ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 56 องค์หญิงซึนเดเระ
ฉู่เหลียนเดินทางผ่านใจกลางเมืองอยู่เกือบครึ่งชั่วยามเพื่อไปตามคำเทียบเชิญขององค์หญิงต้วนเจี่ย จนกระทั่งรถม้าจวนจิ่งอันมาถึงประตูใหญ่ของจวนเว่ยอ๋อง นางจึงส่งบ่าวชายไปหายามเฝ้าประตู ในขณะนั้นหมัวมัวที่ยืนรออยู่ตรงทางเข้าก็ได้นำสาวใช้รุ่นเด็กมาต้อนรับ
ฉู่เหลียนลงจากรถม้าโดยมีฉีเยี่ยนช่วยประคอง เป็นจังหวะเดียวกับที่หมัวมัวผู้มาต้อนรับเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มสดใส “มิทราบว่าท่านผู้นี้ใช่นายหญิงสามแห่งจวนจิ่งอันหรือไม่”
เวิ่นหลานยอบกายคารวะหมัวมัวเบื้องหน้าแล้วตอบ “ใช่เจ้าค่ะ”
“ขอคารวะนายหญิงสาม องค์หญิงส่งให้บ่าวมารอต้อนรับท่านและนำทางไปยังเรือนใน ขอเชิญด้านในเจ้าค่ะ” หมัวมัวผู้นี้อายุราว ๆ สามสิบปี นางมีใบหน้ากลมมน น้ำเสียงที่แสนอบอุ่น และรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตร เชิญชวนให้ผู้คนที่พบเจอรู้สึกดีตั้งแต่แรกพบ
“เช่นนั้นข้าต้องรบกวนหมัวมัวแล้ว”
เมื่อฉู่เหลียนก้าวเข้าจวนเว่ยอ๋อง ก็เห็นว่าหมัวมัวได้จัดเตรียมเกี้ยวสองคนหามไว้รอรับ และใช้เวลาเดินทางไปยังเรือนขององค์หญิงต้วนเจี่ยประมาณครึ่งเค่อ
จวนเว่ยอ๋องหรูหรากว่าจวนจิ่งอันมากนัก มีภูเขาจำลอง ศาลาที่พักและซุ้มประตูมากมาย ทั้งยังมีห้องวาดภาพอยู่อีกหลายห้อง ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็เห็นแต่ทิวทัศน์อันงดงาม ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจวนเว่ยอ๋องจึงจัดว่างามเป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลวง
ฉู่เหลียนมองทุกสิ่งด้วยดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความชื่นชมต่อสิ่งที่รายล้อมอยู่รอบกายโดยมิอาจปิดบังได้
แม้การกระทำเช่นนี้จะดูไม่สง่างามนัก ทว่าสีหน้าไร้เดียงสาของนางกลับไม่ได้ทำให้ดูแย่แม้แต่น้อย
การกระทำเช่นนี้ก็อาจจะดีกว่าเหล่าคุณหนูที่พยายามเก็บงำความสนใจใคร่รู้ ทั้งที่ดวงตาแฝงด้วยแววอิจฉาริษยาอยู่มาก
ระหว่างที่ฉู่เหลียนนั่งเกี้ยวชมทิวทัศน์ภายในจวนเว่ยอ๋องนั้น ความสวยงามเบื้องหน้าทำให้นึกไปถึงสวนจัวเจิ้งในโลกยุคปัจจุบัน ดูแล้วช่างงดงามไม่แพ้กัน
เมื่อสังเกตเห็นศาลาที่สูงพอ ๆ กับภูเขาจำลองจากที่ไกล ๆ ฉู่เหลียนก็เพ่งมองด้วยความสงสัย
หมัวมัวที่ตามมาจึงได้อธิบายให้นางฟัง “นายหญิงสาม ศาลาแห่งนั้นเรียกว่าศาลาปู้เหลียว ป้ายชื่อด้านบนเป็นลายมืออันทรงคุณค่าของมหาบัณฑิตจากราชวงศ์ก่อน นามว่าฉู่ปู้เหลียว! ซึ่งที่แห่งนั้นเหมาะกับใช้นั่งคลายร้อนในวันที่อากาศร้อนจัดเช่นวันนี้ สายลมที่พัดผ่านตัวศาลานั้นสดชื่นยิ่งนักเจ้าค่ะ”
ฉู่เหลียนพยักหน้ายิ้มรับ
ด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน สายตาใสดั่งแก้ว และท่าทางจริงใจ รวมทั้งนางยังเป็นผู้ที่องค์หญิงต้วนเจี่ยออกปากเชิญมาร่วมสังสรรค์เป็นการส่วนตัวที่เรือน จึงทำให้หมัวมัวผู้นี้มองฉู่เหลียนในแง่ดี
เมื่อมาถึงจุดหมายปลายทาง สาวใช้คนหนึ่งก็ประคองฉู่เหลียนลงเกี้ยว และเมื่อเงยหน้ามองก็พบว่าองค์หญิงต้วนเจี่ยยืนรออยู่ที่ประตูเรือนแล้วอย่างใจจดใจจ่อ
องค์หญิงต้วนเจี่ยเลิกคิ้วมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ทันทีที่เห็นกล่องอาหารในมือของฉีเยี่ยน ดวงตาพลันตกตะลึงจนสังเกตเห็นได้ ก่อนรีบพุ่งตัวไปแย่งกล่องนั้นมาจากมือฉีเยี่ยน องค์หญิงต้วนเจี่ยเชิดคางเล็กน้อย หันไปหาฉู่เหลียนแล้วพูด “ฉู่เหลียน นี่ให้ข้าใช่หรือไม่?”
ฉู่เหลียนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ไม่คิดว่าองค์หญิงผู้สูงส่งที่เจอในจวนติ้งหยวนวันนั้น แท้จริงแล้วจะเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจเช่นนี้
นางพยักหน้าและตอบ “เพคะองค์หญิง เมื่อเช้านี้หม่อมฉันตั้งใจทำสิ่งนี้ด้วยตนเองให้พระองค์เพคะ”
น้ำเสียงของฉู่เหลียนทั้งนุ่มนวล ทั้งใจดี แม้นางจะแต่งงานแล้ว และมีทรงผมที่ดูแตกต่างจากองค์หญิง แต่นางก็ยังดูเหมือนคุณหนูอ่อนเยาว์ที่มีอายุเท่า ๆ กันกับองค์หญิงต้วนเจี่ยอยู่ดี
แม้สถานะขององค์หญิงต้วนเจี่ยจะแตกต่างจากนางมากนัก แต่ฉู่เหลียนก็มิได้ทำตัวแตกต่าง ที่สำคัญยังให้ความสนใจดูแลองค์หญิงราวกับเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของตน โดยไม่มีร่องรอยของความหวาดกลัวหรือต้องคอยระแวดระวังดังเช่นผู้อื่น สิ่งเหล่านั้นยิ่งทำให้องค์หญิงต้วนเจี่ยประเมินนางสูงขึ้น
ไม่รอให้ฉู่เหลียนคารวะทำความเคารพ องค์หญิงต้วนเจี่ยก็จับมือนางพาเข้าห้องรับแขกในทันที
เมื่อทั้งคู่นั่งลงแล้ว องค์หญิงต้วนเจี่ยก็สั่งสาวใช้ให้ยกขนมที่ฉู่เหลียนนำมาขึ้นโต๊ะ
เมื่อขนมถูกจัดวางลงในจานกระเบื้องสองใบ องค์หญิงต้วนเจี่ยก็เผลอจ้องมองงานศิลปะที่ทานได้ด้วยความแปลกประหลาดใจ ในจานกระเบื้องงดงามแต่ละใบประกอบไปด้วยขนมหกชิ้น มีขนมสีเหลืองนม สีเขียวอ่อน และสีแดงอ่อนอย่างละสองชิ้น ขนมเหล่านั้นมีรูปทรงแบนคล้ายรูปหน้าแมว ช่างน่ารักน่าเอ็นดู โดยแมวแต่ละตัวมีสีหน้าแตกต่างกัน ชวนให้อารมณ์ดีเพียงแค่มองดู
ฉู่เหลียนยิ้มน้อย ๆ ขณะมององค์หญิงต้วนเจี่ยที่อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
อย่างที่คาดไว้ สาว ๆ มักจะชอบขนมหน้าตาน่ารัก ๆ เป็นที่สุด!
ขนมเหล่านั้นคือคุกกี้ ฉู่เหลียนทำออกมาหนึ่งชุด มีสามสีซึ่งบ่งบอกถึงรสชาติที่แตกต่างกัน มีทั้งรสนม ชาเขียว และพุทราจีน ทั้งยังใช้แม่พิมพ์เป็นรูปหัวแมวที่เตรียมเอาไว้ก่อนมาทำ แล้วค่อยใช้สีผสมอาหารจากธรรมชาติมาแต่งแต้มเป็นสีหน้าในภายหลัง คุกกี้พวกนี้ทำง่ายดายกว่าจิงปาเจี้ยนนัก เพียงอบทีเดียวก็เป็นอันเสร็จสิ้น
อีกจานหนึ่งคือถังชานจา ผลชานจาแดง ๆ กลม ๆ ถูกเคลือบด้วยน้ำตาลขาว แม้รสชาติของมันจะไม่เปรี้ยวเหมือนทานผลชานจาเปล่า ๆ ทว่าก็ไม่หวานจนเกินไป นอกจากนั้นเมล็ดข้างในยังถูกแกะออกจนหมดแล้ว จึงสามารถทานได้สะดวก ไม่จำเป็นต้องคายทิ้ง เหมาะกับการเป็นของว่างที่สุด
ดวงตาขององค์หญิงต้วนเจี่ยเปล่งประกายวิบวับเมื่อมองขนมเบื้องหน้า สาวใช้ส่วนตัวเองก็ถึงกับจ้องมองขนมราวกับถูกมนต์สะกดก่อนจะรู้สึกตัวและรีบหันมายกน้ำชาแทน
ฉู่เหลียนเบ้หน้าเมื่อเหลือบเห็นสาวใช้กำลังจะยกเซนฉะอันเลวร้ายของโลกนี้ขึ้นโต๊ะ จึงรีบเอ่ยทักท้วง “องค์หญิง ขนมนี้ไม่เหมาะจะทานคู่กับเซนฉะ มันอาจทำให้เสียรสชาติได้นะเพคะ”
ได้ยินดังนั้น องค์หญิงก็กลอกตาใส่ฉู่เหลียนอย่างเสียกิริยาในทันที “ฉู่เหลียน ที่เจ้าพูดเช่นนั้นเพราะไม่ชอบดื่มเซนฉะใช่หรือไม่?”
พระองค์ลอบมองแววตาของฉู่เหลียนเพียงปราดเดียวก็ตระหนักได้ในทันทีว่าเด็กสาวผู้นี้เพียงหาข้ออ้างขึ้นมาเท่านั้น
มุมปากฉู่เหลียนกระตุกขึ้นโดยไร้ทางโต้ตอบ องค์หญิงผู้นี้ฉลาดเกินไปแล้ว
สาวใช้ขององค์หญิงต้วนเจี่ยหัวเราะก่อนกล่าว “นายหญิงสามทำตัวตามสบายเถิดเจ้าค่ะ องค์หญิงท่านก็มิได้ชอบเซนฉะเช่นกัน ประเดี๋ยวบ่าวจะรินน้ำผสมน้ำผึ้งให้แทนเจ้าค่ะ”
ฉู่เหลียนหัวเราะเจื่อน รู้สึกประดักประเดิด
องค์หญิงต้วนเจี่ยเลือกหยิบคุกกี้รสชาเขียวขึ้นมาถามอย่างสงสัย “ฉู่เหลียน บอกได้หรือไม่ว่าเจ้าทำคุกกี้นี่ได้อย่างไร?”
ในใจองค์หญิงต้วนเจี่ยยังลอบคิด ‘ฉู่เหลียนต้องเป็นผู้คิดชื่อนี้เองเป็นแน่ ชื่อช่างแปลกมากจริง ๆ ไม่สง่างามสักนิด ฮึ่ม! นางคงรู้จักแต่เรื่องกินสินะ!’
ฉู่เหลียนออกจะแปลกใจเล็กน้อย ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้นางได้ทำขนมออกมามากมายที่ถือว่าเหนือกว่ามาตรฐานของขนมยุคนี้ยิ่งนัก จึงทำให้ได้รับคำชื่นชมเป็นอย่างสูง ทว่าผู้คนที่นี่ล้วนต้องหวงสูตรลับอาหารของตนยิ่งชีพ ไม่มีผู้ใดกล้าถามวิธีทำดังเช่นที่องค์หญิงต้วนเจี่ยมาก่อน!
ฉู่เหลียนนิ่งงันไม่รู้จะเอ่ยตอบเช่นไรไปชั่วขณะ “องค์หญิง ท่านต้องการทราบจริง ๆ หรือเพคะ?”
“แน่สิ คิดว่าข้าล้อเล่นอยู่เยี่ยงนั้นหรือ?” องค์หญิงต้วนเจี่ยกลอกตาใส่นางอีกครั้ง
ดวงตาของฉู่เหลียนเบิกกว้าง ขนตาสั่นกระพือยามกะพริบตา “หากพระองค์ต้องการทราบว่าคุกกี้ทำอย่างไรจริง ๆ …เช่นนั้น ก็ออกจะพูดยากไปเสียหน่อย เนื่องจากอาจจะยากสำหรับบางคน และอาจง่ายสำหรับบางคนเพคะ”
“เช่นนั้นก็ทำให้ง่ายสำหรับข้า”
ฉู่เหลียนแทบจะสำลัก ที่ทำได้ในตอนนี้คงมีแค่พยายามอดทนสอนเท่านั้น “การจะทำคุกกี้ได้นั้น ท่านต้องเตรียมเนย ไข่ แป้งสาลี และน้ำตาล จากนั้นผสมเนย น้ำตาล และตอกไข่ใส่ลงไป ตีทั้งหมดให้เข้ากัน หลังจากนั้นจึงเติมแป้งลงไปแล้วนวดจนเนื้อเนียน แล้วปั้นแป้งให้เป็นทรงที่ต้องการ จากนั้นก็นำไปอบเพคะ ทว่าการผสมแป้งและอบให้พอดีนั้นไม่ง่ายเท่าไรสำหรับคนส่วนใหญ่”
แม้จะฟังดูง่าย ทว่าอันที่จริงแล้ววิธีการเหล่านี้แทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับผู้คนในยุคนี้ที่ไร้ซึ่งประสบการณ์ แค่การผสมเนยก็คงเกินความสามารถแล้ว สูตรนี้นับว่าง่ายสำหรับฉู่เหลียนนัก แต่กลับเป็นเรื่องที่ยากสำหรับคนอื่น ๆ
องค์หญิงต้วนเจี่ยนิ่วหน้า “เช่นนั้นแปลว่า…สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว การอบคุกกี้นี้ยุ่งยากใช่หรือไม่?”
ฉู่เหลียนพยักหน้า “องค์หญิง คุกกี้รูปทรงน่ารักรสชาเขียวที่พระองค์ถืออยู่นั้นยิ่งมีขั้นตอนมากขึ้นอีกเพคะ หากพระองค์อยากลองทำ สามารถเริ่มจากการทำคุกกี้รูปทรงง่าย ๆ ก่อนก็ได้เพคะ”
“ไม่เอา! ข้าอยากทำคุกกี้รูปหัวแมว และจะต้องเป็นรสชาเขียวด้วย!”
“หา?” ฉู่เหลียนตกใจและรู้สึกได้ถึงความยุ่งยากที่จะตามมา ทว่ายังไม่ทันได้เรียบเรียงความคิดให้ถี่ถ้วน องค์หญิงต้วนเจี่ยก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ครั้งหน้าเจ้าต้องเอาคุกกี้มาให้มากกว่านี้! และจงจำไว้ว่าต้องเป็นรูปหัวแมวที่น่ารักเช่นนี้เท่านั้น! หากทำออกมาไม่น่ารักละก็ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!” เหมือนเอ่ยเองแล้วก็อายเอง องค์หญิงต้วนเจี่ยทำแก้มป่อง สีหน้านั้นกลับยิ่งชวนให้รู้สึกว่าน่ารักเสียยิ่งกว่าเดิม
อีกครั้ง ฉู่เหลียนตอบอย่างงุนงง “หา?”
พอคิด ๆ ไป นางก็รู้ตัวว่าที่แท้องค์หญิงต้วนเจี่ยยังต้องการเชิญนางมาที่นี่อีก ในขณะที่ในใจก็ลอบคิดว่าสีหน้าแปลก ๆ ขององค์หญิงต้วนเจี่ยก็น่ารักไม่น้อย
ฉู่เหลียนยิ้มรับ “เพคะ คราวหน้าหม่อมฉันจะเอารสอื่นมาให้ลองชิมด้วยเพคะ”
ดวงตาขององค์หญิงต้วนเจี่ยทอประกายวิบวับ แต่ยังคงแสดงกิริยาคล้ายโมโห “ใครอยากให้เจ้ามากัน? ข้าเพียงอยากทานขนมรูปหัวแมวน่ารัก ๆ เช่นนี้เท่านั้น”