ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 55 อย่าได้เสียเวลาโกนหนวดเครา
จดหมายที่จงหมัวมัวส่งมาถูกเขียนขึ้นเหมือนยามที่นางพูดไม่มีผิด ไม่มีทั้งความสละสลวยหรือการอ้อมค้อมใด ๆ
ขณะอ่านไป เฮ่อซานหลางก็สัมผัสได้ถึงความสนุกสนานของบ่าวชราผู้นี้
นี่คือสิ่งที่เขียนไว้ในจดหมาย
“บ่าวไม่ทราบมาก่อนว่านายหญิงสามจะมีทักษะการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ อาหารในเรือนซงเถามีความแตกต่างและหลากหลายในแต่ละมื้อ นางมีความเข้าอกเข้าใจและเห็นใจพวกเราบ่าวไพร่เป็นอย่างมาก บ่าวชราผู้นี้จึงโชคดีนักที่ได้ลิ้มลองอาหารเลิศรสของนายหญิงด้วยเช่นกัน แต่ด้วยความชราทั้งฟันทั้งอายุ ย่อมเป็นหมี่ซั่วไก่ฉีกที่ถูกปากบ่าวเป็นที่สุด ไม่ ไม่ ยังมีเจิ้งฮวาเจวี้ยน…ซาลาเปาเห็ดฝูหลิงก็อร่อยเช่นกัน ตั้งแต่เกิดมาจนแก่ชราเท่านี้ บ่าวกลับเพิ่งเคยได้ทานอาหารเหล่านี้เป็นครั้งแรก! เอ่ยตามตรง ในตอนนี้ช่วงเวลาที่บ่าวรอคอยมากที่สุดคือช่วงเวลาอาหาร…”
และ…ยังมีอีกหลายบรรทัดกว่าจะจบ บางทีอาจเพราะเมื่อเริ่มเขียนถึงอาหารของนายหญิงสามแล้วคงหยุดไม่ได้กระมัง ท้ายที่สุดเมื่อบ่าวชรารู้สึกตัวว่าคงจะเขียนมากเกินไป นางจึงทำได้เพียงเปลี่ยนเรื่องเสียดื้อ ๆ
“นายหญิงสามเป็นผู้ที่ชื่นชอบการทานมากคนหนึ่ง ระหว่างที่คุณชายสามอยู่ชายแดนเหนืออย่าได้กังวลเรื่องนายหญิงสามไป ขอให้ท่านโปรดรักษาสุขภาพและทานอาหารให้มากในทุกวันด้วย…”
เฮ่อฉางตี้อยากกระอักเลือด แทบจะควบคุมความโกรธเคืองนี้ไม่ได้ จงหมัวมัวผู้นี้นี่! ตนเองเอ่ยถึงอาหารอร่อย ๆ เลิศรสตั้งมากมาย และยังจะบอกให้เขาทานให้มากอีก! จำไม่ได้แล้วหรืออย่างไรว่าเขาอยู่ดินแดนทางเหนืออันห่างไกล? ที่นี่ไม่มีอะไรให้ทานทั้งนั้น!
เฮ่อซานหลางก้มมองนมเปรี้ยว ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าสิ่งนี้ช่างทานได้ยากเย็นเหลือเกิน
ต้องเป็นแผนของสตรีร้ายกาจผู้นั้นแน่!
นางถึงกับใช้อาหารล่อลวงคนของเขา!
ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยว ลอบตัดสินใจว่าจะต้องเตือนจงหมัวมัวในจดหมายตอบกลับว่าอย่าลืมหน้าที่ของตนหลังทานอาหารที่สตรีร้ายกาจนางนั้นทำ นางไม่ควรถูกซื้อตัวง่ายดายเพียงนี้!
ท้ายสุด หลังจากที่เขาอ่านเรื่องราวที่เกิดขึ้นในจวนติ้งหยวน ดวงตาของเฮ่อซานหลางหม่นลงขณะครุ่นคิด
มือกำจดหมายแน่นขึ้น
เป็นไปได้อย่างไรกัน? เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนติ้งหยวนโหวนั้นกลับแตกต่างออกไปมาก…
สตรีแพศยานั่นเชื่อมสัมพันธ์กับองค์หญิงต้วนเจี่ยได้ด้วยเรื่องนั้นจริง ๆ หรือ?
เฮ่อฉางตี้ข่มเก็บความตะลึงลงในใจ รีบคิดแผนการรับมือต่อไป
ในย่อหน้าสุดท้าย จงหมัวมัวได้ตำหนิฉู่เหลียนว่าไม่รู้จักจัดการเงินทองให้ดี และใช้วันเกิดเป็นเหตุอ้างเพื่อตกรางวัลแก่บ่าวไพร่ทุกคนในเรือนซงเถา
วันเกิดหรือ? รางวัลหรือ?
เฮ่อฉางตี้ย่อมจำวันเกิดของฉู่เหลียนได้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่จำเป็นต้องฉลองวันเกิดให้แก่สตรีที่เขารังเกียจสุดใจผู้นั้นก็ตาม และดูคล้ายว่านางยังคอยหาเรื่องบันเทิงให้ตนเองได้แม้ตัวเขาจะไม่อยู่ ด้วยการแจกจ่ายรางวัลอย่างสิ้นเปลืองแก่บ่าวไพร่ นอกจากนี้จงหมัวมัวยังรายงานว่าตัวนางเองก็ได้รับต่างหูทองคู่หนึ่ง และแหวนทองอีกวงหนึ่ง
เฮ่อฉางตี้แค่นหายใจ ความดูถูกดูแคลนค่อย ๆ ผุดพรายขึ้นในใจ นางคิดหรือว่าของเล็กน้อยเช่นนั้นจะซื้อตัวบ่าวผู้ภักดีที่เขามอบหมายให้จับตาดูนางไปได้
ฝันไปเถอะ!
เฮ่อซานหลางไม่รู้ว่าทำไมตนเองจึงได้เกรี้ยวกราดเพียงนี้ เขาอาจจะเกลียดนางจนเข้ากระดูกแล้วใช่หรือไม่? ทั้งที่ก็ควรจะคุ้นชินกับความประพฤติต่ำทรามของนางได้แล้ว…
ในชีวิตนี้ เขาต้องการเป็นดั่งราชสีห์ที่แข็งแกร่ง หลีกเร้นกายรอคอยเวลาที่จะขย้ำเหยื่อที่เบื้องหน้าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ทว่าในความเป็นจริงเขากลับไม่เคยสามารถอำพรางความเกรี้ยวกราดที่มีของตนลงได้ แถมยังหูตามืดบอดไปด้วยความโมโหซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะสตรีแพศยาผู้นั้น
เขามักจะสูญเสียการควบคุมตนเองและจิตใจรวนเรทุกครั้งที่นางได้กระทำบางสิ่งที่ต่างไปจากชาติที่แล้ว
เขาจำได้ดีว่า ในชาติก่อนสินเดิมของฉู่เหลียนยามแต่งเข้าจวนจิ่งอันมีเพียงน้อยนิด เขาเป็นผู้ช่วยเติมสินเดิมให้แก่นาง ดังนั้นในชาตินี้เขาอยากเห็นนางต้องทนทุกข์!
นางชอบตกรางวัลนักมิใช่หรือ?
เช่นนั้นเขาจะรอดูวันที่นางใช้สินเดิมจนหมดสิ้นก็แล้วกัน
อีกด้านหนึ่ง ไหลเยว่แอบมองสีหน้าผู้เป็นนาย ความสงสัยที่อัดอั้นอยู่ในใจแทบจะระเบิดออก เขาอยากรู้เสียจริงว่าคุณชายของตนเป็นอะไรไป เหตุใดสีหน้าจึงแปรเปลี่ยนไปมากมายนักขณะอ่านจดหมายเพียงฉบับเดียว มีตั้งแต่สีหน้าริษยา ดุดันอาฆาต จนท้ายที่สุดก็แค่นหายใจด้วยท่าทีเย็นชา…ไหลเยว่ยักไหล่กับตัวเอง อาจเพราะสายลมของวันนี้ ทำให้ร่างกายเขาเย็นเยียบไปจนถึงไขสันหลัง
ชายป่าเถื่อนที่ลอบมองคุณชายอยู่เช่นกัน เมื่อรู้ว่าเฮ่อฉางตี้กำลังจะทำอะไร เขาก็ลุกขึ้นไปเอากระดาษกับพู่กันมามอบให้ด้วยตนเอง หลังจากรับเครื่องเขียนมา เฮ่อฉางตี้ก็หันมองสองคนที่อยู่ใกล้คราหนึ่ง ก่อนที่คนทั้งคู่ต่างค่อย ๆ เคลื่อนกายไปอยู่อีกฝั่ง
เมื่อเขียนจดหมายตอบกลับเสร็จ เขาก็ปิดผนึกซองจดหมายด้วยตัวเอง ก่อนจะส่งให้ชายชาวป่าเถื่อนที่รับไปพลางพยักหน้าและรีบเก็บซองเข้าในเสื้ออย่างระมัดระวัง
เฮ่อฉางตี้และไหลเยว่พักผ่อนต่ออีกชั่วครู่ สตรีที่เดินออกไปก่อนหน้านี้ก็กลับเข้ามาพร้อมเด็กวัยรุ่นดูแลม้าที่ถือถังไม้เข้ามาด้วย
เด็กหนุ่มผู้นั้นเดินเข้าออกกระโจมหลายหน แบกเอาถังน้ำร้อนเข้ามาเติมใส่ถังไม้ ไหลเยว่จึงทราบได้ว่าพวกนั้นคงตระเตรียมไว้ให้คุณชายอาบน้ำเป็นแน่
เมื่อจัดการเสร็จสิ้น ภายในกระโจมตอนนี้ก็เหลือเพียงไหลเยว่ที่อยู่รับใช้ผู้เป็นนาย
เฮ่อฉางตี้แช่ตัวลงในถังน้ำ ผ่อนลมหายใจด้วยความผ่อนคลาย แขนยาวพาดขอบถังเผยให้เห็นกล้ามที่ดูใหญ่ขึ้น มิได้บอบบางจนเกินไปเหมือนตอนสวมใส่เสื้อผ้า ไหลเยว่ใช้ผ้าถูหลังให้ พร้อมทั้งช่วยสระผม และเมื่อเขาเห็นว่าผู้เป็นนายมีไรหนวดเคราเขียวครึ้ม จึงหยิบใบมีดสำหรับโกนหนวดออกมา จัดการโกนออกเสีย
เฮ่อฉางตี้เห็นดังนั้นก็รีบผลักมือออก “ไม่ต้องโกนเคราข้า ปล่อยไว้เช่นนี้แหละ”
หา?
ไหลเยว่ตกใจเสียจนร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้ไปชั่วขณะหนึ่ง
มาตรฐานความงามในยุคราชวงศ์อู่นี้ก็เหมือนกับในยุคเว่ยและจิ่น บุรุษผู้มีผิวพรรณสะอาด ขาวบริสุทธิ์จะได้รับคำชื่นชมจากผู้พบเห็น ดังนั้นนายโลมในหอโคมเขียวทั้งหลายจึงมักทาแป้งบนใบหน้าเพื่อให้ตนเองดูขาวขึ้น
ไม่เพียงแต่บุรุษโคมเขียวเท่านั้น กระทั่งเหล่าลูกหลานขุนนางก็ยังผัดแป้งก่อนออกไปพบปะสังสรรค์กับมิตรสหาย หรือบางคนอาจประดับดอกไม้ตกแต่งบนเรือนผม ที่สำคัญคือไม่มีลูกหลานขุนนางคนใดไว้หนวดเครา
ด้วยค่านิยมเช่นนี้เอง เซียวป๋อเจี้ยนที่งดงามคล้ายสตรีจึงได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง
แม้เฮ่อซานหลางจะมิได้ปฏิบัติอย่างที่ลูกหลานขุนนางเหล่านั้นพึงกระทำโดยการประดับดอกไม้งามบนเรือนผม ทว่ารูปกายของเขามักจะดูสะอาดสะอ้านอยู่เสมอ เขาเกิดมาหล่อเหลาเยี่ยงวีรบุรุษ พร้อมด้วยรัศมีที่ดูสุขุมนุ่มลึก ทำให้ดูคล้ายทระนงตน แต่ก็ยังวางตัวสง่างามไม่ปล่อยตัว ทำให้บรรดาผู้ที่เชยชมรู้สึกได้ถึงใจที่เต้นแรงด้วยความบ้าคลั่ง
ทว่ายามนี้ใบหน้าหล่อเหลานั้นครึ่งหนึ่งถูกปกคลุมด้วยหนวดเคราเสียแล้ว จะยังเหลือความดูดีอะไรได้อีกเล่า แต่ด้วยอารมณ์รุนแรงของเฮ่อฉางตี้ในวันนี้ ไหลเยว่มิกล้าขัดคำสั่ง จึงทำได้เพียงเก็บมีดโกนกลับไป