ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 50 สู้เพื่อท้อ
ฮูหยินจิ่งอันป๋อยิ้มและตบหลังมือของเมี่ยวเจินเบา ๆ “เจ้าเป็นผู้เดียวที่ข้าวางใจให้ดูแลเรื่องต่าง ๆ เมี่ยวเจิน ปีนี้เจ้าก็อายุสิบเจ็ดแล้ว ได้วางแผนสิ่งใดไว้ในอนาคตแล้วหรือไม่? เพราะเจ้าคงอยู่ข้างกายข้าตลอดไปมิได้”
ได้ยินฮูหยินจิ่งอันป๋อว่าดังนั้น เมี่ยวเจินก็ตัวแข็งทื่อ นางกัดริมฝีปากและกล่าว “ฮูหยิน เมี่ยวเจินขอรับใช้ท่านตลอดไป”
“อย่าพูดเช่นนั้น! เจ้าเป็นสตรีสักวันย่อมต้องแต่งออก จะมารับใช้ข้าไปตลอดชีวิตได้อย่างไร? หากเจ้าจะทำเช่นนั้นจริง มารดาเจ้าจะไม่เสียใจหรือ?”
เมี่ยวเจินเป็นบุตรีของแม่นมฮูหยินจิ่งอันป๋อ ยามอายุได้สิบปี มารดาได้ส่งนางมารับใช้ฮูหยินจิ่งอันป๋อ แต่เมื่อหลายปีก่อนมารดาของนางได้จากไปด้วยอาการเจ็บป่วย ก่อนเสียยังได้ฝากฝังให้ฮูหยินจิ่งอันป๋อช่วยดูแลสั่งสอนบุตรสาวของตน
เมี่ยวเจินนั้นเฉลียวฉลาดรอบคอบ ฮูหยินจิ่งอันป๋อจึงชื่นชอบนางมากเป็นพิเศษ
ดวงตาของเมี่ยวเจินปริ่มน้ำในทันที นางเงยหน้าขึ้นมองฮูหยินอย่างเขินอายพลางกระซิบงึมงำ “ฮูหยิน เมี่ยวเจินไม่มีคำร้องขอใด นอกจากขอเพียงแต่งกับผู้ใดในจวนนี้ก็ได้เจ้าค่ะ และยังได้อยู่ดูแลฮูหยินหลังแต่งงานก็เพียงพอแล้ว”
ฮูหยินจิ่งอันป๋อมองเด็กสาวที่นางเฝ้าดูจนเติบใหญ่ ในความคิด ตัวเลือกที่เหมาะสมก็ปรากฏขึ้นทีละคน ทว่าท้ายที่สุดแล้วนางก็ต้องสลัดภาพเหล่านั้นออกไป เนื่องจากตัวเลือกหนึ่งที่นางสนใจคือลูกชายคนที่สองของผู้ดูแลหลักเรือนนอกที่น่าจะเหมาะสมกับนางมากที่สุด เด็กคนนั้นเฉลียวฉลาดใช้ได้ แต่ช่างน่าเสียดายที่เพิ่งแต่งภรรยาไปเมื่อปีที่แล้ว หากเมี่ยวเจินได้ตบแต่งเป็นภรรยาของผู้ดูแลเรือนใดเรือนหนึ่งก็ย่อมเป็นเรื่องดีทีเดียว
ขณะฮูหยินกำลังเหม่อลอยกับความคิดเหล่านั้น หมัวมัวคนหนึ่งก็แจ้งว่าซื่อจื่อมาถึงแล้ว เมื่อสิ้นเสียงแจ้งข่าว จิ่งอันซื่อจื่อก็ก้าวเข้ามาในห้อง
“ท่านแม่ ช่วงนี้สุขภาพท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
เฮ่อฉางฉี ผู้สืบทอดตระกูลจิ่งอันมีรูปร่างบึกบึนสมกับเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ซ้ำยังดูละม้ายคล้ายจิ่งอันป๋อยิ่ง แม้ปีนี้ยังอายุไม่ถึงสามสิบ ทว่าร่างกายที่สูงใหญ่ ผิวสีคล้ำ และหนวดเคราบนใบหน้าทำให้เขาดูแก่ขึ้นมากทีเดียว
เขากับเฮ่อฉางตี้เป็นพี่น้องที่คลานตามกันมา ทั้งยังมีส่วนสูงที่เท่ากัน แต่เมื่อคนทั้งสองมายืนอยู่เคียงกัน กลับไม่มีใครทราบว่าคนทั้งคู่นั้นเป็นพี่น้องกัน
ฮูหยินจิ่งอันป๋อมิได้คาดว่าต้าหลางจะเข้ามาอย่างกะทันหันเช่นนี้ นางจึงกลอกตาด้วยความเอือมระอาให้เจ้าลูกชายคนโต “เจ้าอายุตั้งเท่าไรแล้ว? เหตุใดจึงทำตัวราวกับไม่รู้เรื่องมารยาทเลยเล่า?”
เฮ่อฉางฉีมิได้ใส่ใจกับคำบ่นของมารดานักเนื่องจากเขามิใช่คนที่ใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ มาแต่ไหนแต่ไร ในวัยเด็กเขามักจะใช้เวลาอยู่กับบิดาเพื่อฝึกฝนวรยุทธ์ จึงมิได้ใส่ใจเรื่องกฎเกณฑ์ชายหญิงของเรือนในมากนัก นอกจากนั้นที่นี่ยังเป็นเพียงห้องของมารดาของตนอีกด้วย
เฮ่อฉางฉีก้มหน้าลง สังเกตเห็นของว่างที่ยังเหลืออยู่บนโต๊ะข้างเตียง จึงยิ้มแล้วกล่าว “ท่านแม่ ของว่างที่น้องสะใภ้สามทำมาให้ถูกปากท่านหรือไม่?”
ฮูหยินจิ่งอันป๋อตบมือลงบนเตียงเบา ๆ เพื่อเรียกให้บุตรชายมานั่งลงที่ข้างเตียง
ตั้งแต่คุณชายใหญ่ก้าวเข้ามาในห้อง เมี่ยวเจินก็รีบคารวะทักทายทันที ก่อนจะก้มหัวลงต่ำและถอยไปยืนอยู่ข้างฮูหยินจิ่งอันป๋อด้วยความเคารพนบนอบตามธรรมเนียมปฏิบัติ ในขณะนั้นฮูหยินจิ่งอันป๋อก็ได้ทันสังเกตใบหน้าแดงก่ำของเมี่ยวเจิน ก่อนจะหันไปมองบุตรคนโตของตนที่กำลังยืนหลังตรงสองมือไพล่หลัง ฉีกยิ้มกว้างบนใบหน้า
“รสชาติถูกปากข้ายิ่งนัก! แม่ไม่เคยทานของว่างที่ดูสวยงามประณีตเช่นนี้มาก่อน!”
เมื่อทำจิงปาเจี้ยนเสร็จแล้ว ฉู่เหลียนก็ได้สั่งให้บ่าวนำส่งของไปให้แต่ละเรือนในจวน ส่วนครอบครัวของต้าหลางมีบุตรีสองคน นางจึงได้จัดเตรียมให้เยอะกว่าเรือนอื่นเพียงเล็กน้อยตามจำนวนสมาชิกที่มากกว่า เฮ่อฉางฉีนั้นได้ลองทานไปสองชิ้นและเห็นว่าอร่อยนัก
“ไม่คาดว่าน้องสะใภ้จะมีสูตรลับมากมายถึงเพียงนี้ ท่านแม่ ข้าแน่ใจว่าท่านยังไม่ทราบเรื่องนี้แน่ ตอนงานวันเกิดที่จวนติ้งหยวนโหว ทุกคนต่างแย่งชิงซิ่วท้อถาดเล็ก ๆ กันทั้งนั้น!”
อ๋า?
ฮูหยินจิ่งอันป๋อถึงนิ่งอึ้งด้วยความสงสัยใคร่รู้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
สุภาพบุรุษทั้งหลายต่างแย่งชิงซิ่วท้อน่ะหรือ?
หรือซิ่วท้อนั้น…ฉู่เหลียนจะเป็นผู้ทำกัน?
แท้จริงแล้ว ฉู่เหลียนได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในจวนติ้งหยวนโหวให้ฮูหยินจิ่งอันป๋อฟังแล้วครั้นกลับมาถึงจวน
ยามที่ซิ่วท้อถูกส่งไปยังเรือนนอกย่อมเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉู่เหลียนได้เห็น เมื่อผู้รับเป็นแขกเหรื่อเพศชายที่ถูกจัดให้เฉลิมฉลองคนละส่วนของจวน นางจึงไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อหลังจากนั้น กระทั่งเหล่าไท่จวินเองก็ยังเพียงได้รับฝากของรางวัลให้มอบแก่ฉู่เหลียนเท่านั้นโดยไม่ทราบข้อมูลอื่นหรือเรื่องราวใดที่เกิดขึ้น
ฮูหยินจิ่งอันป๋อมิได้คาดว่าจะมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นที่งานเลี้ยงฝั่งบุรุษ
เฮ่อฉางฉีตั้งใจมาเพื่อให้มารดาอารมณ์ดีโดยเฉพาะ แน่นอน เขาจึง
บรรยายเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้นางฟังโดยละเอียด และเมื่อสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนเรื่องตลกที่เกี่ยวพันถึงคนในครอบครัว เขาจึงเล่าอย่างมีอรรถรสราวกับข้อเท็จจริงนี้เป็นนิทานเรื่องหนึ่ง
ครั้นวันงานอายุยืนที่ฝั่งบุรุษ งานเลี้ยงมิได้ยืดยาวนัก ฝูงชนต่างวุ่นวายกับการยกแก้วเหล้าฉลองให้แก่ท่านโหวผู้เฒ่า กระทั่งยามที่สาวใช้ยกถาดซิ่วท้ออันงดงามสมจริงพวกนั้นเข้ามา พร้อมทั้งกล่าวว่าหวงฮูหยิน ผู้เป็นภริยาติ้งหยวนซื่อจื่อส่งมาให้
ดวงตาของบุรุษทุกรายต่างจับจ้องของที่อยู่บนถาดนั้น ท่านโหวผู้เฒ่าที่นั่งใกล้กับซิ่วท้อที่สุด แม้สายตาจะฝ้าฟางไปแต่ต่อมรับกลิ่นยังคงรับรู้ถึงความหอมหวานได้อย่างชัดเจน
ติ้งหยวนโหวผู้เฒ่าลองหยิบขึ้นดมครั้งหนึ่งและเห็นว่าซิ่วท้อนั้นไม่เพียงแต่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายผลลูกท้อ แต่ยังมีกลิ่นราวกับลูกท้อสดใหม่อีกด้วย ช่างเป็นของหวานที่น่าสนใจนัก หลังจากนั้นจึงได้ลองชิมคำหนึ่ง และเอ่ยปากชื่นชมทันที แม้เพิ่งจะทานเข้าไปแค่เพียงคำเดียว!
เมื่อบุรุษผู้ใช้ชีวิตมาอย่างยาวนานผู้นี้ยังชมชอบ ซิ่วท้อนี้จึงกลายเป็นดั่งเครื่องรางนำโชคที่จะนำพาความโชคดีและความก้าวหน้าแก่เหล่าบุรุษวัยเยาว์ หากได้ลิ้มลอง
ผู้ร่วมงานทุกคนต่างอยากรู้อยากลองตั้งแต่เห็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของซิ่วท้อนั้น แต่ก็ไม่มีใครคาดว่าเจิ้งซื่อจื่อจะยืนขึ้นกล่าวอวยพรท่านโหวชราก่อนจะขอซิ่วท้อมาทานอย่างไม่ละอาย
ติ้งหยวนโหวผู้เฒ่าหัวเราะสามครั้งอย่างสนุกสนาน มีคนหนุ่มหาญกล้าเอ่ยร้องขอซิ่วท้อในงานวันเกิดเช่นนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะกล่าวปฏิเสธ
เจิ้งซื่อจื่อมิได้ร่ำไรให้มากพิธีรีบรุดเข้ามาคว้าเอาซิ่วท้อขึ้นมาสองลูกในคราเดียว เมื่อกัดเข้าไปลูกหนึ่งแล้ว ดวงตาก็เปล่งประกายเจิดจ้า
จากนั้น จิ่นอ๋องผู้เงียบ สุขุมก็เอ่ยขอซิ่วท้อจากติ้งหยวนโหวเช่นกัน และคว้าเอาซิ่วท้อไปถึงสามลูกในคราวเดียว พฤติกรรมเช่นนี้มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเจิ้งซื่อจื่อแม้แต่น้อย
เจิ้งซื่อจื่อนั้นเป็นบุคคลที่ขึ้นชื่อเรื่องความเลือกกิน หากชอบหรือไม่ชอบสิ่งใดสีหน้าย่อมบ่งบอกชัด ในตอนนั้นการกระทำของทั้งเขาและจิ่นอ๋องเปรียบเสมือนเป็นการเปิดทางแก่คนอื่นที่เหลือ ฝูงชนขี้สงสัยต่างก็ลงมือคว้าเอาซิ่วท้อไปจนเกลี้ยงถาดภายในเวลาไม่ถึงอึดใจ…
ในขณะนั้นมีเพียงขุนนางผู้ทรงอำนาจสองคนที่ยังคงนิ่งอึ้งและพูดไม่ออกเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้าเหตุใดขุนนางเหล่านี้ถึงกลายเป็นพวกขี้ตะกละไปเสียได้?
เฮ้! นั่นมิใช่ขุนนางคุมประพฤติที่มักจะชอบการกล่าวโทษผู้อื่นเพื่อความสนุก เปลี่ยนความเห็นทางการเมืองของตนให้กลายเป็นการเทศนาสั่งสอนผู้อื่นหรอกหรือ? ใครจะรู้ว่าเจ้ากลายเป็นคนที่ยอมทำได้ทุกอย่างเพื่ออาหารไปเสียแล้ว! ช่างหน้าไม่อายเสียจริง! ขอให้เจ้าสำลักซิ่วท้อเสียเถอะ!
ทว่าเมื่อศึกแย่งชิงซิ่วท้อจบลง ขุนนางสูงศักดิ์ทั้งสองที่ไม่อาจละทิ้งศักดิ์ศรีของตนเพื่อยื้อแย่งซิ่วท้อมานั้นต่างชักสีหน้าไม่สบอารมณ์
เฮ่อฉางฉีเล่าเรื่องราวออกรสออกชาติเสียจนฮูหยินจิ่งอันป๋ออดยิ้มกว้าง ๆ มิได้
นางเผลอยิ้มออกมาขณะแสร้งทำเป็นจ้องมองบุตรชาย “เล่าเรื่องเช่นนี้แค่ในจวนของเราก็พอ! อย่าได้ไปพูดต่อข้างนอกเชียว ไม่เช่นนั้นจะเป็นการนำปัญหามาสู่ตัวได้ หากเจ้าบังอาจล่วงเกินขุนนางชั้นสูงเหล่านั้น พวกเราคงรับมือไม่ไหวแน่!”
“ขอรับท่านแม่ ข้าทราบแล้ว เพียงแค่อยากเห็นท่านหัวเราะเท่านั้น”
“เอาล่ะ ๆ แม่เข้าใจแล้ว เจ้ายังมีสิ่งที่ต้องไปทำไม่ใช่หรือ? รีบไปได้แล้ว อย่าได้เสียเวลากับแม่เลย”
เฮ่อฉางฉีเห็นว่าได้เวลาแล้วจึงลุกขึ้นเพื่อเดินออกไป แต่เดินไปได้เพียงสองก้าว ฮูหยินจิ่งอันป๋อก็สั่งจากด้านหลัง “วันนี้กลับมาทานอาหารเย็นให้ไวขึ้นสักหน่อยเถิด”
แม้แต่ละเรือนในจวนจิ่งอันจะไม่ค่อยได้ทานอาหารร่วมกันนัก ทว่าทุกกลางเดือนและปลายเดือนก็มักจะมาร่วมรับประทานอาหารกันที่เรือนชิ่งสี่เพื่อเสริมสร้างสัมพันธ์ในครอบครัว
“ขอรับ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าไม่สายแน่นอน”
ฮูหยินจิ่งอันป๋อเห็นเมี่ยวเจินยังคงมองตามหลังบุตรชายคนโตอย่างใจลอย แม้เจ้าตัวจะหายลับไปแล้ว
นางลอบถอนใจ
ห้าปีก่อนเมี่ยวเจินเกิดพลัดตกบ่อน้ำในจวน เฮ่อฉางฉีที่ผ่านมาพอดีจึงเร่งเข้าไปช่วยนางไว้ หลังจากนั้นเด็กสาวผู้นี้ก็แอบหลงรักชายผู้หาญกล้าผู้นั้นมาโดยตลอด
โชคไม่ดีนักที่ตระกูลเฮ่อยังมีกฎห้ามรับอนุ
ทว่าต้าหลางเองก็แต่งกับโจวซื่อมาได้หลายปีแล้ว ทั้งคู่ยังไม่มีบุตรชายแม้แต่คนเดียวและยังไม่มีวี่แววว่าจะให้กำเนิดบุตรอีกเลย เนื่องจากโจวซื่อมีอาการเจ็บป่วยแทรกซ้อนหลังจากคลอดหลินเอ๋อร์ ซึ่งปีนี้หลินเอ๋อร์ก็มีอายุได้สี่ขวบแล้ว
ต้าหลางเองก็ใกล้ถึงช่วงอายุที่สามารถรับอนุได้แล้วหากยังไม่มีบุตรชาย ทันใดนั้นฮูหยินจิ่งอันป๋อก็ตัดสินใจได้ในทันที
นางดึงมือเมี่ยวเจิน ยิ้มให้แล้วถาม “เมี่ยวเจิน เจ้าคิดว่าซื่อจื่อ บุตรชายข้าเป็นอย่างไร?”
“เอ๋?” เมี่ยวเจินมิคาดว่าฮูหยินจิ่งอันป๋อจะถามขึ้นกะทันหัน ใบหน้านางพลันแดงก่ำและมีทีท่าคล้ายจิตวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ถูกดึงกลับสู่โลกอย่างกะทันหัน
นางรีบหันกลับมามองฮูหยินจิ่งอัน ทว่ากลับมิสามารถอ่านสีหน้าได้แม้แต่น้อยความแดงบนใบหน้าแปรเปลี่ยนกลายเป็นซีดขาว และทรุดลงคุกเข่ากับพื้นโดยแรง “บ่าวเป็นเพียงบ่าวต่ำต้อย มิกล้าคิดสิ่งใดกับซื่อจื่อเจ้าค่ะ”
เมื่อเอ่ยจบ นางก็จรดศีรษะลงบนที่วางเท้าข้างเตียง ตัวสั่นสะท้านราวใบไม้ต้องลม นางมิกล้ากล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม
ในฐานะบ่าวรับใช้คนสนิทของฮูหยินจิ่งอันป๋อ นางย่อมรู้กฎของจวนเป็นอย่างดี บุรุษในตระกูลสามารถมีอนุได้ก็ต่อเมื่อมีอายุถึงสามสิบ และยังไม่มีบุตรชาย แต่ด้วยความที่นางเป็นเพียงบ่าวรับใช้ สถานะเช่นนั้นทำให้นางจำต้องสละความปรารถนาต่อจิ่งอันซื่อจื่อลงเสีย และคงเหลือไว้เพียงความเพ้อฝันยามอยู่ลำพังเท่านั้น ทว่ายามนี้นางเผลอใจล่องลอยไปกับความฝันที่เบื้องหน้า จึงทำให้ฮูหยินจิ่งอันตรวจพบความปรารถนาที่นางมีต่อคุณชายใหญ่ได้
ฮูหยินจิ่งอันป๋อชะงักไป ก่อนจะรู้ตัวว่าสาวใช้คนสนิทของนางกำลังเข้าใจผิดไปเสียแล้ว คงคิดว่านางโกรธที่เด็กเมี่ยวเจินผู้นี้กล้าหลงรักบุตรชายของตนกระมัง
ฮูหยินจิ่งอันป๋อถอนหายใจ นางยื่นมือไปดึงเมี่ยวเจินให้ลุกขึ้นและจ้องมอง “เด็กโง่ ข้าจะคิดเช่นนั้นได้อย่างไร? เอาล่ะ ข้าจะไม่กล่าวโทษเจ้า บอกข้ามาตามตรงเถิด เจ้าคิดเช่นไรกับต้าหลาง?”
เมี่ยวเจินจ้องมองฮูหยินจิ่งอันป๋ออย่างงุนงง ใช้เวลาสักพักนางจึงก้มลง ใบหน้านวลแดงก่ำลามไปถึงคอ “ซื่อ…ซื่อจื่อนั้น…สูงส่งและ…หล่อเหลาเจ้าค่ะ”
“พรืด”
ฮูหยินจิ่งอันป๋อระเบิดหัวเราะออกมา สูงส่งและหล่อเหลาน่ะหรือ? ในฐานะมารดา นางย่อมรู้ดีกว่าคนอื่นมองว่าบุตรชายนางเป็นอย่างไร
หากต้าหลางที่ผิวคล้ำเข้มและดูป่าเถื่อนนั้นนับว่าสูงส่งและหล่อเหลาได้ เช่นนั้นความรักย่อมทำให้คนตาบอดจริง ๆ เว้นแต่หากเมี่ยวเจินใช้คำเหล่านี้บรรยายถึงซานหลาง นางย่อมเชื่อได้ในทันที
“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว เมี่ยวเจินอย่ากังวลไป ตอนนี้ก็รับใช้ข้าต่อไปเถิด”
ได้ยินคำกล่าวของฮูหยินจิ่งอันป๋อ ใจของเมี่ยวเจินก็แทบจะกระดอนออกมาจากคอ
ณ จวนหยาง ใต้เท้าหยางเพิ่งกลับจากการประชุมขุนนางในท้องพระโรง ก็เห็นพ่อบ้านผู้หนึ่งถือกล่องอันประณีตงดงามมาด้วยความระมัดระวัง
พ่อบ้านเห็นนายท่านของตนกลับมาแล้ว จึงเร่งเข้ามาทักทาย
“นั่นอะไร?” ใต้เท้าหยางพยักพเยิดไปยังกล่องในมือพ่อบ้านผู้นั้น
“เรียนนายท่าน นี่เป็นของที่คนจากจวนจิ่งอันส่งมาขอรับ กล่าวว่าเป็นของตอบแทนแก่ฮูหยิน ภายในเป็นอาหาร จึงเก็บไว้ได้ไม่นาน”
จวนจิ่งอัน? อาหาร? หรือจะเป็นซิ่วท้อดังเช่นในงานวันเกิดที่จวนติ้งหยวนโหว?
ขณะที่เดินทางกลับจวนในวันนี้ สองสามีภรรยายังได้พูดคุยกันถึง ‘เรื่องสนุก ๆ ’ ที่ฉู่เหลียนทำซิ่วท้ออยู่ ใต้เท้าหยางคือผู้หนึ่งที่ย่อมมิได้ละทิ้งศักดิ์ศรีตนเองไปร้องขอซิ่วท้อมาลองชิม จึงยังคงรู้สึกค้างคาในใจตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6816