ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 5 ศิลปะการชงชาเขียว
ในช่วงท้ายของพิธียกน้ำชา เฮ่อเหล่าไท่จวินได้สั่งสอนถึงวิธีการครองคู่อย่างสงบสุขแก่คู่สมรสใหม่ทั้งสอง ขณะที่นางกำลังจะกล่าวต่อเพิ่มเติมพลันเหลือบเห็นลูกสะใภ้ ซึ่งเมื่อนึกถึงสุขภาพของลูกสะใภ้แล้ว นางก็ไม่อาจกล่าวสิ่งใดต่อ และปล่อยให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับ
ทว่าเมื่อเฮ่อฉางตี้กำลังจะเดินจากไป เฮ่อเหล่าไท่จวินก็เรียกเขาไว้เสียก่อน
“ซานหลาง ส่งภรรยาเสร็จแล้วมาหาข้าที่เรือน ข้ามีสิ่งที่ต้องพูดคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว”
เฮ่อฉางตี้นิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนพยักหน้าตอบรับ
เมื่อฉู่เหลียนทำความเคารพบรรดาผู้ใหญ่เรียบร้อย เฮ่อฉางตี้ก็รุดจับข้อมือนางแล้วดึงตัวออกมา
ฟันขาวของเฮ่อเอ้อร์หลางส่องประกายตัดกับผิวสีแทน “เฮ้อ ปกติน้องสามก็เย็นชาอยู่แล้ว ใครจะคิดว่าเขาจะเอาอกเอาใจภรรยาถึงเพียงนี้ ในที่สุดเราก็ได้หลักฐานพิสูจน์เสียทีว่าแท้จริงแล้วเขาก็เป็นพวกเดียวกับเรา”
จังหวะนั้นเฮ่อต้าหลางได้แต่กลอกตามองน้องชายของตนด้วยสายตาเชิงตำหนิ
ไม่เป็นไรๆ ปกติก็ไม่มีใครที่บ้านเคยชื่นชมอยู่แล้วนี่ เฮ่อเอ้อร์หลางคิด ก่อนลุกขึ้นหนีออกจากที่นี่ ทว่าเฮ่อต้าหลางกลับใช้สองนิ้วหนีบหูเขาลากไปที่ห้องหนังสือเสียก่อน
“เป่ยเหวิน เจ้ากลับไปพักเสียก่อนเถิด หักโหมไปจะไม่ดีต่อสุขภาพเอาได้” เมื่อเฮ่อฉางตี้และภรรยาจากไปแล้ว เฮ่อเหล่าไท่จวินก็หันไปกล่าวกับลูกสะใภ้ของตน
ร่างกายของหลิวฮูหยินอ่อนแอเป็นที่สุด นางต้องฝืนลุกจากเตียงมาเพื่อพิธียกน้ำชาของบุตรชายและลูกสะใภ้ในวันนี้ หลังจากนั่งอยู่เกือบครึ่งชั่วยาม นางก็แทบจะเป็นลมเสียให้ได้
“มารดา โปรดดูแลซานหลางแทนลูกสะใภ้ด้วย ลูกสะใภ้ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ” หลิวฮูหยินกล่าวอย่างอ่อนระโหยโรยแรง
เฮ่อเหล่าไท่จวินยกมือขึ้นไหว ๆ พร้อมกำชับเหลียวหมัวมัวให้ดูแลพาหลิวฮูหยินกลับเรือน พวกนางเดินจากไปพร้อมกันโดยมีหญิงรับใช้อีกสองคนตามไปส่ง
เหลือเพียงโจวซื่อและบุตรสาวของเฮ่อเหล่าไท่จวินที่ยังคงอยู่ในเรือนชิ่งสี่
เมื่อโจวซื่อเห็นว่าไม่มีอะไรให้ทำแล้ว จึงลุกขึ้นทำความเคารพเฮ่อเหล่าไท่จวิน และตั้งใจจะไปยังเรือนนอกเพื่อจัดการจวนในส่วนของวันนี้
ปัจจุบันเฮ่อเหล่าไท่จวินมิได้ดูแลจวนจิ่งอันป๋อแล้ว เนื่องจากหน้าที่นี้ถูกส่งมอบต่อฮูหยินจิ่งอันป๋อนับตั้งแต่ที่ถูกตบแต่งเข้า ทว่านางล้มป่วยลง เฮ่อเหล่าไท่จวินจึงรับมาดูแลเองเป็นการชั่วคราว แต่ก็ส่งต่อหน้าที่ให้แก่หลานสะใภ้ที่แต่งเข้าจวนมาอย่างรวดเร็ว ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นโจวซื่อที่รับหน้าที่จัดการดูแลจวน
ไม่ว่าจะเป็นกิจการภายในหรือภายนอกเรือนล้วนเป็นหน้าที่ของโจวซื่อทั้งสิ้น
เมื่อเดินพ้นจากเรือนชิ่งสี่ เฮ่อฉางตี้ก็กลับมาแสดงสีหน้าเย็นชาอีกครั้ง เขาสะบัดแขนฉู่เหลียนออกและเดินนำหน้านางกลับไปยังเรือนของพวกตน
ฉีเยี่ยนนิ่วหน้าเมื่อเห็นการกระทำของคุณชาย นางจึงแอบเรียกคุณหนูหกเบาๆ ทว่าฉู่เหลียนกลับเพียงส่ายหน้าพร้อมยิ้มแกมขมขื่น นางพยายามสร้างความมั่นใจให้ฉีเยี่ยนด้วยสายตาที่ไม่หวั่นเกรง ก่อนจะมุ่งกลับเรือน
ใครเล่าจะรู้ว่าเฮ่อซานหลางเป็นอะไร?
เมื่อกลับถึงเรือน เฮ่อฉางตี้ก็นั่งอยู่ที่ห้องพักด้านนอก ดื่มชาถ้วยหนึ่ง ก่อนกลับไปที่เรือนชิ่งสี่อีกครั้ง ฉู่เหลียนที่นั่งอยู่ภายในห้อง หันมองฉีเยี่ยนและฝูเยี่ยนเป็นเชิงให้นำเอาสินเดิมของตนจากจวนอิ้งกั๋วกงออกมา ในขณะนั้นเสียงฝีเท้าหนักแน่นจากภายนอกก็ค่อย ๆ เงียบหาย นางจึงรู้ว่าเขาเดินออกจากห้องพักไปแล้ว
เขาแค่กลับมาพร้อมนาง เพื่อให้เฮ่อเหล่าไท่จวินดูเท่านั้น!
ฉู่เหลียนขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
อ๊าก!!! ปัญหามันอยู่ตรงไหนกันแน่? เฮ่อฉางตี้คนนี้แตกต่างจากในนิยายอย่างสิ้นเชิง! มันผิดพลาดขึ้นตรงไหนหรือ? ทว่านอกจากเฮ่อฉางตี้แล้ว ทุกสิ่งก็เหมือนกันหมดนี่
นางคิดหาเหตุผลไม่ออก จึงเลือกที่จะหยุดคิดเสีย
นางเองในนิยายมีสาวใช้ส่วนตัวสี่คน ทุกคนจะมีคำว่า ‘เยี่ยน’ อยู่ในชื่อ โดยสาวใช้แต่ละคนล้วนเป็นสตรีที่งดงามและมีความสามารถพิเศษแตกต่างกัน แต่จะมีเพียงฉีเยี่ยนและฝูเยี่ยนที่เติบโตมาพร้อมกับนาง ส่วนจิ่งเยียนและหมิงเยี่ยนนั้นฮูหยินอิ้งกั๋วกงมอบให้นางเมื่อครั้นจะแต่งออกจากจวน
ฉู่เหลียนรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับลักษณะนิสัยและจิตใจของพวกนางทั้งสี่เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับจุดจบ… รวมไปถึงที่ฝูเยี่ยนคอยสอดส่องท่าทีของเฮ่อฉางตี้นั้นก็ล้วนแล้วแต่หนีไม่พ้นสายตาของนาง
ฉีเยี่ยนเองก็มองเช่นกัน แต่ในขณะนี้นางหันมองไปยังนายหญิงของตนที่กำลังวางกล่องสินเดิมลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย หัวใจของนางร่วงหล่นและอยากกล่าวสารพัดสิ่งต่อคุณหนูหก ทว่าพี่น้องคนอื่น ๆ ของนางยังอยู่ด้วย จึงเป็นการไม่เหมาะสมที่จะพูดนัก
จู่ ๆ นางพลันนึกขึ้นได้ คุณหนูหกของนางรีบไปยกน้ำชาในตอนเช้า จึงแทบไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องเลย เมื่อคิดได้ดังนั้น นางจึงเอ่ยถาม “นายหญิงสามหิวหรือไม่เจ้าคะ? ให้บ่าวนำสำรับอาหารมาให้ท่านดีหรือไม่?”
ฉู่เหลียนพยักหน้าอย่างใจลอย
ฉีเยี่ยนรีบเก็บนำกล่องกลับมา ก่อนมุ่งตรงไปที่ครัว พวกบ่าวรับใช้รุ่นใหญ่ที่ดูแลครัวต่างนอบน้อมนัก เมื่อได้ยินว่านายหญิงสามเป็นผู้ต้องการของว่าง พวกเขาเตรียมกล่องสำรับที่ทำเสร็จใหม่ ๆ มาให้ฉีเยี่ยนแทบจะในทันที
นางจึงเร่งมุ่งตรงกลับห้อง และนำขนมจานแล้วจานเล่าออกจากกล่องพลางพูดหยอกล้อกับคุณหนู เพียงหวังว่านายของตนจะอารมณ์ดีขึ้น “นายหญิงสามเจ้าคะ ดูของว่างเหล่านี้สิ! ที่จวนอิ้งกั๋วกงเรามิเคยได้เห็นของเช่นนี้เลยนะเจ้าคะ พวกนี้ดูสวยงามเหลือเกิน ท่านลองทานหน่อยเถอะเจ้าค่ะ”
ฉู่เหลียนมองขนมแล้วคล้ายจะหงุดหงิดขึ้นทันใด สำหรับนักชิมในยุคปัจจุบันเช่นนางที่ทานทุกสิ่งจากสองฝั่งแม่น้ำแยงซีมาแล้ว เจ้าของว่างที่ดูเหมือนฟักทองตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมนั้น มิได้ดึงดูดนางแม้แต่น้อย แค่โรยดอกท้อไว้ด้านบนก็เรียกว่าสวยงามได้แล้วหรือ? ฉีเยี่ยนแยกออกหรือไม่ว่าสิ่งใดสวยงามอย่างแท้จริง หรือไม่สวยงามกันแน่??
กลิ่นเหม็นฉุนของน้ำมันพืชลอยอวลจากขนมฟักทองกระทบต่อมรับกลิ่นจนทำให้นางแทบหายใจไม่ออก
ฉู่เหลียนอดคิดไม่ได้ว่าบ่าวรับใช้ในครัวได้รับคำสั่งจากใครให้รังแกนางหรือไม่ แต่ในนิยายที่ตนเคยอ่านดูจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
สายตาแห่งความคาดหวังของฉีเยี่ยนถูกส่งมาไม่ขาด ทำให้นางจำเป็นต้องหยิบขนมฟักทองชิ้นหนึ่งมาชิมดู
ขนมหวานนั้น… นางไม่อาจรับรู้ถึงรสชาติของฟักทองเลยแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกเหมือนนางกำลังกินก้อนน้ำตาล หวานเลี่ยนไปทั้งลิ้น จึงทำได้เพียงกระดกน้ำชาตามไป แล้วลืม ๆ เจ้าสิ่งที่เคยสัมผัสลิ้นนางไปเสีย
นี่มัน…
ฉู่เหลียนฝืนตัวเองกินจนหมด และหมดสิ้นซึ่งความต้องการจะหยิบชิ้นต่อไป
อย่างน้อยจวนจิ่งอันป๋อก็ยังเป็นจวนขุนนางมิใช่หรือ พวกเขาทานของว่างพรรค์นี้จริงหรือ?
นางเริ่มรู้สึกราวกับจะล้มป่วยเพราะพิษจากความหวานนี้ จึงไม่ได้ใส่ใจมองชาที่ฝูเยี่ยนเพิ่งรินให้ นางรีบยกขึ้นดื่มอึกใหญ่
ทว่าเมื่อรสชาสัมผัสลิ้น ดวงตาของนางก็พลันเบิกโพลง ก่อนจะพ่นชาออกมาจนหมด ซึ่งนั่นได้ทำลายภาพลักษณ์ของคุณหนูหกแห่งอิ้งกั๋วกงลงจนหมดสิ้น
เหล่าบ่าวรับใช้ของนางพากันตกตะลึงกับเหตุการณ์เบื้องหน้า
“นายหญิงสาม เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ? รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”
ฉีเยี่ยน บ่าวใช้สาวคนสนิทที่ไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาก่อน นางตระหนกจนแทบจะร้องไห้
ฉู่เหลียนวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ ซ้ำยังถุยอีกสองสามครั้งเพื่อไล่รสชาติแปลก ๆ ที่ผสมกันระหว่างหอมหัวใหญ่ ขิง กระเทียม และสมุนไพรอื่น ๆ ออกจากลิ้น
“เอาน้ำเปล่ามาให้ข้า เร็วเข้า!”
ฉีเยี่ยนได้ยินดังนั้นก็รีบเทน้ำอุ่นส่งให้ทันที
ฉู่เหลียนที่ได้รับบทเรียนแล้ว จึงมองถ้วยน้ำชาสังคโลกเบื้องหน้าอย่างระมัดระวังให้แน่ใจว่าในนั้นเป็นแค่น้ำเปล่าอุ่น ๆ ก่อนดื่มลงไปโดยไม่สงวนท่าทีแม้แต่น้อย
หลังจากล้างรสชาติแปลก ๆ ที่ติดอยู่ในปากออกจนหมด นางจึงถอนใจอย่างโล่งอกในที่สุด
“ทำไมเจ้าจึงใส่ของพวกนั้นลงในถ้วยชา?” เมื่อกลับมาหายใจได้เป็นปกติ นางก็รู้สึกถึงอันตราย ทำไมหอมหัวใหญ่ ขิง กระเทียม ผงอบเชย และเครื่องปรุงเหล่านี้จึงไปอยู่ในถ้วยชาได้เล่า?
“ชาเขียวเจ้าค่ะ นายหญิงสามโปรดปรานเป็นพิเศษมิใช่หรือเจ้าคะ?” ฉีเยี่ยนกะพริบตา นัยน์ตาคู่นั้นแดงก่ำ และไม่วายรีบจัดแจงส่งผ้าให้นายของตนใช้เช็ดปาก
ชาเขียวเหรอ? จริงด้วย นางนึกออกแล้ว! ในยุคจีนโบราณช่วงที่น้ำชาเพิ่งจะเริ่มเป็นที่นิยมนั้น มีชาเขียวที่โด่งดังเป็นที่สุด ทว่านางคาดไม่ถึงเลยว่าชาเขียวที่โด่งดังในช่วงราชวงศ์อู่อันยิ่งใหญ่นั้นช่าง…
ชาเขียวในยุคนี้ต่างจากชาเขียวในยุคปัจจุบันโดยสิ้นเชิง อาจเพราะเพิ่งเริ่มเป็นที่นิยม จึงยังไม่มีวิธีการหรือกฎเกณฑ์ในการชงเป็นพิเศษ ผู้คนแค่โยนวัตถุดิบ สมุนไพรต่าง ๆ ลงไปผสมกับใบชาแล้วก็ต้ม เมื่อต้มเสร็จแล้วก็ใช้อุปกรณ์ช้อนฟองที่ลอยอยู่ออก ผู้เชี่ยวชาญด้านการชงชาบางท่านอาจถึงขั้นวาดรูปบนฟองนั้น ซึ่งคงเทียบได้กับลาเต้อาร์ตในยุคปัจจุบัน
แต่รสชาติประหลาดนี้ไม่สามารถเทียบกับกาแฟได้เลยแม้แต่นิดเดียว
นางเริ่มกังวลเรื่องน้ำชาในพิธีเมื่อเช้าขึ้นมา ฉู่เหลี่ยนไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าน้ำชาเหล่านั้นรสชาติเป็นอย่างไร
ฉู่เหลียนโบกมือให้ฉีเยี่ยนกับฝูเยี่ยนออกไป นางกล่าวแก้ตัวเพียงว่า “ช่วงสองวันมานี้ข้าไม่ค่อยอยากอาหารนัก ข้าต้องการทานแค่ของเบา ๆ แล้วก็ไม่ต้องชงชาเขียวให้ข้าแล้ว ขอแค่น้ำเปล่าก็พอ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉีเยี่ยนจึงนึกเป็นกังวลอย่างมาก “ได้อย่างไรเจ้าคะนายหญิงสาม การชงชาเขียวเป็นความสามารถพิเศษของท่านนะเจ้าคะ ในกาลข้างหน้าท่านยังต้องแสดงความสามารถนี้อีก ท่านจะหยุดดื่มไม่ได้นะเจ้าคะ!”
ก็จริง ชาเขียวหรือเซนฉะนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นทุกวันในยุคราชวงศ์อู่ บรรดาสตรีจากตระกูลขุนน้ำขุนนางจึงต้องเรียนการชงชาชนิดนี้เป็นพิเศษ ยิ่งชงชาเขียวให้มีรสชาติดี ประกอบกับท่วงท่าของผู้ชงที่งดงามมากเท่าใด ก็จะยิ่งถูกยกย่องให้เป็นสุภาพสตรีผู้งามเพียบพร้อม
เมื่อได้ยินฉีเยี่ยนกล่าวดังนั้น ฉู่เหลียนก็นึกได้ทันทีว่าในนิยายก็เคยกล่าวถึงนางเอกว่าเป็นผู้ที่สามารถชงชาเขียวได้ดี เมื่อใดที่อิ้งกั๋วกงเชิญแขกเหรื่อมาที่จวน ก็มักจะเรียกนางมาชงชาเสมอ
การเป็นสตรีชั้นสูงในยุคราชวงศ์อู่มิใช่เรื่อง่ายเลยจริง ๆ พวกนางจำต้องมีความสามารถพิเศษบางอย่างเพื่อสร้างความตื่นตาแก่ผู้ชม
คุณหนูหกตระกูลฉู่มิใช่บุตรีคนโปรดในจวนอิ้ง ความสามารถพิเศษอย่างอื่นของนางนั้นเรียกได้ว่าธรรมดา หากเปรียบกับคุณหนูคนอื่นในจวน การชงชาเขียวนี้เป็นความสามารถพิเศษเพียงหนึ่งเดียวที่นางโอ้อวดได้ จึงไม่แปลกที่ฉีเยี่ยนจะกังวลนักเมื่อได้ยินว่าฉู่เหลียนจะเลิกดื่มชา
โชคร้ายหน่อยที่ฉู่เหลียนคนนี้ไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว ดังนั้นต่อให้นางดื่มเซนฉะอีกเป็นถัง นางก็ไม่อาจรู้วิธีชงชาอยู่ดี
นอกจากนั้น หากให้พูดกันตรง ๆ รสชาติของเซนฉะของยุคนี้ช่างเลวร้ายสุดประมาณ แม้จะรู้วิธีชงเหมือนที่คนอื่นรู้ นางก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดีหากต้องชงให้คนอื่นดื่ม การจับเอาสมุนไพรมาผสมกันมั่ว ๆ ไร้ซึ่งความรู้ในวิธีการนั้นอาจฆ่าคนได้สักวันหนึ่ง ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ฉู่เหลียนก็มิต้องการเป็นคนผู้นั้น หรือเป็นเหตุให้ใครต้องตาย
“ไม่เป็นไร ข้าแค่กล่าวว่าตั้งแต่วันนี้ไปข้าจะไม่ดื่ม ไม่ได้บอกว่าจะเลิกชงชาเสียหน่อย” ฉู่เหลียนกล่าวกลบเกลื่อน แม้จะไม่ใช่นางเอกในนิยายที่เป็นนายหญิงของสาวใช้เหล่านี้จริง ๆ แต่นางก็ไม่อาจเปลี่ยนนิสัยของตนเองกะทันหันได้
เมื่อสาวใช้เหล่านี้ได้ยินคำแก้ตัวก็พากันถอนหายใจโล่งอก
ฉู่เหลียนกุมขมับ
ในขณะนั้น ฝูเยี่ยนกวาดตามองบนโต๊ะอีกครา ก่อนสายตาจะไปตกอยู่ที่ขนมอบสีทองชวนให้น้ำลายไหล นางแอบกลืนน้ำลายอย่างเงียบ ๆ เช่นที่ฉีเยี่ยนว่า พวกนางไม่เคยทานขนมอบที่งดงามถึงเพียงนี้มาก่อนตอนที่ยังอยู่จวนอิ้ง
“นายหญิงสามเจ้าคะ ขนมอบเหล่านี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
ฉู่เหลียนที่บัดนี้ยังคงอยู่ในอาการช็อกกับรสชาติของเซนฉะจนแทบลืมเลือนขนมที่เป็นต้นเหตุให้นางต้องดื่มชาสุดพิลึกเข้าไป นางส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “รสชาติเฉย ๆ นะ ออกจะติดหวานและมันจนเกินไป เอาไปลองชิมเองคนละชิ้นเถอะ”
ฉู่เหลียนเพียงต้องการทดสอบต่อมรับรสของผู้คนในยุคนี้เท่านั้น ฉีเยี่ยนและฝูเยี่ยน ผู้ซึ่งเคยรับใช้นางมายาวนานย่อมต้องรู้ดีว่านางเอกชอบรสชาติเช่นไร การให้พวกนางลองชิมขนมอบเหล่านี้จึงเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการตรวจสอบว่านางควรชอบรสชาติแบบไหน
เมื่อหญิงรับใช้ทั้งสี่ได้ยินดังนั้น ดวงตาของพวกนางก็ทอประกาย หมิงเยี่ยนและจิ่งเยี่ยนถูกส่งมารับใช้ฉู่เหลียนในฐานะสินเดิม โดยฮูหยินอิ้งกั๋วกงได้ส่งมอบพวกนางให้ก่อนที่ฉู่เหลียนจะแต่งงาน ซึ่งก่อนหน้านั้นพวกนางเป็นเพียงบ่าวรับใช้รุ่นเล็กในจวน จึงไม่เคยมีโอกาสได้ทานของดี ๆ ของพวกขุนนางหรือคนชนชั้นสูงมาก่อน
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6816