ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 54 ชายแดนเหนือ
เฮ่อเหล่าไท่จวินมองโจวซื่อที่เดินจากไป สตรีผู้นี้ดูดุร้ายขึ้นทุกวัน นางหัวเราะ ปลายนิ้วเคาะโต๊ะข้างกายเป็นจังหวะขณะที่ครุ่นคิดถึงเรื่องเดิม ๆ
วันก่อนฮูหยินจิ่งอันป๋อเอ่ยถึงเรื่องจะให้ต้าหลาง บุตรชายคนโตรับอนุกับเหล่าไท่จวิน
เอ่ยตามตรง เหล่าไท่จวินรอคอยเหลนชายมานานเหลือเกิน ซ้ำยังให้เวลาภรรยาต้าหลางถึงสิบปี ทว่าก็ยังไม่มีข่าวคราวใด ๆ
….
เมื่อเฮ่อฉางตี้และไหลเยว่เดินทางผ่านฉางโจวและมุ่งตรงขึ้นไปทางเหนือ ระหว่างทางได้หยุดแวะเติมน้ำบ้าง ก่อนที่จะถึงฉีโจวในที่สุด จากนั้นก็เปลี่ยนม้า และยังคงมุ่งหน้าขึ้นเหนือต่อไปด้วยความเร่งร้อน จนผ่านไปได้ครึ่งเดือน ในที่สุดก็มาถึงชายแดนเหนือ เมืองเหลียงโจวแห่งอาณาจักรอู่
ทุ่งหญ้าที่เบื้องหน้ากว้างไกลไร้จุดจบ ความทรงจำในชาติที่แล้วของเฮ่อฉางตี้ผุดขึ้นในห้วงความคิด ความรู้สึกในใจปั่นป่วนนัก
ไหลเยว่ขี่ม้าขึ้นเทียบเคียงข้างกายผู้เป็นนายก่อนจะถาม “คุณชาย เราจะเข้าเมืองไปทางด้านหน้าเลยหรือขอรับ?”
เฮ่อฉางตี้ส่ายหน้า ชี้ไปอีกทางหนึ่ง
ไหลเยว่หันไปมองตาม เห็นกระโจมประปรายกระจัดกระจายอยู่ในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่
เขากลืนน้ำลาย แต่ไม่ได้กล่าวคำใดออกมา
ระหว่างเดินทางมายังที่แห่งนี้ ความอดทนของคุณชายสามก็ค่อย ๆ ลดต่ำลงทุกขณะ สีหน้าหดหู่ปรากฏขึ้นตลอดทั้งวัน ทั้งยังมีรัศมีอันตรายที่แผ่ออกมาเป็นนัยว่า อย่ายุ่งกับข้า!
ไหลเยว่ลอบสูดลมหายใจเข้าลึก ก้มมองชุดเดินทางที่ตนสวมอยู่ ร่างกายเปรอะเปื้อนคละเคล้าด้วยฝุ่นไคลและส่งกลิ่นเหม็นโฉ่ไปทั่วเสียจนทำให้เขาสูญเสียซึ่งประสาทรับกลิ่น ทั้งยังต้องพยายามสะกดกลั้นที่จะไม่โยนตัวเองลงบ่อน้ำปลดเปลื้องความโสมมบนผิวกาย เขามิคาดว่าคุณชายสามผู้รักสะอาดผู้นั้นจะเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนโดยไม่แม้แต่จะแวะล้างเอาคราบฝุ่นผงออกจากร่าง
ในตอนนี้เข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเต็มที่ ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาได้ทำความสะอาดร่างกายคือตอนที่อยู่เมืองฉีโจว ยิ่งเดินทางขึ้นเหนือมาไกลเท่าใด บ่อน้ำและทะเลสาบก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น ยิ่งพวกเขาเร่งรีบเดินทางให้ถึงเป้าหมายเท่าใด ก็ยิ่งเหนื่อยล้าอ่อนเพลียและลำบากลำบนมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เรื่องธรรมดา ๆ อย่างเช่น การแช่ตัวในน้ำกลับกลายเป็นเรื่องที่ออกจะดูหรูหราเกินไปเสียแล้ว
ยามนี้พวกเขามาถึงทุ่งเลี้ยงสัตว์ทางเหนือที่ห่างไกลความเจริญ หันมองไปทางใดก็เจอเพียงผืนหญ้าที่ห้อมล้อมสุดลูกหูลูกตา แม้แต่กระโจมที่พักก็มีไม่มากนัก จึงไม่ต้องเอ่ยถึงโรงเตี๊ยมหรือร้านอาหารให้ได้พักผ่อนหย่อนใจชั่วครู่เลย
ไหลเยว่ลอบมองคุณชายสาม ชุดขี่ม้าสีเทายามนี้เปรอะเปื้อนด้วยดินโคลน ทั้งยังมีรอยขาดตรงนั้นตรงนี้ เส้นผมดำเงางามที่ตอนนี้ยุ่งเหยิงพันกันเสียหมดถูกรวบไว้ที่หลังศีรษะ หนวดเคราดกดำเริ่มขึ้นรำไรที่รอบคาง การเดินทางที่ผ่านมาได้ครึ่งเดือนภายใต้แสงอาทิตย์อันแรงกล้าและสายลมร้อนที่พัดผ่านนั้นไม่เพียงทำให้ผิวของคุณชายดูเข้มขึ้นทว่ายังทำให้ร่างกายดูซูบผอมลงด้วย
มุมปากไหลเยว่บิดขึ้น หากคุณชายขี่ม้าอยู่บนถนนในเมืองหลวงยามนี้ คงไม่มีใครคาดได้ว่าชายกักขฬะผู้นี้คือคุณชายสาม เฮ่อซานหลางหน้าหยกผู้นั้นเป็นแน่
สองนายบ่าวใช้ขากระตุ้นม้าเพื่อให้มุ่งไปยังกระโจมที่ตั้งอยู่ห่างออกไป
เมื่อทั้งคู่ไปถึง ก็บังเอิญพบกับสตรีผู้หนึ่งที่เดินออกมาจากกระโจมพอดี ในมือของนางถือเนยและชาขณะผลักผ้าออก เมื่อเห็นคนแปลกหน้าสองคน นางจึงจ้องมองไปด้วยความสงสัยทั้งยังเอ่ยถ้อยคำที่ไหลเยว่ไม่เข้าใจแม้แต่น้อย
ไหลเยว่จ้องสตรีผู้นั้นกลับ แม้จะทราบดีว่าชายแดนเหนือนั้นโหดร้ายป่าเถื่อน แต่กลับไม่คาดมาก่อนว่าคนที่นี่จะมีภาษาสื่อสารที่ผิดแผกไปจากตน…
สตรีผู้นั้นเอ่ยถ้อยคำมากมายต่อพวกเขา ทว่าไหลเยว่ก็ยังไม่เข้าใจแม้แต่คำเดียว เขารู้สึกปวดหัวขึ้นมา
ชายหนุ่มหันไปหาผู้เป็นนายอย่างอับจน
ใครจะคาดว่าเฮ่อฉางตี้จะลงจากม้า เดินไปหาสตรีผู้นั้น และพูดจาที่ฟังไม่ได้ศัพท์เช่นกัน!? ไหลเยว่งุนงงและทำได้เพียงสังเกตทีท่าของนาย เมื่อนายท่านของตนเอ่ยเสร็จ เขาก็หยิบเอาตราประทับออกมาจากกระเป๋าห้อยเอวและส่งให้สตรี
นางจับจ้องตราประทับอยู่นาน ชูมันขึ้นส่องกับแสงเพื่อให้เห็นได้ชัดเจนขึ้น ทันใดนั้นนางก็กระโดดดีใจ พร้อมทั้งส่งตราประทับคืนแก่เฮ่อฉางตี้ ก่อนจะโค้งกายลงจนแทบจะตั้งขนานกับพื้นด้วยความเคารพ และดึงเฮ่อฉางตี้เข้าสู่กระโจม
ไหลเยว่ชะงักงัน เขาไม่ทราบมาก่อนว่า คุณชายของตนจะสามารถพูดคุยด้วยภาษาป่าเถื่อนเช่นนั้นได้ ซ้ำยังคล่องแคล่วมากเสียด้วย เขาจึงทำได้เพียงถือเชือกจูงม้านิ่งงันอยู่อย่างนั้น เท้าทั้งสองข้างแข็งค้างจนแทบจะฝังรากผสานรวมกับพื้น และในที่สุดเป็นเฮ่อฉางตี้ที่หันมาตะโกนใส่เขาเพื่อให้รู้สึกตัว
ทันใดนั้น ชายวัยรุ่นผิวคล้ำผู้หนึ่งก็ก้าวออกมาจากกระโจม และส่งยิ้มกว้างขณะพยายามดึงเชือกจูงม้าออกมาจากมือไหลเยว่ เฮ่อฉางตี้เห็นไหลเยว่ไม่ขยับเขยื้อนอันใดจึงได้สั่ง “ส่งม้าให้เขา เขาจะช่วยดูแลม้าให้เรา”
ไหลเยว่จึงได้ยินยอมส่งเชือกจูงม้าให้แก่เด็กหนุ่มผู้ที่ยังคงยืนยิ้มกว้างอยู่ ก่อนจะเร่งเดินตามนายจนทัน พลางเกาหัวด้วยความงุนงง และกล่าว “คุณชาย บ่าวไม่เข้าใจ…”
เฮ่อซานหลางจ้องบ่าวของตน “อะไร? ตามข้ามาก็พอ”
ไหลเยว่พยักหน้ารวดเร็ว ทว่าไม่ถึงอึดใจก็อดกลั้นความสงสัยต่อไปไม่ได้เสียแล้ว “คุณชาย บ่าวไม่ทราบมาก่อนว่าท่านรู้ภาษาป่าเถื่อนของชายแดนเหนือนี้ด้วย ท่านไปเรียนมาแต่เมื่อใดหรือขอรับ?”
เฮ่อซานหลางมองไหลเยว่อย่างสุดแสนจะเอือมระอาต่อบ่าวช่างจ้อ “สติปัญญาเช่นเจ้าไม่รู้ก็ย่อมไม่แปลก สิ่งเดียวที่เจ้าคิดอยู่ทั้งวันมีแต่การกินเท่านั้น!”
ไหลเยว่ที่น่าสงสารได้ยินเช่นนั้นก็ไม่อาจหาญกล้าเอ่ยปากถามสิ่งใดต่ออีกเลย
เขาไม่ได้ชอบทานถึงเพียงนั้น เพียงแต่หวนนึกถึงและเผลอเพ้อพกถึงหมูสามชั้นตุ๋นน้ำแดงของนายหญิงสามที่เป็นของเหลือจากสาวใช้เท่านั้น! คุณชายสามกลับเอาแต่เสียดสีเขาเรื่องนี้มาตลอดทาง ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!
ทว่าเมื่อนึกถึงหมูสามชั้นนั่นขึ้นมา น้ำลายก็สออีกครา น้ำราดเข้มข้นกับชิ้นเนื้ออ้วน ๆ …เพียงคำเดียว รสชาติก็อร่อยติดปากยาวนานผ่านกี่ชั่วยามก็มิอาจลืม…นั่นเป็นเนื้อที่อร่อยที่สุดเท่าที่เขาเคยทานมาในชีวิตนี้!
หากมีโอกาสได้ทานสักถ้วยในยามนี้ เขาย่อมต้องเอาถ้วยอีกใบใส่หมูจนเต็ม และจะทานเข้าไปสามถ้วยใหญ่ ๆ เลยเชียว! เดี๋ยวสิ ไม่นะ บางทีเขาอาจทานทั้งหม้อเลยก็ได้!
กลับบ่าวผู้น่าสงสารดึงสติตนกลับมาสู่การเดินทางอันโหดร้ายที่พบเจอระหว่างมาที่นี่ กลับทำให้เขายิ่งคิดถึงอาหารอร่อย ๆ ยิ่งกว่าเดิม
เฮ่อซานหลางเคยเจอกับความสับสนอย่างกะทันหันเช่นบ่าวผู้นี้มาก่อนแล้ว ภาษาป่าเถื่อนหรือ? เขาย่อมต้องคล่องแคล่วเพราะชาติก่อนถูกเนรเทศมายังชายแดนเหนือแห่งนี้ และยังต้องรอนแรมอยู่กับพวกป่าเถื่อนชั้นต่ำนานถึงสามปี ทนทุกข์กับความยากลำบากมานานัปะการ เช่นนั้นแล้ว เขาจะไม่ทราบภาษาพื้นฐานเหล่านี้ได้อย่างไร?
เมื่อคิดถึงวันคืนมืดมิดเหล่านั้น มือของเฮ่อฉางตี้ก็กำแน่นอยู่ภายใต้แขนเสื้อ
ทว่าสวรรค์ยังมีเมตตา มอบโอกาสให้เขาได้กลับมาแก้ไขเหตุการณ์ทั้งหมดอีกครั้ง!
เมื่อเข้าไปในกระโจม ชายชาวป่าเถื่อนร่างเตี้ยหนาก็เข้ามาต้อนรับ เขาวางมือขวาเหนือหัวใจ โค้งคำนับเฮ่อฉางตี้ด้วยความเคารพ
เฮ่อฉางตี้พยักหน้า เดินไปยังโต๊ะเตี้ย ๆ ที่ตั้งอยู่กลางกระโจม และรอให้คนเถื่อนผู้นั้นนั่งลงพร้อมกันกับตน จากนั้นสตรีที่พบด้านนอกก็นำไหดินเผาเข้ามาสองใบ
คนเถื่อนเบื้องหน้าส่งสัญญาณให้เขาเป็นผู้เริ่มก่อนตามธรรมเนียมฮั่น เฮ่อฉางตี้ไม่มากพิธีเติมอาหารลงในถ้วยหยาบ ๆ ตรงหน้าจนเต็ม เขาทานเข้าไปหนึ่งคำ ก่อนจะพยักพเยิดให้ไหลเยว่ที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านหลังเริ่มทานเช่นกัน
ทั้งคู่ไม่ได้ทานอะไรมาเกือบหนึ่งวันเต็ม ๆ เนื่องด้วยต้องเร่งร้อนเดินทางมายังเหลียงโจวแห่งนี้ ยามนี้ท้องของนักเดินทางทั้งคู่ว่างเปล่าจนเอ่ยร้องประท้วงหนัก เฮ่อฉางตี้ในยามนี้ก็มิได้ทำตัวเฉกเช่นขุนนางชั้นสูงมากพิธี และยังปฏิบัติต่อไหลเยว่เยี่ยงสหายผู้หนึ่ง ทุกครั้งที่แวะเข้าโรงเตี๊ยมเพื่อทานอาหาร คนทั้งสองก็มักจะนั่งทานร่วมโต๊ะกันเสมอ
ไหลเยว่ไม่ปฏิเสธและทำตามอย่างเฮ่อฉางตี้ เติมอาหารลงถ้วยเบื้องหน้าตนเอง และทานอาหารเข้าไปคำโตด้วยความหิวโหยในทันที
ทว่าเมื่ออาหารสัมผัสถูกลิ้น สีหน้าไหลเยว่ก็เผลอบิดเบี้ยวอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนจะลอบมองผู้เป็นนายที่สีหน้ามิได้มีเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ซ้ำยังค่อย ๆ ทานอาหารทีละคำเล็ก ๆ ดังนั้นไหลเยว่จึงทำได้เพียงกล้ำกลืนอาหารเต็มปากลงไป
เมื่อก้มมองสสารแปลกประหลาดสีดำในถ้วย ไหลเยว่ก็ไม่กล้าจะทานคำต่อไป
เจ้านี่ทำจากอะไรกัน? กลืนยากยิ่งกว่าหมั่นโถวแห้ง ๆ ที่พวกเขาทานระหว่างทางเสียอีก พวกคนเถื่อนทานสิ่งนี้ทุกวันลงจริง ๆ น่ะหรือ?
ผ่านไปสักพัก เฮ่อซานหลางก็ทานอาหารในถ้วยตนเองจนหมดด้วยกริยาที่คงไว้ซึ่งความสง่างาม เขาหันมองบ่าวรับใช้ของตนและเอ่ยด้วยเสียงเรียบเย็น
“ทานให้หมดเสีย ที่นี่ไม่มีอย่างอื่นให้ทานแล้ว ประเดี๋ยวเจ้าจะหิว”
ไหลเยว่มองถ้วยอาหารที่ว่างเปล่าของผู้เป็นนาย ก่อนจะหันหน้ามาเผชิญหน้ากับถ้วยของตนอย่างไร้ทางเลือก
อาหารจานนี้เป็นอาหารจานพิเศษของชายแดนเหนือที่เรียกว่าข้าวต้มหนำเลี้ยบ แม้รสชาติจะไม่ดีนัก ทว่านับเป็นแหล่งอาหารหลักของเหล่าคนที่นี่ ชาติที่แล้วเฮ่อฉางตี้เคยทานอาหารที่ย่ำแย่กว่านี้มาแล้ว ตอนนั้นได้ทานของสิ่งนี้เพียงเดือนละครั้งเท่านั้น ต้องขอบคุณสตรีคนเถื่อนผู้หนึ่งที่เวทนาสงสารและลอบส่งของสิ่งนี้มาให้เขาเดือนละครั้ง
เมื่อได้กลิ่นของข้าวต้มนี้อีกครั้ง ทีแรกเฮ่อฉางตี้ยังคิดว่าตนอาจจะหวนระลึกถึงอดีตหรือชื่นชอบในรสชาติของมันอยู่บ้าง ในความจริงเขากลับไม่มีความรู้สึกพิเศษใดเลยแม้แต่น้อย เขาจ้องมองควันที่ลอยขึ้นจากไหดินเผา เหม่อลอยไป ณ ที่ไกลแสนไกล ข้าวต้มหนำเลี้ยบบนโต๊ะค่อย ๆ แปรเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นแป้งทอดใส่ต้นหอมและเกี๊ยว
ผู้ร่วมโต๊ะของเขาค่อย ๆ ผันเปลี่ยนกลายเป็นอิสตรีหน้าตาน่ารักไร้เดียงสาที่จ้องมองเขาด้วยความขุ่นเคืองเป็นระยะ ดวงตาของนางยังกล่าวโทษว่าเขาเป็นตัวตะกละที่คอยจะแย่งอาหารที่นางสู้อุตส่าห์ทำอย่างประณีต
รสชาติของเกี๊ยวและแป้งทอดใส่หอมกรอบ ๆ คล้ายว่าจะบดบังรสชาติของข้าวต้มหนำเลี้ยบ จนแม้แต่ตัวเขาก็หลงลืมไปแล้วว่าแท้ที่จริงตนกำลังทานอะไรอยู่
ไม่ทันไรเฮ่อซานหลางก็ใช้เล็บจิกเข้าที่มือของตัวเองโดยแรง ดวงตาเย็นเยือกแข็งค้างดำสนิทราวนิลกาฬ
บัดซบ! เขาถูกสาปหรืออย่างไร? เหตุใดจึงคิดถึงสตรีแพศยาผู้นั้นขึ้นมาอีกแล้ว?!
เขาพยายามนึกย้อนภาพเคราะห์กรรมที่ประสบพบเมื่อชาติก่อนในใจ เพื่อย้ำเตือนตนว่าสาเหตุของความลำบากเหล่านั้นล้วนเป็นเพราะนาง เพราะนางเพียงผู้เดียว เขาปิดตาลงช้า ๆ เพื่อลบเลือนภาพจำบางอย่างออกไป …เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตานั้นก็พลันกระจ่างใสดังที่เคยเป็น
ไหลเยว่นั่งทานอาหารในถ้วยด้วยสีหน้าหลากหลาย ก่อนจะหันไปหาคุณชายของตนด้วยท่าทางน่าสงสาร
ชายชาวป่าเถื่อนผู้นั้นนั่งอยู่ตรงข้าม ได้สังเกตเห็นว่าสีหน้าของไหลเยว่ตลกนัก จึงระเบิดหัวเราะออกมาอย่างเปิดเผย ก่อนจะสั่งให้สตรีคนเดิมเข้ามาเก็บถ้วยชามและยกนมเปรี้ยวขึ้นโต๊ะ
คราวนี้ไหลเยว่ระวังกว่าเดิม เขาหยิบนมเปรี้ยวเบื้องหน้าขึ้นและจิบเข้าไปอึกหนึ่ง แม้จะสู้สุราถูก ๆ ในเมืองหลวงไม่ได้ ทว่านี่นับเป็นดั่งสวรรค์ชั้นฟ้าเมื่อเทียบกับข้าวต้มหนำเลี๊ยบก่อนหน้า
ชายชาวป่าเถื่อนยิ้มอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าไหลเยว่เปลี่ยนไป ก่อนจะหันไปพูดคุยกับเฮ่อฉางตี้
ไหลเยว่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ได้แต่สังเกตทีท่าของคู่สนทนานั้นและเห็นชาวป่าเถื่อนผู้นั้นหยุดพูดชั่วครู่ เพื่อส่งถุงใบเล็กให้กับคุณชายของตนด้วยสองมือ
เฮ่อซานหลางเปิดถุง ข้างในนั้นมีจดหมายอยู่สองฉบับ จากนั้นก็จ้องของอย่างอื่นที่อยู่ด้านใน ก่อนจะกำรวบถุงแล้วโยนมันใส่ห่อผ้าที่ขนมาตลอดทาง
เมื่อไหลเยว่เห็นตราประทับหลังจดหมาย สีหน้าก็จริงจังขึ้นมา
จดหมายสองฉบับนี้ย่อมเป็นเครือข่ายจิ่นอ๋องส่งมา
เฮ่อฉางตี้เปิดจดหมายจากจิ่นอ๋องและอ่านคร่าว ๆ สีหน้านั้นเรียบนิ่ง ก่อนจะเปิดอีกฉบับหนึ่งขึ้นอ่าน
ลายมือบนจดหมายฉบับนี้มิได้ดูหนาดุดันดังเช่นฉบับก่อนหน้า ทว่ากลับเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่ามาก ย่อมเป็นจงหมัวมัวที่ส่งมา
จดหมายฉบับนั้นมีทั้งสิ้นห้าหน้าด้วยกัน และเต็มไปด้วยตัวอักษรที่อัดแน่น รายงานทุกสิ่งที่ฉู่เหลียนได้กระทำในช่วงสองอาทิตย์ที่เขาไม่อยู่จวนจิ่งอัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่
สีหน้าของเฮ่อซานหลางเย็นชาลงจนสัมผัสได้ ขณะเดียวกัน ในดวงตานั้นกลับเผยความสงสัยที่ไม่มีใครเห็น
เฮ่อฉางตี้ยังคงอ่านต่อ เมื่อถึงช่วงสำคัญ ริมฝีปากก็ให้บิดเบี้ยวอย่างอดมิได้