซื่อเข้าไปในห้อง
“ท่านย่า” เมื่อโจวซื่อยอบกายคารวะแล้ว นางก็นั่งลงด้านข้างอีกด้านหนึ่งของเหล่าไท่จวิน
เฮ่อเหล่าไท่จวินยิ้มมองโจวซื่อ “หลานสะใภ้ใหญ่ เหตุใดวันนี้จึงมาเช้านัก?”
สีหน้าโจวซื่อยังคงสงวนกิริยาไว้เช่นเดิม มุมปากของนางขยับยิ้มงดงาม “ท่านย่า ลืมแล้วหรือเจ้าคะ? วันนี้เป็นวันพักผ่อนของบ่าวไพร่ในจวนเราแล้ว”
ทุกวันโจวซื่อมีหน้าที่ต้องคอยฟังรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละเรือน เมื่อเสร็จแล้วจึงจะสามารถมาคารวะเหล่าไท่จวินได้ จากนั้นก็ไปเยี่ยมเยียนแม่สามี
“จริงด้วย วันนี้วันที่สิบหกแล้ว ย่าลืมวันเวลาไปเสียสนิท”
โจวซื่อยังคุยเรื่องอื่น ๆ อีกเล็กน้อย เมื่อเห็นเฮ่อเหล่าไท่จวินมิได้มีทีท่าจะเอ่ยถึงรังนกเลือดแม้แต่น้อย นางก็อดผิดหวังมิได้
เฮ่อเหล่าไท่จวินยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ “หลานสะใภ้ใหญ่ วันพรุ่งนี้เป็นวันฉลองอายุยืนของท่านตาเจ้าใช่หรือไม่?”
โจวซื่อยิ้ม พยักหน้ารับ “ใช่แล้วเจ้าค่ะ! ขอบพระคุณท่านย่าที่จดจำ หลานสะใภ้ขอขอบคุณท่านย่าแทนท่านตาเจ้าค่ะ”
“เด็กน้อย เจ้าสุภาพเกินไปแล้ว”
อีกด้านหนึ่ง ฉู่เหลียนไม่คาดว่าหัวข้อจะเปลี่ยนไปเรื่องงานนั้นเสียได้ นางทำได้เพียงพยายามแนบตัวติดเก้าอี้ ลบเลือนตัวตนของตนเอง
งานวันเกิดเช่นนี้ แค่ไปร่วมงานก็พอแล้ว สาธุ สาธุ อย่าพูดถึงข้าเลย!
ทว่า สวรรค์กลับไม่รับฟังคำขอของนาง
จู่ ๆ เฮ่อเหล่าไท่จวินก็พลันมองเห็นการมีตัวตนของสาวน้อยที่หลีกเร้นกายอยู่อย่างเงียบงัน “ภรรยาเจ้าซานหลางเพิ่งจะแต่งเข้าตระกูล ให้อยู่จวนเพียงลำพังคงเหงาแย่ พรุ่งนี้เจ้าก็พานางไปด้วยเถิด”
เฮ่อเหล่าไท่จวินเองก็ไปร่วมงานนี้เช่นกัน แต่บรรดาฮูหยินผู้เฒ่าล้วนมีวงสังคมของตนเอง ไม่เหมาะจะให้เด็กสาวเข้าร่วมนัก
เห็นฉู่เหลียนเพิ่งจะแต่งเข้าตระกูลมา หากให้โจวซื่อที่ยังสาวกล่าวแนะนำฉู่เหลียนแก่เหล่านายหญิงในเมืองย่อมดูเหมาะสมกว่า
ร่างของฉู่เหลียนแข็งทื่อ นางไม่คาดว่าเฮ่อเหล่าไท่จวินจะให้ติดตามโจวซื่อไปงานด้วย ในใจนางอยากจะเอ่ยปากปฏิเสธไป แต่ยามนี้ย่อมไม่สมควร จึงทำได้เพียงภาวนาอยู่ในใจ และหวังว่าพี่สะใภ้ใหญ่ อย่าเห็นด้วยนะเจ้าคะ!
โจวซื่อเป็นคนเชื่อฟังผู้อาวุโสเสมอ นางจึงไม่เสียเวลาคิดแม้แต่น้อย “เจ้าค่ะท่านย่า ไม่ต้องกังวลไป หลานจะพาน้องสะใภ้สามไปร่วมงานกับหลานพรุ่งนี้ และจะดูแลให้เป็นอย่างดีเจ้าค่ะ”
เฮ่อเหล่าไท่จวินพยักหน้าอย่างพอใจ
เฮ่อฉางตี้เพิ่งจะจากจวนไป ทั้งยังไม่มีข่าวสารใด ๆ มาถึง นางอยากช่วยให้ฉู่เหลียนคลายเศร้า จึงแนะนำให้โจวซื่อพาไปด้วย ทว่าแท้จริงแล้ว ความปรารถนาดีของนางกลับทำให้เรื่องราวยุ่งยากกว่าเดิมเสียอีก
ฉู่เหลียนรู้สึกหดหู่เหนือคำบรรยาย แต่จะแสดงออกมาได้อย่างไรเล่า
นางทำได้เพียงตกลงไปงานนี้เท่านั้น
หลานสะใภ้ทั้งสองนั่งคุยกับเหล่าไท่จวินต่ออีกพักใหญ่ก่อนจะขอตัวออกมาเพื่อไปเยี่ยมเยียนแม่สามีพร้อมกัน
วันนี้ฮูหยินจิ่งอันป๋ออาการไม่ดีนัก ยามที่ฉู่เหลียนมาถึง นางยังคงหลับอยู่ โจวซื่อและฉู่เหลียนจึงนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกอีกราวหนึ่งก้านธูป ก่อนจะขอตัวออกมาและแยกย้ายกลับเรือน
วันต่อมา ฉู่เหลียนจำต้องติดตามพี่สะใภ้ไปงานอายุยืนที่จวนติ้งหยวน
เมื่อนางตื่นมา กุ้ยหมัวมัวและฉีเยี่ยนก็ช่วยฉู่เหลียนแต่งตัวด้วยชุดที่เตรียมไว้แล้ว พวกนางเลือกชุดที่มีสีสันสดใสรับกับเครื่องประดับศีรษะที่ฉู่เหลียนมี เพื่อให้ดูสมกับช่วงวัยและสถานะของนายหญิงที่เพิ่งแต่งใหม่
ก่อนจะออกจากเรือนซงเถา จงหมัวมัวกระแอมไอขึ้นมา ทำให้ฉู่เหลียนต้องหมุนตัวกลับมามองด้วยสายตาแปลกประหลาดก่อนจะนึกขึ้นได้ และเอ่ยปากสั่ง “ฉีเยี่ยนกับเวิ่นฉิงจะเป็นผู้ตามข้าไปจวนติ้งหยวนวันนี้!”
สาวใช้ทั้งสองรับคำอย่างเชื่อฟัง จงหมัวมัวมองเวิ่นฉิง ก่อนจะออกจากเรือน ซ้ำยังกระซิบย้ำข้างหูเวิ่นฉิงอีกครา “จำที่ข้าพูดเมื่อคืนให้ดี หากมีสิ่งใดที่ไม่ดีเกิดขึ้น คอยดูเถอะว่าข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไร”
เวิ่นฉิงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว วางใจได้ นางจะไม่ยอมให้บุรุษคนใดเข้าใกล้นายหญิงสามเป็นแน่ เพื่ออาหารแสนอร่อยแล้ว นางจะพยายามอย่างเต็มที่ บุรุษหน้าไม่อายผู้ใดที่หาญกล้าเข้ามาวุ่นวายกับนายหญิงสามล้วนต้องถูกตีให้ตายโดยไร้เมตตา!
โชคดีนักที่จงหมัวมัวอ่านความคิดเวิ่นฉิงไม่ได้ ไม่เช่นนั้นนางคงต้องกระอักเลือดเป็นแน่ เพราะนี่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่นางสั่งเมื่อคืน!
เมื่อมาถึงเรือนหลัก เหลียวหมัวมัวก็เชิญนางขึ้นรถม้าคันเดียวกับเฮ่อเหล่าไท่จวิน ส่วนโจวซื่อพร้อมอันเอ๋อร์และหลินเอ๋อร์ บุตรีของนางใช้รถม้าอีกคันหนึ่ง ในขณะที่เฮ่อต้าหลางพร้อมด้วยองครักษ์ขี่ม้าตามไป
ขบวนรถม้ามุ่งหน้าออกจากจวนจิ่งอันไปยังจวนติ้งหยวนโหว
รถม้าของเฮ่อเหล่าไท่จวินไม่ใหญ่นัก ทว่าภายในสะดวกสบายยิ่ง เหลียวหมัวมัวนั่งอยู่ข้างเหล่าไท่จวิน ส่วนฉู่เหลียนนั่งตรงข้ามพวกนาง
บ่าวชราใช้พัดกลมในมือพัดให้เหล่าไท่จวินอย่างอ่อนโยน วันนี้ท่านย่าสวมชุดสีม่วงเข้มลายแปดสายฟ้า เครื่องประดับศีรษะปักลายโชคดีสีเขียวมรกต เส้นผมขาวถูกยกขึ้นด้วยปิ่นปักผมหยกแกะสลัก ดูสูงส่งสง่างามสมเป็นฮูหยินผู้เฒ่าของจวนขุนนางยิ่งนัก
“หลานสะใภ้สาม เจ้าเคยไปจวนติ้งหยวนหรือไม่?”
เมื่อเฮ่อเหล่าไท่จวินเอ่ยขึ้น ฉู่เหลียนจึงเข้าใจว่าเหตุใดเหล่าไท่จวินจึงเชิญนางมาขึ้นรถม้าคันเดียวกันในวันนี้
เหล่าไท่จวินผู้นี้ต้องการบอกเล่าเรื่องความสัมพันธ์ต่าง ๆ ระหว่างผู้คนในจวนติ้งหยวน
แม้ฉู่เหลียนจะรู้พล็อตนิยายเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่พื้นที่เขียนตัวอักษรนั้นมีจำกัด ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะอธิบายถึงความสัมพันธ์ของทุกจวนในเมืองหลวงให้ชัดเจน นางจึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างซื่อสัตย์
เฮ่อเหล่าไท่จวินพอใจที่นางไม่ปิดบัง และเริ่มเล่า
จวนติ้งหยวนเป็นบ้านเดิมของโจวซื่อที่เจริญรุ่งเรืองมาอย่างยาวนาน โจวซื่อเป็นหลานสาวคนโตสายรองของติ้งหยวนโหว เต๋อเฟย สนมของฮ่องเต้ก็เป็นบุตรีของติ้งหยวนโหวแห่งจวนติ้งหยวนเช่นกัน
ทว่าแม้เต๋อเฟยจะถวายตัวเข้าวังหลายปีแล้ว กลับให้กำเนิดพระธิดาพระองค์เดียวที่โชคร้ายจากไปตั้งแต่ทรงเจริญชันษาได้เพียงห้าชันษาเท่านั้น
องค์หญิงเล่อเหยาทรงคล้ายกับพระธิดาที่จากไปของเต๋อเฟยยิ่ง ดังนั้นในบรรดาพระโอรสและพระธิดามากมายในวังหลวง เต๋อเฟยทรงโปรดปรานองค์หญิงเล่อเหยาวัยสิบชันษาเป็นที่สุด
เมื่อขบวนรถม้ามาถึงจวนติ้งหยวน ฉู่เหลียนก็พอจะจินตนาการภาพสถานการณ์ภายในจวนนี้ได้อย่างชัดเจนแล้ว
โดยสรุปก็คือ ติ้งหยวนโหวเป็นหนึ่งในขุนนางที่ฮ่องเต้ทรงวางพระทัยมากที่สุด ดังนั้นจะล่วงเกินไม่ได้โดยเด็ดขาด…
เฮ่อเหล่าไท่จวินเห็นสีหน้าหวาดหวั่นบนดวงหน้าเล็กนั้น ก็ยิ้มและตบหลังมือเด็กสาวเพื่อปลอบเบา ๆ “อย่ากังวลไปเลย ย่าเพียงเล่าเพื่อให้เจ้าเข้าใจว่าจวนติ้งหยวนเป็นเช่นไร ส่วนที่เหลืออย่าได้คิดมากไป เพียงตามพี่สะใภ้ของเจ้าก็พอ นางจะดูแลเจ้าเอง”
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6816