ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 39 เหล่าท่านหญิงมาถึงแล้ว
ฉู่เหลียนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ท่าทางน่ารักของนางทำให้เฮ่อเหล่าไท่จวินอดมิได้ให้หยิกแก้มเล็ก ๆ นั้น
นางต้องยอมรับว่าภรรยาเจ้าสามมีรูปโฉมที่งดงามโดยแท้ กระทั่งเทียบกับทั้งเมืองหลวงก็ยังนับว่าโดดเด่นนัก จากการสังเกตในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เฮ่อเหล่าไท่จวินได้ตระหนักว่าฉู่เหลียนนั้นใสซื่อโดยธรรมชาติ มิใช่ผู้ทะนงตน หลงตัวเองดังเช่นที่สตรีในจวนขุนนางโดยมากมักเป็น ดังนั้นนางจึงพยายามตามใจหลานสะใภ้คนนี้ให้มากเท่าที่จะทำได้ ทั้งยังคอยสั่งสอนนางอยู่เสมอ ด้วยเกรงว่าจะถูกผู้อื่นเอาเปรียบได้
เดิมทีเฮ่อเหล่าไท่จวินต้องการเพียงสตรีจวนอิ้งผู้เป็นดั่งแม่พันธุ์ชั้นดีเพื่อช่วยสืบทอดตระกูลเท่านั้น แต่กลับมิคาดว่าจะค้นพบอัญมณีเม็ดงามที่หลบซ่อนอยู่
ด้วยมุมมองที่นางมีต่อฉู่เหลียน ทำให้เฮ่อเหล่าไท่จวินเห็นว่าแปลกนักที่เฮ่อฉางตี้จากบ้านไปอย่างกะทันหันเพียงเพื่อเข้าร่วมกองทัพ
เฮ่อซานหลางละทิ้งภรรยาผู้งดงามแสนดีเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน?
ฉู่เหลียนมัวแต่กังวลเรื่องของตัวเองเสียจนไม่สังเกตว่าเฮ่อเหล่าไท่จวินเองก็เหม่อลอยไปชั่วขณะหนึ่ง
พอมาคิดดี ๆ อีกที ฉู่เหลียนก็ตัดสินใจว่าวันนี้จะพยายามทำตัวไม่ให้เป็นที่น่าสังเกต หรือจับตามอง และต้องเลี่ยงไม่ไปศาลาติ่งป๋อในจวนติ้งหยวนอย่างสุดความสามารถ!
บ่าวไพร่ประคองนางลงจากรถม้า เมื่อลงมาแล้วจึงได้เห็นโจวซื่อที่ยืนรอนางอยู่ด้านนอกพร้อมลูกสาวทั้งสองแล้ว
เฮ่อต้าหลางพาพวกนางเข้าไปยังเรือนใน ก่อนจะตามบ่าวชายออกไปยังเรือนนอกที่เป็นสถานที่สำหรับต้อนรับแขกเหรื่อของงาน
โจวซื่อส่งอันเอ๋อร์และหลินเอ๋อร์ให้พี่เลี้ยง ก่อนจะสั่ง “พาคุณหนูไปเล่นกับญาติ ๆ เถอะ”
เห็นได้ชัดว่าโจวซื่อคงกลับมาเยี่ยมบ้านเดิมอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากอันเอ๋อร์และหลินเอ๋อร์ได้เล่นกับเด็กคนอื่น ๆ ในจวนติ้งหยวนด้วยความสนิทสนม ไม่เคอะเขิน เมื่อโจวซื่อสั่ง พี่เลี้ยงทั้งสองนางและสาวใช้ส่วนตัวอีกสองสามคนก็พาเด็กหญิงทั้งสองจากไป
โจวซื่อมองตามลูก ๆ จนสุดสายตา แล้วจึงหันมายิ้มให้ฉู่เหลียน “น้องสะใภ้สามมากับข้าเถิด อย่าได้กังวลไป บางทีเราอาจบังเอิญเจอญาติจากครอบครัวเดิมของเจ้าก็ได้!”
ฉู่เหลียนอดกังวลมิได้ ไม่ว่าใครก็คงผ่อนคลายในสถานที่แปลก ๆ สภาพแวดล้อมใหม่ในครั้งแรกไม่ได้กระมัง
โจวซื่อพาฉู่เหลียนเดินไปด้วยกันอีกราวหนึ่งก้านธูป ระหว่างทางยังช่วยแนะนำสิ่งแปลก ๆ รวมถึงทิวทัศน์ต่าง ๆ ภายในจวนไปด้วย กระทั่งพวกนางมาถึงสระบัวขนาดใหญ่ โจวซื่อก็หยุดและชี้ไปยังฝั่งตรงข้าม “น้องสะใภ้สาม ดูนั่นสิ นั่นคือเรือนเม่ย เหล่านายหญิงและคุณหนูล้วนมารวมตัวกันตรงนี้ทั้งนั้น”
ฉู่เหลียนมองตามทิศที่โจวซื่อชี้ ดังคาด นางเห็นสตรีหลายนางดูคล้ายฮูหยินขุนนางนั่งพูดคุยหัวเราะร่วมกันอยู่ที่ศาลา ทั้งยังมีบรรดาสาวใช้ที่เดินเข้าออกศาลาริมน้ำไม่ขาดสาย ช่างดูมีชีวิตชีวา
นางตวัดสายตาไปยังกลุ่มนายหญิง ทว่ากลับไม่รู้จักใครแม้แต่คนเดียว…
โจวซื่อดวงตาเฉียบคมนัก นางชี้ไปยังสตรีผู้หนึ่ง “น้องสะใภ้สาม ดูสิ นั่นมิใช่พี่สะใภ้ใหญ่จากจวนอิ้งของเจ้าหรือ?”
ฉู่เหลียนเบิกดวงตากลมโตกว้างขึ้น เห็นหรงฮูหยินเดินออกมาจากศาลาพร้อมสตรีวัยกลางคนที่กำลังพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ เป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าจริง ๆ” ฉู่เหลียนตอบ
โจวซื่อดึงมือฉู่เหลียน “เช่นนั้นเราก็ไปตรงนั้นด้วยเถอะ”
เมื่อเหยียบเข้าเรือนเม่ย ฉู่เหลียนก็ไม่อาจหลบซ่อนได้อีก นางรวบรวมความกล้าและเดินตามหลังโจวซื่อไป ทว่าหัวใจกลับเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งอยู่ในอก ลอบตัดสินใจว่าจะหาที่ที่มีคนน้อยกว่านี้หน่อยเพื่อซ่อนตัว
เหล่าฮูหยินขุนนางในเรือนเม่ยสังเกตเห็นโจวซื่อ ผู้เป็นฮูหยินซื่อจื่อแห่งจวนจิ่งอัน จึงได้เริ่มเข้ามาทักทายกันทีละคน
โจวซื่อยิ้มตอบการทักทายเหล่านั้น “เอาล่ะ เอาล่ะ พวกท่านไม่ต้องลุกขึ้นอวยพรข้าแล้ว อย่างไรวันนี้ก็เป็นงานอายุยืนของท่านตาข้า ควรเป็นข้าที่ต้องขอบคุณพวกท่านที่มาร่วมงานวันนี้!”
เหล่าฮูหยินล้วนตอบอย่างสุภาพ “ไม่เลย ไม่เลย”
โจวซื่อถอยหลังก้าวหนึ่ง เผยให้เห็นฉู่เหลียนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง “พวกท่านอาจจะยังไม่รู้จัก ทว่านี่คือน้องสะใภ้สามของข้า คุณหนูหกจากจวนอิ้งกั๋วกง”
ฉู่เหลียนยอบกายคารวะ
เหล่าฮูหยินล้วนทักทายตอบนาง
ทว่าเมื่อฉู่เหลียนกวาดสายตามองทุกคนอย่างเร็ว ๆ กลับพบสายตาเย้ยหยันและดูถูกจากสายตาของสตรีเหล่านี้ สีหน้านางแข็งทื่อไปเล็กน้อย จากนั้นจึงคิดได้ทันทีว่าเหตุใดผู้คนจึงคล้ายจะดูถูกนางนัก
เนื่องจากในเวลานี้นางมิใช่ ‘ฉู่เหลียน’ คนเดิม ดังนั้นจึงไม่เก็บมาใส่ใจ แม้สายตาเหล่านั้นจะทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่นางก็เป็นคนสบาย ๆ อยู่แล้ว การจะหาเรื่องมาทำให้นางหงุดหงิดใจนั้นยากทีเดียว
นางไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือของผู้คนเหล่านี้เพื่อเอาชีวิตรอดอยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องใส่ใจเล่า? สิ่งที่นางต้องทำมีเพียงการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยไม่เสียใจในภายหลังเท่านั้น
หลังจากไล่ลำดับความคิดในหัวเรียบร้อยแล้ว ความกังวลที่มีบนใบหน้าก็หายไป ความสดใสร่าเริงโดยธรรมชาติก็เปล่งประกายออกมา
ยามนี้ฉู่เหลียนอยู่ในช่วงวัยที่ดีที่สุด ด้วยความงามโดยธรรมชาติของนาง และฉีเยี่ยนที่บรรจงแต่งกายให้นางเป็นพิเศษเมื่อเช้านี้ นางจึงดูราวกับคุณหนูผู้งดงามจนน่าตกตะลึง สีหน้าผ่อนคลายเปิดเผยบนใบหน้ายิ่งขับเน้นความงามให้โดดเด่นขึ้น
นางทักทายเหล่าฮูหยินทั้งหลายอย่างใจกว้างอ่อนน้อม จนกลายเป็นบรรดาฮูหยินที่รู้สึกไม่ดีเสียเอง
โจวซื่อนำฉู่เหลียนไปคารวะหวงฮูหยิน ภริยาของซื่อจื่อ จวนติ้งหยวน
แม้โจวซื่อจะเป็นหลานสาวคนโตที่ถูกต้องของจวนติ้งหยวน ทว่านางเกิดจากตระกูลสายรอง ผู้สืบทอดจวนติ้งหยวนคือบุตรชายคนโตของบ้านใหญ่ ดังนั้นภรรยาของเขาจึงนับเป็นป้าใหญ่ของนาง
หลังจากคารวะภรรยาของติ้งหยวนซื่อจื่อแล้ว โจวซื่อก็ให้ฉู่เหลียนคอยติดตามข้างกายไม่ห่าง พาเดินไปรอบ ๆ เพื่อพบปะเหล่าคุณหนูทั้งหลายจากจวนขุนนางในเมือง
‘การพบปะ’ เหล่าคุณหนูนั้นเป็นการแสดงตัวทักทายตามมารยาท ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฉู่เหลียนแม้แต่น้อย หลังจากที่เอ่ยปากทักทายผู้อื่นแล้ว นางเพียงยืนอยู่ข้างหลังโจวซื่อเงียบ ๆ ราวกับดอกไม้ประดับ
สาวใช้นางหนึ่งเร่งรุดตรงเข้ามาหาโจวซื่อที่เรือนเม่ย
เมื่อถึงข้างกายโจวซื่อแล้ว นางก็เขย่งเท้าเล็กน้อยและกระซิบข้างหู “นายหญิงใหญ่เจ้าคะ ฮูหยินรองมีเรื่องต้องคุยกับท่านตอนนี้เจ้าค่ะ”
สีหน้าโจวซื่อมืดครึ้มทันใด นางพยักหน้าให้สาวใช้ที่สวมชุดสีเขียว ซึ่งเป็นหนึ่งในสาวใช้คนสนิทของมารดานาง
โจวซื่อหันไปมองฉู่เหลียนที่ดูงุนงง นางอดมิได้ให้กังวล ทว่าโชคดีนัก นายหญิงคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดสีเหลืองบังเอิญเดินผ่านมาพอดี
“อาจื่อ เหตุใดเจ้ามาช้านัก?” โจวซื่อก้าวไปต้อนรับนางอย่างสนิทสนม
ฉู่เหลียนมองไปยังสตรีที่โจวซื่อเรียกว่า ‘อาจื่อ’ นางลอบรู้สึกเย็นวาบในใจ นั่นไม่ใช่ตัวประกอบฝ่ายหญิงในนิยายต้นฉบับหรอกเหรอ? นางมีนามว่าเว่ยเฟิงจื่อ เป็นน้องสาวคนสุดท้องของเว่ยกุ้ยเฟย ทั้งยังเป็นภรรยาของรองเสนาบดีกรมขุนนาง ซึ่งแท้จริงแล้วนางจะต้องปรากฏตัวในช่วงหลังของนิยาย ฉู่เหลียนจึงไม่คาดว่าจะได้พบนางในงานอายุยืนของติ้งหยวนโหวเช่นนี้
“หยวนจิ่ง”
เว่ยเฟิงจื่อยิ้มต้อนรับ ด้วยชุดสีเหลืองอ่อนที่นางสวมใส่อยู่ ทำให้นางดูเยาว์วัยกว่าอายุจริง
หยวนจิ่งคือชื่อของโจวซื่อ จากชื่อที่พวกนางใช้เรียกกันและกัน ทำให้เห็นได้ชัดว่าพวกนางเป็นเพื่อนที่รักกันมานาน
“อาจื่อ นี่น้องสะใภ้สามของข้า ข้ารบกวนเจ้าช่วยดูแลนางแทนข้าสักครู่เถิด ข้ามีธุระด่วนต้องไปจัดการที่เรือนของมารดา”
“ได้สิ อย่ากังวลไปเลย ไปเถอะ!” เว่ยเฟิงจื่อมองโจวซื่อด้วยสายตาให้กำลังใจ ก่อนที่โจวซื่อจะเร่งร้อนนำสาวใช้ส่วนตัวออกไปจากเรือนเม่ย
ฉู่เหลียนที่ถูกทิ้งไว้เจอปัญหาหนักซะแล้ว
‘ฉู่เหลียน’ ในต้นฉบับนั้นเป็นศัตรูกับเว่ยเฟิงจื่อ!
เว่ยเฟิงจื่อมองฉู่เหลียนตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อเห็นฉู่เหลียนก้มหน้าลงต่ำ เว่ยเฟิงจื่อก็นิ่วหน้า
“น้องหญิงฉู่ เหตุใดไม่มานั่งตรงนี้เล่า”
ฉู่เหลียนเงยหน้ามองเว่ยเฟิงจื่อ ในเวลาเดียวกันนั้น เหล่านายหญิงจวนอื่นต่างเรียกหาเว่ยเฟิงจื่อจากที่ไม่ไกล เมื่อเห็นเป็นดังนั้นฉู่เหลียนจึงรีบเสนอ “ฮูหยิน หากท่านไม่ว่างก็ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นไร ข้าจะหาที่นั่งแถวนี้นั่งรอเจ้าค่ะ”
ไม่รู้ด้วยเหตุใด เว่ยเฟิงจื่อรู้สึกไม่ชอบนายหญิงสามของจวนจิ่งอันเท่าไรนัก หากไม่ใช่โจวซื่อที่ร้องขอ นางคงไม่มาวุ่นวายกับสตรีผู้นี้แน่ อีกทั้งฉู่เหลียนยังปฏิเสธคำเชิญดี ๆ ของนาง ยิ่งทำให้นางไม่พอใจ และจะไม่อดทนอีกต่อไป
“ได้ เช่นนั้นข้าจะไปตรงนั้น หากต้องการอะไร เจ้าก็ส่งสาวใช้มาบอกข้าแล้วกัน”
ฉู่เหลียนพยักหน้าอย่างเชื่อฟังและเงยหน้ายิ้มให้เว่ยเฟิงจื่อ
กระทั่งเว่ยเฟิงจื่อจากไป ฉู่เหลียนจึงลอบถอนใจด้วยความโล่งอก นางมองไปรอบ ๆ ก่อนจะเจอมุมดี ๆ ด้านนอกศาลา จึงได้เดินไปยังที่นั่น
แม้นางจะได้ยินเสียงพูดคุยของผู้คนรอบกาย ไปจนถึงเสียงซุบซิบเรื่องของตน แต่ก็หาได้จำเป็นไม่ที่จะต้องไปโมโหกับเรื่องพรรค์นั้น คนเหล่านี้อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ นางไปควบคุมปากใครไม่ได้หรอก
ฉู่เหลียนเม้มปาก ทำท่าเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
หญิงสาวเอนกายพิงพนักเก้าอี้ ที่เบื้องหน้ามีจานขนมตั้งอยู่ นางจึงหยิบขึ้นมาทาน แต่เมื่อทานไปได้คำเดียวก็พลันนิ่วหน้า แทบจะพ่นมันออกมา ไอ้เจ้านี่มันทำมาจากอะไรเนี่ย! ? หวานนัก แต่ไม่หวานจนเกินไป ทั้งยังรสเปรี้ยวอีก แต่ก็ไม่ขนาดนั้น…เอาสั้น ๆ รสชาติเลวร้ายที่สุด
เมื่อได้ชิมของว่างที่จวนติ้งหยวนยกเสิร์ฟแขกเหรื่อแล้ว ฉู่เหลียนจึงได้เข้าใจว่าเหตุใดขนมของแม่ครัวโจวถึงดูอร่อยสำหรับทุกคนขนาดนั้น
…….
อีกฟากหนึ่งของสระบัว บุรุษหล่อเหลาในชุดสีน้ำเงินเข้มยืนอยู่ที่ระเบียงเรือนฉินเฟิงพร้อมพัดในมือข้างหนึ่ง ดวงตายาวหรี่จับจ้องเพียงจุดหนึ่งในเรือนเม่ย
ณ มุมหนึ่งของเรือนเม่ยมีนายหญิงท่านหนึ่งนั่งอยู่พลางยื่นนิ้วเรียวงามไปหยิบขนมชิ้นเล็กมากัด จากนั้นนางก็นิ่วหน้า วางขนมลง พร้อมทั้งแลบลิ้นออกมาด้วยความขยะแขยง
ดวงตาดำสนิทราวหยดน้ำหมึกของเซียวป๋อเจี้ยนยังคงจ้องมองหญิงสาวอย่างไม่วางตา เขาอดคิดในใจไม่ได้ ‘เหลียนเอ๋อร์ยังเหมือนเดิม นางชอบแต่ของหวาน ๆ ของว่างที่จวนติ้งหยวนโหวนั้นติดจะเปรี้ยวเล็กน้อย นางต้องไม่ชอบเป็นแน่!”
“พี่เซียว ท่านมองอะไรอยู่หรือ?”
เมื่อหันไป เซียวป๋อเจี้ยนก็เห็นเจิ้งซื่อจื่อที่สวมชุดคอกลมเดินมา
“เจิ้งซื่อจื่อ”
เจิ้งซื่อจื่อมองตามสายตาของเซียวป๋อเจี้ยนไป เอ่ยขึ้น “เหมือนตรงนั้นจะเป็นที่สังสรรค์ของเหล่าฮูหยิน มารดาข้าก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน ทำไมหรือพี่เซียว? ท่านเจอคนรู้จักหรือ?”
เซียวป๋อเจี้ยนเก็บซ่อนอารมณ์ที่ปั่นป่วนในดวงตา และเอ่ยตอบอย่างใจเย็น “แค่มองเท่านั้น เข้าไปข้างในกันเถอะ!”
เจิ้งซื่อจื่อที่กำลังจะกลับเข้าไปด้านใน ทว่าสตรีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามศาลานั้นหันกลับมาเผยให้เห็นใบหน้าเสียก่อน ชายหนุ่มตกตะลึงในความงามเสียจนนัยน์ตาคู่นั้นเบิกกว้าง
“พี่เซียว พี่เซียว อย่าเพิ่งไป ดูนั่นสิ!”
เซียวป๋อเจี้ยนหันกลับมามองตามทิศที่เจิ้งซื่อจื่อชี้ จึงได้เห็นฉู่เหลียนที่จ้องมองข้ามสระบัวมา ใบหน้างดงามของชายหนุ่มกลับผันเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด
ทางฝั่งฉู่เหลียน นางกำลังเบื่อจนสุดจะทานทน จึงจัดการขยี้ขนมที่ทานไม่หมดเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วโยนลงสระบัวเพื่อเป็นอาหารแก่ปลาจิ๋นหลี่
“นั่นไม่ใช่นายหญิงสามแห่งจวนจิ่งอัน คุณหนูฉู่หรอกหรือ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นขัดความเบื่อหน่ายอย่างกะทันหัน
ฉู่เหลียนหันไปมองอย่างตกใจเล็กน้อย นางยังได้ยินเสียงผู้คนที่อยู่ไม่ไกลคุยกัน
“เหตุใดท่านหญิงอานหมิ่น องค์หญิงเล่อเหยา และองค์หญิงต้วนเจี่ยจึงเสด็จมาที่นี่ได้เล่า?”
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6816