ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 47 จัดสรร
เซียวป๋อเจี้ยนคิดไปเองว่าสาวใช้ส่วนตัวของฉู่เหลียนย่อมอยู่ฝ่ายเดียวกับตน ดังนั้นเมื่อส่งจดหมายให้หนึ่งในสาวใช้ส่วนตัวของนางแล้ว ย่อมต้องถึงมือฉู่เหลียนเป็นแน่
เมื่อเวิ่นฉิงกลับมาที่ห้องก็พบว่าจดหมายฉบับนั้นหายไปแล้ว นางรีบรื้อค้นจนทั่วในทันที แต่ก็ไม่พบ จนสุดท้ายนางเกิดหวาดกลัวเสียจนล้มป่วยลุกจากเตียงไม่ได้ไปอีกสองสามวัน
เมื่อหายป่วยแล้ว เวิ่นฉิงก็ทำได้เพียงปลอบใจตนเองว่านางคงทำจดหมายตกหล่นไปที่ไหนสักแห่ง หากนางทำมันร่วงอยู่ในเรือนซงเถา ก็คงมีเพียงแค่สาวใช้ส่วนตัวของฉู่เหลียนเท่านั้นที่อ่านหนังสือออก ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นไปแล้ว ก็คงทำได้เพียงปล่อยผ่านไป และเวิ่นฉิงเองก็มิกล้ารายงานเรื่องนี้ต่อเวิ่นหลานหรือจงหมัวมัว
เมื่อฉู่เหลียนกลับถึงห้องนอนในเรือนซงเถาแล้ว นางก็สั่งฉีเยี่ยนให้นำกล่องเครื่องประดับออกมา
ทันใดที่กล่องไม้ลายลี่ฮวาเปิดออก สมบัติระยิบระยับในกล่องก็ส่องประกายเผยตัวเสียจนกุ้ยหมัวมัว จงหมัวมัว เวิ่นหลาน และคนอื่น ๆ ที่มิได้ไปจวนติ้งหยวนด้วยกันในวันนี้ตาแทบบอด
อะไรกัน? นายหญิงสามไปซื้อของที่ร้านเครื่องประดับแทนไปร่วมงานวันเกิดติ้งหยวนโหวหรืออย่างไร?
ฉู่เหลียนเงยหน้าขึ้นเห็นสีหน้าตกตะลึงของทุกคนจึงได้ยิ้มอย่างซุกซน และหยิบเอา ‘ความกรุณา’ ที่องค์หญิงเล่อเหยาประทานให้เป็นของเดิมพัน รูปปั้นกิเลนทองคำตัวน้อยขึ้นมา แล้วยกขึ้นให้ทุกคนดู “คิดว่าอย่างไร? ไม่สวยหรือ?”
จะไม่สวยได้อย่างไร? นั่นเป็นของที่ฮองเฮารับสั่งให้สมาคมนายช่างทำขึ้นเป็นพิเศษ!
กุ้ยหมัวมัวและจงหมัวมัวพยักหน้าพร้อมกัน
เป็นกุ้ยหมัวมัวที่รู้สึกตัวขึ้นมาก่อน “นาย…นายหญิงสามเจ้าคะ ท่านไปเอาเครื่องประดับล้ำค่าเหล่านี้มาจากที่ใด?”
ย่อมไม่ใช่ของขวัญสำหรับผู้ไปเยือนจวนติ้งหยวนวันนี้แน่ หากจวนติ้งหยวนมอบของเช่นนี้ให้แก่ผู้มาเยือน ประตูจวนคงถูกฝูงชนย่ำเหยียบทุกวันจนแบนบี้ไปแล้ว
ฉู่เหลียนเขย่ากล่องเครื่องประดับ ยิ้มกว้างไปทั่วทั้งหน้า ของเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องประดับชั้นเยี่ยม เว้นแต่ส่วนมากเป็นเพียงปิ่นทองคำปักผมและกำไลทองที่ดูธรรมดา ๆ แม้ว่ารูปลักษณ์จะธรรมดา แต่มูลค่าของมันก็ยังมากพอตัว
ของที่ดีที่สุดคงไม่พ้นกำไลปะการังของหยางฮูหยิน กำไลไข่มุกของหวงฮูหยิน แหวนหยกขาวขององค์หญิงต้วนเจี่ย และรูปปั้นกิเลนทองคำขององค์หญิงเล่อเหยา
ฉู่เหลียนส่งสายตาเป็นสัญญาณให้ฉีเยี่ยน ก่อนจะมองของในกล่องและเลือกเอาเครื่องประดับขึ้นมาเล่น
ฉีเยี่ยนเข้าใจสายตาของฉู่เหลียน จึงเป็นผู้อธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจวนติ้งหยวนให้ทุกคนฟัง
หมัวมัวทั้งสองตกตะลึงไป พวกนางไม่คาดว่าเพียงไปจวนติ้งหยวน นายหญิงสามกลับต้องพบเจอกับอุบายโฉดชั่วเช่นนี้
ทว่าความชื่นชมในตัวนายหญิงน้อยของตนก็ผลิบานขึ้นในใจของคนทั้งคู่ ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยฮูหยินขุนนางขั้นสูง ฉู่เหลียนเป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบห้าปีกลับสามารถรับมือเหตุการณ์ได้ด้วยความสุขุมรอบคอบ แต่นั่นก็ย่อมเป็นเรื่องสาหัสสำหรับนางเช่นกัน
กุ้ยหมัวมัวขมวดคิ้วมองเครื่องประดับสูงค่าบนโต๊ะ พลางคิดไปว่าเครื่องประดับเหล่านี้เป็นของฮูหยินตราตั้งท่านใดบ้าง เหงื่อเย็นค่อย ๆ ไหลท่วมร่าง ก่อนจะหันไปมองนายหญิงของตนที่กำลังเล่นบรรณาการสงครามอย่างไม่ทะนุถนอมแม้แต่น้อย กุ้ยหมัวมัวพลันวิตกกังวลกับความใสซื่อของนายหญิงน้อยอีกครั้ง
ไม่ใช่ว่านายหญิงของนาง…ไร้เดียงสาเกินไปหน่อยหรือ…?
กุ้ยหมัวมัวไม่อยากเอ่ยสิ่งใดต่อหน้าจงหมัวมัว จึงอดทนรอจนทุกคนจากไปก่อน และค่อยเอ่ยปากเตือนฉู่เหลียนเรื่องอันตรายที่อาจจะมาจากการรับของเหล่านี้
บ่าวชรายังไม่ทันได้เอ่ย ฉู่เหลียนก็ส่งปิ่นปักผมและกำไลทองคำให้แก่นาง “หมัวมัว เอาพวกนี้ไปหลอมเป็นทองแท่งเสีย แล้วเอาไปแลกเป็นตั๋วแลกเงิน”
“หา?” กุ้ยหมัวมัวตัดสินใจไม่ถูกว่าจะรับของเหล่านั้นมาดีหรือไม่ จึงเอ่ยเตือนโดยอ้อม “นายหญิงสาม เครื่องประดับเหล่านี้ล้วนแต่เป็นของฮูหยินขุนนางนะเจ้าคะ”
คงไม่ดีเป็นแน่ หากนำเครื่องประดับมีค่าของผู้อื่นไปหลอมใช่หรือไม่
“ตอนนี้ทั้งหมดนี่เป็นของข้าแล้ว หมัวมัวอย่ากังวลไป ข้ารู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ ดังนั้นทำตามที่ข้าบอกเถิด อ้อ ยังจำรายการที่ข้ามอบให้เจ้าคราวก่อนได้หรือไม่ ทำตามคำแนะนำในนั้น เรียบร้อยเมื่อใดค่อยนำกลับมา”
เมื่อฉู่เหลียนออกปากแล้ว กุ้ยหมัวมัวจึงทำได้เพียงรับของเหล่านั้นและปฏิบัติตามคำสั่งด้วยความไม่เต็มใจ
แม้จงหมัวมัวที่ออกจากเรือนไปจะมิได้กล่าวอะไร แต่นางก็คิดว่าจะต้องกลับไปถามเอาความจากเวิ่นฉิงอีกครา
ช่วงเวลามื้อเย็น
ฉู่เหลียนทานอาหารที่เรือนของตนก่อนจะกลับเข้าห้องหนังสือเพียงลำพังเพื่อฝึกคัดลายมือต่อ ไม่นานนักจิ่งเยี่ยนก็เข้ามารายงานว่าเหล่าไท่จวินต้องการให้นางไปพบที่เรือนชิ่งสี่
กุ้ยหมัวมัวจึงเข้ามาช่วยฉู่เหลียนเปลี่ยนชุดพลางถามอย่างกังวล “นายหญิงสาม เหล่าไท่จวินจะเรียกท่านไปพบด้วยเรื่องที่เกิดในจวนติ้งหยวนวันนี้หรือไม่?”
ฉู่เหลียนมองกุ้ยหมัวมัวด้วยสายตาใสสะอาด “หมัวมัวกลัวอะไรหรือ? ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด ท่านย่าเพียงแต่เรียกข้าไปคุย เจ้าก็อย่าได้กังวลอะไรทั้งนั้น”
กุ้ยหมัวมัวเม้มปากแน่น จะไม่ให้นางกังวลเรื่องฉู่เหลียนได้อย่างไร? ทุกคนที่งานเลี้ยงล้วนแต่เป็นคนจากตระกูลขุนนางขั้นสูงหรือสมาชิกราชวงศ์ทั้งสิ้น ดังเช่น หวงฮูหยิน, หยางฮูหยิน, องค์หญิงเล่อเหยา, องค์หญิงต้วนเจี่ย… ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลต้องห้ามที่มิอาจล่วงเกินได้ทั้งนั้น!
แต่อาจเพราะฉู่เหลียนอยู่ในโลกยุคปัจจุบันมายี่สิบกว่าปี นางเลยไม่ค่อยรู้สึกถึงความแตกต่างทางชนชั้นยามต้องพบเจอผู้อื่นเท่าไรนัก และนั่นอาจยังเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นางกล้าที่จะเผชิญหน้ากับเหล่าฮูหยินขุนนางชั้นสูงที่เรือนเม่ยได้โดยไม่หวั่นเกรงแต่อย่างใด
ต่อให้เป็นฮ่องเต้แห่งราชวงศ์อู่ผู้ยิ่งใหญ่มายืนอยู่เบื้องหน้าในยามนี้ อย่างมากนางก็แค่ก้มศีรษะคำนับพระองค์ด้วยความเคารพตามที่ผู้น้อยพึงมีต่อผู้อาวุโส แล้วเอ่ยทักทายไปตามปกติเท่านั้น โดยมิได้เกรงกลัวหรือถึงขั้นต้องมากพิธีการอะไรทำนองนั้น
ดวงตากุ้ยหมัวมัวฉายแววกังวล นางยืนส่งฉู่เหลียนที่ประตูเรือนซงเถา มองร่างนายหญิงที่ค่อย ๆ เลือนหายไปในความมืดยามค่ำคืน
เมื่อฉู่เหลียนมาถึงเรือนชิ่งสี่ ก็เห็นเฮ่อเหล่าไท่จวินที่เปลี่ยนเป็นชุดลำลองเรียบง่ายปักลายนกกระเรียนนั่งจิบชาอยู่บนเก้าอี้นุ่ม
ฉู่เหลียนทักทายตามมารยาทการเข้าหาผู้ใหญ่ จากนั้นเฮ่อเหล่าไท่จวินก็เรียกนางให้ไปนั่งข้าง ๆ ด้วยรอยยิ้ม
“หลานสะใภ้สาม มานั่งตรงนี้สิ”
ฉู่เหลียนนั่งลงข้าง ๆ เฮ่อเหล่าไท่จวินอย่างว่าง่าย ก่อนที่ท่านย่าจะนำกล่องไม้เถามู่สีเหลืองออกมาส่งให้นาง
“เจ้าลองเปิดออกดูเสียสิ”
ฉู่เหลียนโคลงหัวมองหน้าเฮ่อเหล่าไท่จวินด้วยความฉงนใจ แสงอ่อนจากตะเกียงไฟขับเน้นดวงตาอันสดใสมีชีวิตชีวาของนางให้เด่นชัดขึ้น ความที่นางยังเด็ก ความนุ่มนวลจึงมากล้น อีกทั้งรูปลักษณ์ภายนอกยังดึงดูดให้ผู้สูงอายุอดให้ประทับใจเสียมิได้ ยิ่งมองหลานสะใภ้แสดงสีหน้าน่ารักไร้เดียงสา หัวใจของท่านย่าก็ยิ่งรู้สึกชื่นชอบหลานสะใภ้ผู้นี้มากขึ้น
ฉู่เหลียนเปิดกล่องออก ภายในมีภาชนะสำหรับทานอาหารอันประณีตตกแต่งด้วยลวดลายวิจิตร มีทั้งถ้วยใบเล็ก ตะเกียบงาช้าง ช้อนลงรักทองคำ และตะเกียบหยก
ฉู่เหลียนที่ถือชุดภาชนะใส่อาหารนั้นเอาไว้ หันไปมองยังเฮ่อเหล่าไท่จวิน งุนงงยิ่ง
เฮ่อเหล่าไท่จวินหัวเราะ “นี่เป็นรางวัลจากติ้งหยวนโหวผู้เฒ่า”
ฉู่เหลียนพลันนึกถึงซิ่วท้อที่ยกไปเสิร์ฟในห้องจัดเลี้ยงขึ้นมาจึงเข้าใจได้ในทันที “หรือจะเป็นเพราะซิ่วท้อเหล่านั้นเจ้าคะ…?”
เฮ่อเหล่าไท่จวินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเด็กโง่ ไปหัดเรียนทำซิ่วท้อมาตั้งแต่เมื่อใดกัน? เหตุใดก่อนหน้านี้เจ้าถึงไม่ทำให้ย่าชิมบ้างเล่า?”
ตอนที่อยู่จวนติ้งหยวนนั้น เฮ่อเหล่าไท่จวินกำลังดื่มชาอยู่ในเรือนหลังหนึ่ง ไม่ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเรือนเม่ยแม้แต่น้อย นางนั่งสนทนาอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่าทั้งหลาย แล้วจู่ ๆ บ่าวรับใช้คนสนิทของติ้งหยวนโหวผู้เฒ่าก็นำกล่องไม้นี้มาส่ง เมื่อถามไถ่จากบ่าวผู้นั้นจึงได้ทราบว่าฉู่เหลียนได้ร่วมช่วยในงานครั้งนี้ ซิ่วท้อเพียงถาดหนึ่งนั้นได้รับคำชื่นชมอย่างสูงทีเดียว
ความคิดหลากหลายถาโถมเข้ามาในหัวของเฮ่อเหล่าไท่จวิน ทว่านางกลับไม่แสดงออกบนใบหน้า เพียงรับของขวัญมาแต่โดยดีและกล่าวขอบคุณเท่านั้น จากนั้นนางก็ยังคงได้รับคำชื่นชมอีกมากมายจากบรรดาฮูหยินผู้เฒ่า แล้วจึงได้รู้รายละเอียดทั้งหมดจากสาวใช้ที่โจวซื่อส่งมา
“หากท่านย่าอยากลองชิม พรุ่งนี้หลานจะทำให้นะเจ้าคะ” ฉู่เหลียนรีบเสนอทันที
“ดีเสียจริง เช่นนั้นพรุ่งนี้ย่าจะรอชิมซิ่วท้อของเจ้าก็แล้วกัน”
ฉู่เหลียนปิดฝากล่องไม้ลงและวางไว้ด้านข้าง “ท่านย่ายังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่เจ้าคะ?”
หากเหล่าไท่จวินเพียงต้องการส่งของขวัญกล่องนี้ให้ ย่อมต้องสามารถรอจนถึงวันพรุ่งนี้ยามคารวะช่วงเช้าได้ แต่เมื่อเรียกนางมายังเรือนชิ่งสี่เพียงผู้เดียวในยามวิกาลเช่นนี้ แสดงว่าย่อมมีบางสิ่งที่ต้องกล่าวแก่นางเพียงลำพังเป็นแน่
ดังคาด เหล่าไท่จวินเอ่ยต่อ “หลานสะใภ้สาม เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ข้ารับรู้ทั้งหมดแล้ว นับเป็นเรื่องหนักหนาสำหรับเจ้านัก แต่โชคดีที่เหลียนเอ๋อร์ของเราฉลาดสามารถเอาตัวรอดจากอุบายเหล่านั้นมาได้ อีกทั้งย่าได้ยินมาว่าเจ้ายังได้รับเครื่องประดับจากบรรดาฮูหยินเหล่านั้น เจ้าจะทำอย่างไรกับเครื่องประดับพวกนั้นหรือ?”
เฮ่อเหล่าไท่จวินมองสีหน้าฉู่เหลียนระหว่างรอคำตอบ จนทำให้สาวน้อยเผลอแสดงสีหน้าสับสนผ่านม่านดวงตากลมโตนั้น ทว่าแท้จริงแล้วในใจของนางกลับยิ้มกริ่มด้วยความรู้ทัน
เฮ่อเหล่าไท่จวินกำลังทดสอบนาง!
ฉู่เหลียนได้เตรียมการสำหรับของเดิมพันทั้งหมดนั้นไว้แล้ว
“ท่านย่า หลานคงไม่ได้เครื่องประดับเหล่านั้นมาหากไม่มีหยางฮูหยินคอยช่วยสนับสนุน หลานสะใภ้ผู้นี้จะเขียนจดหมายกล่าวขอบคุณและนำส่งของขวัญตอบแทนไปให้นางในวันพรุ่งนี้ แล้วจะสั่งบ่าวไพร่ให้จัดเตรียมส่งเครื่องประดับและของขวัญกลับคืนไปเจ้าค่ะ”
สีหน้าของเฮ่อเหล่าไท่จวินพลันอ่อนโยนใจดีขึ้นมา แต่ไม่ทันไรหลานสะใภ้จอมซุกซนก็กล่าวเสริม “ส่วนของผู้อื่น หลานเป็นฝ่ายชนะ และได้มาด้วยความเป็นธรรมในกรอบกฎเกณฑ์ที่พวกนางตั้งไว้ ดังนั้นของเหล่านั้นย่อมเป็นของหลาน! อืม องค์หญิงเล่อเหยาน่าจะมาขอรูปปั้นกิเลนทองคำคืนเช่นกัน…ส่วนกำไลไข่มุกล้ำค่าของหวงฮูหยินนั้น หลานจะช่วยเก็บรักษาสมบัตินางไว้ให้! ถึงอย่างไรนางก็ดูจะไม่ค่อยชอบหลาน ดังนั้นหลานเองก็ไม่อยากคืนของให้นางเช่นกัน!”
“พรืด…” เฮ่อเหล่าไท่จวินอดกลั้นเสียงหัวเราะไม่ได้อีกต่อไป
น้ำเสียงและท่าทางเหมือนเด็กน้อยของฉู่เหลียน ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะต้องตามใจ
แม้ฉู่เหลียนจะกล่าวด้วยกิริยาราวเด็ก ๆ ทว่าวิธีจัดการกับสิ่งของเหล่านั้นไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม เหล่าไท่จวินได้ยินว่าเครื่องประดับส่วนมากนั้นเป็นสมบัติล้ำค่า คงมีเด็กสาวไม่มากนักที่จะยอมกลั้นใจส่งของมีค่าที่ได้มากลับคืนไป โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้มีเครื่องประดับเลอค่าเป็นของตัวเองอย่างฉู่เหลียน ดียิ่งนักที่ภรรยาเจ้าสามผู้นี้มิได้ดวงตามืดบอดด้วยความละโมบ และยังเลือกวิธีที่ถูกต้องในการจัดการกับ ‘รางวัล’ เหล่านั้นที่ได้มา
แม้จะทำตัวเป็นเด็ก ๆ ไปบ้าง แต่ฉู่เหลียนก็รู้วิธีที่จะทำให้ทุกคนพึงพอใจ จุดประสงค์ที่เหล่าไท่จวินเรียกฉู่เหลียนมาวันนี้ก็เพื่อจะสอนให้นางรู้ตัวและรู้จักระมัดระวังเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งเหล่านี้ที่อาจจะได้พบเจออีกมากในอนาคต แต่กลับมิคาดว่าฉู่เหลียนผู้นี้จะเตรียมการทุกสิ่งเอาไว้แล้วอย่างเหมาะสม
เฮ่อเหล่าไท่จวินยิ่งรู้สึกพออกพอใจนักที่ตนมีหลานสะใภ้ที่ดี ทว่าในขณะเดียวกันนางก็ยิ่งทวีความรู้สึกผิดต่อฉู่เหลียน
เจ้าซานหลางผู้โง่งมไร้หัวใจผู้นั้นกลับไม่ไยดีภรรยาที่แสนวิเศษเช่นนี้! ช่างเสียเปล่านัก!
เฮ่อเหล่าไท่จวินรู้ดีว่าฉู่เหลียนเติบโตมาเช่นไรยามอยู่จวนอิ้ง นางคิดว่าจะรอดูเด็กสาวผู้นี้ให้นานกว่านี้เสียหน่อย ทว่าเมื่อเฮ่อฉางตี้ละทิ้งเรือนไปอย่างกะทันหัน และด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนติ้งหยวนวันนี้แล้ว เฮ่อเหล่าไท่จวินก็รู้สึกว่าตนควรเร่งดำเนินการตามแผนเสียที
“หลานสะใภ้สาม ตอนนี้ก็ดึกแล้ว กลับไปพักผ่อนที่เรือนเจ้าเถิด แล้ววันพรุ่งนี้ก็มาหาย่าที่เรือนเร็วขึ้นหน่อย ย่ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” ฉู่เหลียนรับคำและโค้งกายให้แก่เฮ่อเหล่าไท่จวินก่อนจะเดินออกจากเรียนชิ่งสี่
วันต่อมา ฉู่เหลียนก็มาเรือนชิ่งสี่แต่เช้าตรู่เพื่อคารวะทักทาย
เช้าวันนี้เฮ่อเหล่าไท่จวินตั้งใจตื่นแต่เช้าเช่นกัน ยามฉู่เหลียนมาถึง นางกำลังนั่งจิบชารออยู่ในห้องรับแขก
ฉู่เหลียนมองเซนฉะบนโต๊ะ นิ่วหน้าเล็กน้อย เฮ่อเหล่าไท่จวินอายุมากเพียงนี้ ย่อมไม่เป็นการดีที่จะดื่มชาซึ่งประโคมใส่เครื่องเทศแปลก ๆ ลงไปเช่นนั้น
ในขณะเดียวกัน เมื่อเหล่าไท่จวินเห็นนางมาถึงก็โบกมือให้ฉู่เหลียนนั่งลงข้างกาย ก่อนจะส่งสมุดบัญชีเล่มบางให้แก่นาง
“หลานสะใภ้สาม รับไปเปิดดูเสียสิ”
ฉู่เหลียนเปิดสมุดบัญชีดูอย่างสงสัย นี่เป็นสมุดบัญชีของร้านอาหารร้านหนึ่ง คำว่า ‘ภัตตาคารกุ้ยหลิน’ ถูกเขียนอย่างประณีตบรรจงบนหน้าแรก
“ท่านย่า นี่คือสมุดบัญชีร้านกุ้ยหลินหรือเจ้าคะ?”
เฮ่อเหล่าไท่จวินพยักหน้ายิ้มรับ ภัตตาคารกุ้ยหลินเป็นส่วนหนึ่งของสินเดิมนาง เปิดทำการมากว่าห้าสิบปีแล้ว นับเป็นหนึ่งในร้านเก่าแก่ของเมืองหลวงก็ย่อมได้
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6816