ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 4 ยกน้ำชา
จวนจิ่งอันป๋อเป็นตระกูลผู้บัญชาการทหาร ปู่ของจิ่งอันป๋อคนปัจจุบันเป็นบิดาของหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งอาณาจักร ดังนั้นแม้ว่าศักดิ์ของจวนจะถูกลดลงในช่วงรุ่นที่ผ่านมาจากกงเป็นป๋อ อำนาจของจวนจิ่งอันก็ยังมิอาจดูแคลนได้
จวนจิ่งอันต่างจากครอบครัวทหารทั่วไป มิใช่เป็นเพียงตระกูลทหารไร้กำลังที่ฮ่องเต้ชุบเลี้ยงราวกับสัตว์เลี้ยงอย่างตระกูลอื่น
จิ่งอันป๋อคนปัจจุบันรับหน้าที่ป้องกันชายแดนสำคัญที่สุดในหมิงโจว ได้รับพระราชทานตำแหน่งและสมญานามเป็นเจินหนานเจียงจุน บัญชาการการป้องกัน
ในจวนจิ่งอันนั้น เฮ่อฉางฉีหรือเฮ่อต้าหลาง[1] บุตรชายคนแรกทำหน้าที่ดูแลภายในบ้าน เฮ่อฉางเจว๋หรือเอ้อร์หลาง[2] บุตรชายคนที่สองเข้ารับราชการในกองทัพรับหน้าที่ดูแลพระราชวัง
ส่วนบุตรชายคนที่สาม เฮ่อฉางตี้หรือเฮ่อซานหลางนั้นร่ำเรียนวิทยายุทธจากบิดาและพี่ชายมาแต่เยาว์วัย เข้าร่วมกองทัพบ่อยครั้ง ทำให้มีชื่อเสียงเลื่องลือไม่น้อย
ฮูหยินจิ่งอันป๋อได้ให้กำเนิดบุตรชายสามคน ทว่าเมื่อให้กำเนิดบุตรชายคนที่สาม นางก็ประสบภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจนล้มป่วยติดเตียงจนถึงทุกวันนี้
จิ่งอันป๋อปกป้องชายแดนที่อยู่ห่างไกลทำให้ได้กลับบ้านเพียงไม่กี่ครั้งในรอบหลายปี ตระกูลเฮ่อจึงมีกฎพิเศษอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือบุรุษตระกูลเฮ่อสามารถแต่งภรรยาได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น และจะมีสิทธิรับอนุภรรยาได้ก็ต่อเมื่ออายุถึงสามสิบ และภรรยายังมิอาจให้กำเนิดบุตรชายได้
ดังนั้นแม้ฮูหยินจิ่งอันป๋อจะมีสุขภาพย่ำแย่เพียงใด นางก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายถึงสามคน ดังนั้นเฮ่อเหล่าไท่จวินจึงดูแลลูกสะใภ้คนนี้ของตนเป็นอย่างดี
ทว่าราวกับจิ่งอันป๋อนั้นใช้โชคทั้งหมดของตระกูลไปเสียหมดในการสืบทอดสายเลือด เมื่อมาถึงรุ่นหลาน ปรากฏว่าไม่มีใครสามารถให้กำเนิดบุตรได้แม้แต่คนเดียว
เฮ่อฉางฉีสมรสกับหลานสาวติ้งหยวนโหว คือโจวซื่อโจวซื่อ ซึ่งแต่งเข้าตระกูลเฮ่อได้เพียงปีเดียวก็ตั้งครรภ์ ทว่าทารกนั้นกลับเป็นบุตรี หลังจากนั้นอีกสองปีนางก็ตั้งครรภ์อีกครั้ง และผลออกมาก็ยังคงเป็นบุตรีเช่นเดิม
แม้ไม่ชัดเจนนักว่าปัญหาอยู่ที่ตัวนางหรือเฮ่อต้าหลาง ทว่าหลังจากนั้นตลอดระยะเวลาสี่ปีเต็ม นางก็ไม่ตั้งครรภ์อีกเลย
ส่วนเฮ่อเอ้อหลางเป็นคนแปลกคนหนึ่งก็ว่าได้เขาเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่อายุน้อย กระทั่งตอนนี้ก็อายุยี่สิบสี่ปีแล้ว แต่ยังคงปฏิเสธการแต่งงาน ความเอาแต่ใจนี้รุนแรงถึงขั้นทำให้ทะเลาะกับคนในครอบครัว ดเขาจึงมักพักอยู่ในกองทัพโดยไม่กลับจวน เว้นเสียแต่จะมีเหตุการณ์สำคัญๆ เท่านั้น
เมื่อเฮ่อต้าหลางเห็นเช่นนั้น ก็รู้สึกอยากจะสั่งสอนน้องชายผู้ดื้อรั้นของตนเสียจริง
แต่ในที่สุดเฮ่อซานหลางผู้หล่อเหลาก็แต่งงาน และได้เจ้าสาวเป็นถึงคุณหนูตระกูลฉู่ที่เฮ่อเหล่าไท่จวินจำเพาะเจาะจงร้องขอพระราชทานสมรสมาเลยทีเดียว
เฮ่อเหล่าไท่จวินคาดว่าตนจะได้อุ้มหลานชายน่ารักตัวอวบอ้วนเสียที ทว่าโชคไม่ดีนักที่เฮ่อซานหลางคนนี้กลับชาติมาเกิดใหม่ คงจะแปลกยิ่งหากเขาต้องการร่วมหอกับภรรยาที่เคยหลอกลวงเขาในชาติก่อน!
โธ๋… เฮ่อเหล่าไท่จวินคงต้องรอไปอีกนานทีเดียว
และแน่นอนล่ะ เฮ่อเหล่าไท่จวินไม่รู้ข้อเท็จจริงใดๆ ในเรื่องนี้แม้แต่น้อย
ส่วนฉู่เหลียนที่เดินตัวตรงตามเฮ่อซานหลางมานั้น… แม้นางจะไม่รู้ว่าเหตุใดนิสัยของเฮ่อซานหลางจึงเปลี่ยนไป แต่นางก็รู้เหตุการณ์ทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า เพราะนางกลายมาเป็นนางเอกในนิยายที่ตนอ่านอยู่นี่นา!
เมื่อตอนที่นางเริ่มอ่านนิยายเล่มนั้น การกระทำต่างๆ ของนางเอกที่ใช้ชื่อเดียวกับนาง ทำให้ฉู่เหลียนถึงกับพูดไม่ออก
เฮ่อซานหลางทั้งหน้าตาดี มีพรสวรรค์ และมีครอบครัวที่ดีพร้อม ตระกูลเฮ่อนั้นเรียบง่ายและไม่มีปัญหาภายในเช่นครอบครัวอื่น การได้แต่งเข้าเป็นนายหญิงในครอบครัวขุนนางเช่นนี้มีตรงไหนที่ไม่ดีกัน? ทำไมยัยนั่นต้องคอยสร้างปัญหาเยอะแยะเพื่อเซียวป๋อเจี้ยนนั่นด้วย?
นางเอกในนิยายนางนี้ยอมกระทั่งทำลายชื่อเสียงของตน ตอนนั้นฉู่เหลียนยังสงสัยว่าคนเขียนมีความแค้นอะไรกับนางเอกหรือไม่ ถึงให้นางตัดสินใจเลือกหนทางเลวร้ายที่สุดเท่าที่จะทำได้อยู่เรื่อย…
แต่โชคไม่ดีนัก บางทีอาจเพราะเกลียดนิยายมากเกินไป เมื่อฉู่เหลียนลืมตาตื่น ก็พบว่านางได้กลายเป็นยัยนางเอกบ้าคนนั้นเสียเอง! หากนางรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นละก็ นางจะต้องเร่งอ่านนิยายเล่มนั้นจนจบแน่นอน ทว่าสิ่งนั้นก็ไม่เกิดขึ้น ตอนนี้นางจึงอยู่ในสถานะที่ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ต่างๆ จะพัฒนาไปในทิศทางใดในครึ่งหลัง นางไม่รู้ว่าจุดจบของนางเอกเป็นอย่างไร หรือเฮ่อซานหลางจะเป็นอย่างไรในตอนท้าย
เพิ่มเติมในส่วนที่เฮ่อซานหลางเปลี่ยนไปอย่างลึกลับนั้น ก็ทำให้ฉู่เหลียนแทบบ้า
นางเหม่อลอยเล็กน้อยขณะก้าวเดิน จึงสะดุดทางเดินก้อนกรวดและแทบจะเท้าพลิก โชคดีที่ฉีเยี่ยนจับตัวนางไว้ทันเวลา
เฮ่อซานหลางได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้น ก็หันกลับไปมองหญิงสาวร่างเล็กด้านหลังอย่างเย็นชา นัยน์ตาที่ไร้ซึ่งความปรานีนั้นคล้ายส่งสัญญาณเตือนนางเป็นระยะ “ระวังตัวไว้เถอะ!”
เมื่อเทียบว่าเป็นครอบครัวขุนนางแล้ว ผังตระกูลเฮ่อจัดได้ว่าเรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง
เฮ่อเหล่าไท่จวินดำรงตำแหน่งสูงที่สุดในบ้าน ส่วนบุตรสาวของเฮ่อต้าหลางนั้นอายุน้อยที่สุด เขาไม่มีอนุภรรยาหรือบุตรนอกสมรส ซึ่งแตกต่างกับจวนอิ้งกั๋วกงที่ความสัมพันธ์ในครอบครัวมีความซับซ้อน
สถานที่ทำความเคารพเฮ่อเหล่าไท่จวินจัดขึ้นในห้องโถงชิ่งสี่ที่ใช้สำหรับจัดงานรื่นเริงโดยเฉพาะ
เมื่อคู่บ่าวสาวมาถึงประตูทางเข้าก็พบกับเหลียวหมัวมัว หนึ่งในบ่าวรับใช้ขั้นสูงที่รับใช้ใกล้ชิดเฮ่อเหล่าไท่จวินเดินมาต้อนรับ “บ่าวขอคารวะคุณชายสาม นายหญิงสาม”
ฉู่เหลียนเร่งฝีเท้าเดินมาข้างหน้าเพื่อพยุงเหลียวหมัวมัวให้ลุกขึ้น[3] “จะให้เหลียวหมัวมัวมาเคารพเราได้อย่างไร?”
เหลียวหมัวมัวเป็นหนึ่งในหมัวมัวที่ดูแลภายในจวนและมีอำนาจสั่งการต่างๆ ทั้งนางยังนิสัยดีและเป็นคนที่คู่ควรแก่การคบหาอีกด้วย
ฉู่เหลียนทดข้อมูลทั้งหมดในใจ
เมื่อเฮ่อฉางตี้เห็นว่านางใส่ใจหมัวมัวตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอในจวนของตระกูลเฮ่อ เขาก็อดมิได้ที่จะมองว่าการกระทำของนางช่างไร้ค่า ที่ทำลงไปก็เป็นเพียงกลอุบายและการหลอกลวงทั้งสิ้น
นึกถึงคำกล่าวที่ว่า “เมื่ออยู่ไกล ใจก็ห่าง” เฮ่อฉางตี้ย่างเข้าโถงชิ่งสี่เป็นคนแรก
เหลียวหมัวมัวขมวดคิ้วเมื่อเห็นพฤติกรรมเช่นนี้ของเฮ่อซานหลาง ก่อนที่นางจะหันไปหาฉู่เหลียนพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าและจับมือหญิงสาวไว้ เพื่อนำทางเข้าสู่โถงด้านใน
ทุกคนรวมกันอยู่ในห้องรับแขกที่โถงชิงสี่เป็นที่เรียบร้อย
ฉู่เหลียนมองพวกเขาอย่างสุภาพ พยายามจับคู่สิ่งที่บรรยายไว้ในนิยายเข้ากับภาพเบื้องหน้า
สตรีชราผู้มีผมสีดอกเลาที่สวมใส่เครื่องประดับศีรษะสีแดงนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะน่าจะเป็นเฮ่อเหล่าไท่จวินแห่งจวนจิ่งอันป๋อ
นางแต่งกายหรูหรา ท่วงท่าและสายตาดูสุภาพเป็นธรรมชาติ แม้จะไม่มีเส้นผมสีดำหลงเหลือ ทว่าใบหน้าของนางมิได้ดูแก่ชราแต่อย่างใด กลับดูคล้ายว่ายังอายุไม่เกินห้าสิบหรือหกสิบปี
จิ่งอันป๋อต้องประจำการอยู่ชายแดนจึงไม่สามารถกลับบ้านได้หากไม่ได้รับพระบรมราชานุญาต ดังนั้นแม้บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนจะสมรส ก็ยังทำได้เพียงส่งจดหมายปึกใหญ่ มาให้แทนเจ้าตัวที่ยังคงประจำการอยู่ที่หมิงโจว
สตรีวัยสี่สิบที่นั่งถัดจากเฮ่อเหล่าไท่จวินมีผิวซีดขาวและรูปร่างผอมบาง แม้จะประดับประดาร่างกายด้วยไข่มุกและหยก แต่ก็ไม่อาจซ่อนความเจ็บป่วยที่แฝงเร้นภายในกายของนางได้ สตรีผู้นี้คงเป็นแม่สามีที่มักจะนอนติดเตียง เนื่องจากสุขภาพไม่ค่อยดีผู้นั้นเป็นแน่
ถัดจากฮูหยินจิ่งอันป๋อ ก็พบว่ามีสตรีหน้าตางดงามนางหนึ่งนั่งอยู่ซึ่งดูแล้วอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบปี นางแต่งกายด้วยชุดสีม่วงอ่อน แลดูสุขุมเยือกเย็น พร้อมทั้งมีเด็กหญิงสองคนนั่งอยู่ข้างๆ คนหนึ่งตัวเล็ก อีกคนหนึ่งดูโตกว่า สองคนนี้คือสตรีที่อายุน้อยที่สุดในจวนจิ่งอันป๋อ อันเอ๋อร์และหลินเอ๋อร์ ส่วนสตรีผู้เป็นเจ้าของใบหน้าละอ่อนอันงามงดนี้คือโจวซื่อ ภริยาของบุตรชายคนโตของจิ่งอันป๋อเป็นแน่ นางมิได้ดูดีหรือร้ายดังที่บรรยายไว้ในครึ่งแรกของนิยาย ฉู่เหลียนจึงไม่มั่นใจนักว่าควรใกล้ชิดกับนางหรือไม่
ถัดจากโจวซื่อมีสตรีวัยกลางคนสองนางนั่งอยู่ ในนิยายเคยกล่าวถึงคนทั้งคู่เพียงครั้งเดียว ซึ่งพวกนางก็คือบุตรีของเฮ่อเหล่าไท่จวินที่แต่งออกไปแล้ว
เฮ่อต้าหลางและเฮ่อเอ้อร์หลางนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเฮ่อเหล่าไท่จวิน
เฮ่อต้าหลางมีผิวสีแทน ร่างกายกำยำ ส่วนเฮ่อเอ้อร์หลางนั้นดูละหม้ายคล้ายพี่ชายไม่มีผิด ทั้งคู่ดูสมกับที่เป็นบุตรชายแห่งตระกูลทหาร ในขณะที่เฮ่อซานหลางเป็นสุภาพบุรุษที่ดูสะอาดสะอ้านและงดงาม เฮ่อซานหลางช่างดูต่างจากบรรดาพี่ชายราวกับมิได้เกิดจากมารดาคนเดียวกัน
นางคิดว่าจิ่งอันป๋อ พ่อสามีของนางน่าจะมีลักษณะเหมือนเฮ่อต้าหลางในวัยกลางคนกระมัง
เฮ่อซานหลางมิได้ใส่ใจฉู่เหลียนแม้แต่น้อย ทันทีที่เห็นหมัวมัวทั้งสองนางวางเบาะรองนั่งตรงหน้า เขาก็แทบจะคุกเข่าลงไปทันที
ฉู่เหลียนเพิ่งจะแต่งเข้า จึงมิกล้าสำรวจมากจนเกินไป นางเพียงทำตามเฮ่อซานหลาง คุกเข่าลงอย่างแช่มช้อย
เหลียวหมัวมัวยิ้มพร้อมกับส่งถ้วยน้ำชาให้แก่คู่แต่งงานใหม่
ฉู่เหลียนรับถ้วยน้ำชามาก่อนยกมันขึ้นด้วยสองมือบาง และส่งต่อให้เฮ่อเหล่าไท่จวินอย่างนอบน้อม
“หลานสะใภ้คารวะท่านย่า ขอให้ท่านโชคดีอย่างไร้จุดสิ้นสุดดั่งทะเลตะวันออก อายุยืนยาวเช่นขุนเขาตะวันตก ขอให้ท่านย่าโปรดรับน้ำชา”
เฮ่อเหล่าไท่จวินจับจ้องคู่สมรสเบื้องหน้า ก่อนจะยิ้มกว้างเห็นฟัน
นางรับถ้วยน้ำชาขึ้นดื่ม ก่อนจะสัมผัสที่มือขาวผ่องของฉู่เหลียนเบาๆ แล้วประคองถอดหยกเครื่องรางสูงค่าจากเอวมอบใส่มือหญิงสาว
“เด็กดี รับหยกเครื่องรางนี้ไป สิ่งนี้เป็นของที่ท่านปู่มอบให้ เป็นของมีค่าทีเดียว”
ผู้น้อยไม่ควรปฏิเสธการส่งมอบของจากผู้อาวุโส ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังเป็นเครื่องรางที่ผู้เฒ่าของตระกูลมอบให้แก่ลูก-หลานสะใภ้ ฉู่เหลียนจึงน้อมรับและกล่าวขอบคุณเฮ่อเหล่าไท่จวินสำหรับของขวัญที่มีค่าชิ้นนี้
เฮ่อฉางตี้ยังคงคุกเข่าหลังตรง มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเย็นชา
ฮ่าๆ!
เป็นไปดังที่เฮ่อฉางตี้คาดไว้ เป็นหยกเครื่องรางนี้อีกครั้ง! นังแพศยานี่มิคู่ควรจะได้รับหยกเครื่องรางชิ้นนี้แม้แต่น้อย อีกไม่กี่ปีหลังจากนี้ เครื่องรางชิ้นนี้คงจะไปประดับอยู่ที่เอวของเซียนอู่จิ้งเป็นแน่แท้!
ดวงตาของเฮ่อฉางตี้ลุกโชนไปด้วยไฟแห่งโทสะที่พร้อมจะมอดไหม้อีกครา เขาอยากเข้าไปกระชากหยกเครื่องรางออกจากตรงนั้นเสีย
ฉู่เหลียนไม่มีเรี่ยวแรงจะไปรับมือกับเขาในตอนนี้ ใครจะรู้ว่าหากเขาโยนมันทิ้งไป จะเกิดอะไรขึ้น?
ในจวนนี้นอกจากเฮ่อเหล่าไท่จวินแล้ว ยังมีฮูหยินจิ่งอันป๋อซึ่งเป็นแม่สามีของฉู่เหลียน
เฮ่อซานหลางเป็นบุตรชายหัวแก้วหัวแหวน ที่ฮูหยินจิ่งอันป๋อใส่ใจที่สุด
ฉู่เหลียนไม่รู้ว่าแม่สามีของนางจะเป็นคนเช่นไร กระนั้นนางก็ยกน้ำชาส่งให้แม่สามีไปตามปกติ ฮูหยินจิ่งอันป๋อสุขภาพไม่สู้ดีนัก จึงเพียงจิบน้ำชาแล้วสั่งสอนคนทั้งคู่ให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข จากนั้นนางก็ถอดกำไลมือหยกสีแดงมอบให้ฉู่เหลียน
ฉู่เหลียนมองของขวัญแรกพบที่ตรงตามในนิยาย ก็ยิ้มอย่างไร้หนทางอยู่ในใจ
สมาชิกคนอื่นในครอบครัวล้วนรุ่นเดียวกับนาง นางจึงไม่ต้องคุกเข่ายกน้ำชา
เมื่อถึงคราวต้องทักทายเฮ่อต้าหลางและโจวซื่อ
โจวซื่อนั้นนั่งอยู่แถวเดียวกับป้าสะใภ้ของนาง จึงยากที่จะแยกทั้งสามออกจากกัน
ในขณะนั้นมีเพียงคู่บ่าวสาวที่ยืนอยู่ ณ ใจกลางห้อง และฉู่เหลียนเองก็ไม่ได้มีใครแนะนำใดๆ แก่นาง
เฮ่อฉางตี้ที่ยืนเอามือไพล่หลังยังคงเมียงมองนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์โดยไม่ช่วยเหลือเลยแม้แต่น้อย
เฮ่อเหล่าไท่จวินหน้านิ่วเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
โชคดีที่ฉู่เหลียนอ่านนิยายมาก่อน ไม่เช่นนั้นนางคงได้กระทำสิ่งที่น่าอับอายเป็นแน่
ฉู่เหลียนก้มศีรษะทักทายนายหญิงในชุดสีม่วงอ่อนพลางเอ่ย “คารวะพี่สะใภ้”
นางหันไปหาบุรุษผิวแทนร่างกำยำที่อีกฝั่ง และทักทายเขาในฐานะ ‘พี่ใหญ่’
หลังยกน้ำชาและรับของขวัญจากทั้งคู่ นางก็ยกน้ำชาแก่สมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวตามลำดับ
เมื่อพิธีการยกน้ำชาเสร็จสิ้น คู่บ่าวสาวก็ไปยืนตรงที่ว่างที่เหลืออยู่
ใบหน้าหล่อเหลาของเฮ่อฉางตี้ยังคงไร้ความรู้สึก ฉู่เหลียนรู้สึกกระวนกระวายและอึดอัดเล็กน้อย ธรรมเนียมในที่แห่งนี้แตกต่างจากสังคมยุคปัจจุบันแทบจะสิ้นเชิง ดังนั้นแม้จะรู้อยู่แล้วว่าในนิยายมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น แต่นี่ก็ยังเป็นครั้งแรกที่นางได้อยู่ในสังคมที่มีขนบธรรมเนียมเช่นนี้ โชคดีนักที่ตระกูลเฮ่อมีครอบครัวไม่ซับซ้อน ไม่เช่นนั้นนางคงกังวลยิ่งกว่านี้เป็นแน่
“ภรรยา…” เฮ่อซานหลางผู้ไม่ต้องการจะข้องเกี่ยวใดๆ กับฉู่เหลียนต้องกล้ำกลืนเข้ามาชิดใกล้และกัดฟันเรียกอีกฝ่าย
ฉู่เหลียนรู้สึกแปลกแต่ก็ยังหันไปหาเขา กะพริบตากลมโตใสซื่อมองเฮ่อฉางตี้ “มีอะไรหรือ สามี?”
เฮ่อฉางตี้อยากบีบคอนางแม่มดคนนี้นัก! ทำท่าไร้เดียงสาต่อหน้าเขา… หากฆ่านางตอนนี้ นางก็คงจะแสดงไปจนตายเลยกระมัง! ทั้งร่างของเขาสั่นสะท้าน ก่อนกระซิบเบาๆ ด้วยระดับเสียงที่ได้ยินเพียงสองคน “เจ้า เหยียบ เท้า ข้า!”
ฉู่เหลียนเหลือบมองด้านล่างและรีบถอยหลังอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเฮ่อฉางตี้มืดมนลงเสียยิ่งกว่าเดิม
เขาคำรามในใจอย่างเกรี้ยวกราด แสดงเข้าไป แสดงเข้าไปสิ! เขาจะเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของนางผู้หญิงแพศยาคนนี้ต่อหน้าตระกูลเฮ่อทั้งตระกูลเอง!
……………………………………………………………………………….
[1] ต้าหลาง แปลว่าบุตรชายคนแรก ใช้เช่นเดียวกับซานหลาง
[2] เอ้อร์หลาง แปลว่าบุตรชายคนที่สอง ใช้เหมือนต้าหลางกับซานหลาง
[3] ปกติแล้วบ่าวรับใช้ต้องทำความเคารพเจ้านาย แต่ชูเหลียนห้ามเหลียวหมัวมัวเพราะวัยที่แก่กว่ามาก นอกจากนั้นยังเป็นหญิงรับใช้ที่เฮ่อเหล่าไท่จวินไว้วางใจ (โดยเฮ่อเหล่าไท่จวินนั้นนับสูงขึ้นไปอีกสองรุ่น) เหลียวหมัวมัวจึงประทับใจในตัวฉู่เหลียน
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6816