ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 59 พบเจอ
ฉู่เหลียนยกถ้วยเหล้าน้ำผึ้งขึ้นจิบ ก่อนจะแกว่งไกวถ้วยน้อยในมือเบา ๆ จนเห็นเป็นคลื่นน้ำสีทองหมุนวนอยู่ก้นถ้วย ตอนนี้ดวงใจของนางราวกับกำลังสูญเสียความสงบเงียบไปทีละน้อย ความฉงนในใจค่อย ๆ ผุดออกมา… สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ช่างดูแปลกนัก
ทำไมจู่ ๆ องค์หญิงถึงได้ปวดท้องกะทันหัน? พวกนางทานอาหารอย่างเดียวกัน และมีเพียงองค์หญิงที่ปวดท้องอยู่ฝ่ายเดียว แต่สีหน้าของฝ่ายนั้นก็ดูไม่ได้เสแสร้งแต่อย่างใด
ในใจลึก ๆ กลับรู้สึกเหมือนตนกำลังเดินเข้าสู่ตาข่ายที่ใครบางคนดักไว้
ยิ่งคิดเท่าไหร่ หัวใจก็ยิ่งเต้นแรงเท่านั้น ทันใดนั้น นางก็หันไปมองฉีเยี่ยนที่ยืนอยู่ด้านข้างมีทีท่าที่ดูเหมือนกำลังจะบอกให้รีบออกจากที่นี่โดยเร็ว ทว่าดวงตาของนางกลับไปประสานเข้ากับสายตาของเซียวป๋อเจี้ยนที่จ้องมองมา
นัยน์ตาของฉู่เหลียนเบิกกว้าง นางชะงักงันไปชั่วครู่ ทำไมเซียวป๋อเจี้ยนถึงมาอยู่ที่นี่ได้?
ทางด้านเซียวป๋อเจี้ยนเองก็ไม่คาดว่าจะได้สบตากับฉู่เหลียนทันทีที่เข้ามา ความบังเอิญนี้ราวกับความคิดของคนทั้งสองเชื่อมโยงถึงกัน เมื่อคิดดังนั้น ดวงใจของบุรุษก็แทบจะถูกหลอมละลายเพราะรักที่แสนโง่งม
“เหลียนเอ๋อร์! ”
ฉู่เหลียน: …
นี่นางมีแต่ดวงซวยหรือไง?! บ้าเอ๊ย!
ในใจฉู่เหลียนสบถด่าสวรรค์อย่างรุนแรง
เจอเซียวป๋อเจี้ยนทีไรไม่เคยมีเรื่องดีเลย คราวก่อนยังนับว่าโชคดีอยู่บ้างที่สามารถหนีเขาตอนที่อยู่จวนติ้งหยวนได้ แต่อย่างว่าความโชคดีมักอยู่ได้ไม่นาน จนกระทั่งต้องมาเจอเขาที่นี่อีก นิยายเรื่องนี้จะยอมปล่อยให้นางได้ใช้ชีวิตแบบสงบ ๆ บ้างไหมเนี่ย? นางไม่ใช่ ‘ฉู่เหลียน’ คนเดิมแล้ว! ดังนั้นไอ้แบบว่าหญิงงามล่มเมือง สวยอันตราย ดอกไม้กินคนอะไรนั่นไม่ใช่ทางของ ‘ฉู่เหลียน’ คนนี้สักนิด
การไปชอบคนอย่างเซียวป๋อเจี้ยนอันตรายเกินไป ใครจะรู้ว่าสักวันคุณอาจถูกขายเพราะความเห็นแก่ตัวของเขาก็เป็นได้
แม้จะไม่พอใจและหงุดหงิดที่เห็นเซียวป๋อเจี้ยนที่นี่ ทว่าฉู่เหลียนก็ปรับใจให้สงบลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว
นางไม่ใช่ ‘ฉู่เหลียน’ คนเดิมที่จะมาลนลานกับการเจอชายคนนี้ ดูจากสถานการณ์แล้ว การที่องค์หญิงต้วนเจี่ยรีบรุดออกจากห้องนี้ไปคงเกี่ยวข้องกับเขาอย่างมิต้องสงสัย
วิญญาณฉีเยี่ยนแทบหลุดจากร่างยามได้ยินเสียงหวานหยดย้อยของเซียวป๋อเจี้ยนที่เอ่ยเรียกขานนายหญิงของตน ‘เหลียนเอ๋อร์’
ฉีเยี่ยนหันมองบุรุษที่ยืนอยู่ข้างฉากกั้นห้องพร้อมทั้งมีปฏิกิริยาโต้ตอบที่รุนแรงกว่าฉู่เหลียน ทั่วร่างนางแข็งทื่อ และแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่าคุณชายเซียวจะมาปรากฏกายที่นี่ ในร้านน้ำชาเต๋อเฟิง ในห้องส่วนตัวของนายหญิงสามและองค์หญิงต้วนเจี่ย!
ยามนี้ฉู่เหลียนลุกขึ้นยืนแล้ว ดวงตาเซียวป๋อเจี้ยนจับจ้องนางด้วยความโหยหาอาวรณ์
คู่รักทั้งสองถูกพลัดพรากแยกจากกันไปหลายวัน ยามนี้เขาจ้องมอง ‘คนรัก’ ของตนอย่างเต็มตาด้วยไม่อาจยับยั้งได้อีกต่อไป น้องนางที่เบื้องหน้าแต่งกายด้วยชุดสีเหลืองอ่อน สวมทับด้วยเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนปักลายดอกไม้ ข้างเอวยังมีถุงเล็ก ๆ สีเขียวคู่กับหยกเครื่องรางพันอธิษฐาน อีกทั้งวันนี้นางยังประดับผมด้วยปิ่นปักหยกสลักทอง พร้อมด้วยเครื่องประดับศีรษะทับทิมที่ตรงหน้าผาก ดวงตาเซียวป๋อเจี้ยนยังคงจับจ้องไปทั่วทั้งใบหน้านาง ริมฝีปากสีแดงอวบอิ่ม สันจมูกน้อยที่ดูจิ้มลิ้ม ดวงตากลมโตดั่งผลชิ่ง และพวงแก้มกลม ๆ นั้น เมื่อมองไปดังนั้น ปลายนิ้วของเขาเผลอกระตุกอยู่ภายใต้แขนเสื้อของตน ราวกับว่ากำลังได้สัมผัสใบหน้านั้นเข้าแล้วจริง ๆ
ถึงกระนั้นเขากลับมองเห็นแต่เพียงสิ่งที่เป็นภายนอกของฉู่เหลียน และไม่ได้ใส่ใจในแววตาที่กำลังจ้องมองเขากลับด้วยความระมัดระวัง
ฉู่เหลียนยังคงยืนนิ่งเงียบคล้ายรอให้เซียวป๋อเจี้ยนเป็นผู้เริ่มพูด แท้จริงแล้วนางไม่ได้พยายามทำตัวใจเย็นแต่อย่างใด เพียงแค่ทราบดีว่าถึงอย่างไรก็คงไม่อาจหนีออกไปได้ในยามนี้ ไม่ว่าจะอยากหนีแค่ไหนก็ตาม!
ด้วยความเจ้าแผนการของเซียวป๋อเจี้ยน เดาว่าคงต้องมีแผนสำรองไว้แน่
บางทีในที่สุดเซียวป๋อเจี้ยนอาจจะสังเกตเห็นจนได้ว่าบรรยากาศดูจะอึดอัดไปสักเล็กน้อย เขาก้มหัวลง ตวัดสายตาออกจากร่างฉู่เหลียน แล้วเดินไปยังที่นั่งว่าง ๆ ขององค์หญิงต้วนเจี่ย และนั่งลงโดยไม่ขอ ทั้งยังเห็นว่าฉู่เหลียนยังยืนนิ่งไม่ไหวติง เขาจึงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เหลียนเอ๋อร์ มานี่สิ นั่งลงเถิด”
ไม่ใช่ว่าเดิมทีนางยังคงนั่งอยู่หรือ?! แต่หากเลือกได้ ยามนี้คงรีบจากไปโดยไม่หันกลับมามองแล้ว!
แม้นั่นจะเป็นความคิดที่แท้จริงของนาง ทว่าฉู่เหลียนก็ยอมนั่งลงแต่โดยดี นางลดสายตาลงต่ำ พยายามซ่อนความรู้สึกในแววตา ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เขาคงมิคาดว่าจะได้เห็น และนั่นกลับยิ่งตอกย้ำความแตกต่างที่มีของ ‘ฉู่เหลียน’ คนเดิมไปอย่างสิ้นเชิง
“เหลียนเอ๋อร์ ข้าดีใจเหลือเกินที่เจ้ายินยอมมาในวันนี้ เจ้าคงได้ยินเพลง ’เฟิ่งหวงหาคู่’ ที่ข้าบรรเลงแล้วเป็นแน่ คิดอย่างไรบ้างเล่า? ”
น้ำเสียงของเซียวป๋อเจี้ยนนั้นอ่อนโยนผนวกกับดวงตาอ่อนละมุน ทำให้ผู้ที่ได้พบคงหลงรักได้ไม่ยาก
ทว่าคำพูดของเขากลับทำให้เกิดคลื่นความรู้สึกในใจสตรีที่นั่งอยู่ตรงข้าม
เกิดอะไรขึ้น!
ทะ…ทำไมเซียวป๋อเจี้ยนถึงพูดเหมือนว่าทั้งสองนัดกันมาเจอที่ร้านน้ำชานี้ล่ะ? นางก็ไม่ได้ติดต่อกับเขาเสียหน่อย!
หรือเซียวป๋อเจี้ยนกำลังเกทับนางอยู่ หรือมีบางสิ่งที่นางอาจจะไม่รู้?
นอกจากนั้น บทเพลงกู่ฉินนั่นเป็นเขาเองหรือที่บรรเลงเสียจนนางแทบหลับ?!
พี่ชาย เจ้าเล่นได้ดีมาก แต่ข้าไม่รู้ว่าควรจะชื่นชมเพลงแบบนั้นอย่างไรดีน่ะ!
ฉู่เหลียนอยากจะร้องไห้ ถ้านางรู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น นางคงไม่มีทางตกลงออกมาข้างนอกกับองค์หญิงต้วนเจี่ยแน่
ฉู่เหลียนก้มหน้าต่ำกว่าเดิม น้ำเสียงเบาราวกับยุง “ก็ดีอยู่”
ได้รับการประเมินเช่นนี้ ดวงตาเซียวป๋อเจี้ยนก็สะท้อนความผิดหวังแทบจะในทันที ทว่าก็รีบยกรอยยิ้มอบอุ่นขึ้นอีกครั้งแล้ววางกล่องไม้เล็ก ๆ บนโต๊ะ ก่อนจะค่อย ๆ ดันไปทางฉู่เหลียน แล้วกล่าว “เหลียนเอ๋อร์ วันนี้วันเกิดเจ้า นี่เป็นของขวัญที่ข้าเตรียมไว้ให้ ลองเปิดดูสิว่าเจ้าชอบหรือไม่”
ฉู่เหลียนตวัดตามองกล่องไม้เรียบง่ายบนโต๊ะ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ทำหน้างอ นี่มันอะไรกันเนี่ย? สามีของนางไม่แม้แต่จะพูดถึงวันเกิดของนาง มิหนำซ้ำป่านนี้ก็น่าจะลืมเสียสนิท แต่คนนอกกลับถ่อมาหาเพื่อมอบของขวัญวันเกิดให้…ฉู่เหลียนอยากกลอกตาใส่สวรรค์จริง ๆ ถ้าเป็นไปได้
นางสูดหายใจเข้าลึก พยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้เขาใจเย็นลง “ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจของท่านเจ้าค่ะคุณชายเซียว ทว่าข้าเกรงว่าจะรับไว้มิได้”
เซียวป๋อเจี้ยนหายใจแผ่ว ในดวงตาดั่งมีพายุโหมกระหน่ำ เขาขมวดคิ้ว “เหลียนเอ๋อร์ พี่เซียวตั้งใจตระเตรียมของขวัญชิ้นนี้ให้แก่เจ้าเป็นพิเศษ”
เซียวป๋อเจี้ยนจ้องมองสตรีที่นั่งอยู่เบื้องหน้าอย่างจดจ่อ นางยังคงก้มหน้าไว้ ทำให้เขาไม่สามารถอ่านสีหน้านางได้เลย ชายหนุ่มกำหมัดที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อแน่นเสียจนสัมผัสได้ถึงเล็บที่จิกเข้าอุ้งมือ
“เหลียนเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงดูกลัวนัก? และเหตุใดจึงไม่ยอมมองหน้าข้า? ”
อีกครั้ง ฉู่เหลียนรู้สึกอยากร้องไห้ ใครจะอยากดูไอ้เจ้าคนโรคจิตบ้าบอนี่กัน? หากทำได้ ป่านนี้คงหนีไปแล้ว!
แรงกดดันจากการเผชิญหน้ากับพระเอกในนิยายอย่างเซียวป๋อเจี้ยนนั้นหนักหนาสาหัสเกินไปสำหรับนาง หากให้ปะทะกับสามีบ้า ๆ ผู้นั้นยังง่ายกว่าเยอะ!
“เหลียนเอ๋อร์ วันนี้เจ้ามาที่นี่ มิใช่ว่าใจเจ้ายังมีข้าอยู่หรอกหรือ? ข้ารู้เจ้าถูกบังคับให้อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่อย่าได้กังวลไปเลย สักวัน พี่เซียวของเจ้าจะพาเจ้าออกมาเอง” ท้ายประโยค น้ำเสียงของเซียวป๋อเจี้ยนกลับแฝงด้วยไอสังหาร
สีหน้าอันตรายบนใบหน้าหล่อเหลานั้น ทำให้ผู้อื่นเย็นเยือกไปถึงไขสันหลัง
ฉีเยี่ยนสัมผัสได้เพียงเล็กน้อย ทว่าเพียงแค่นี้นางก็หวาดกลัวเสียจนแทบจะมุดรูหนี แต่ยามนี้กลับไม่กล้าขยับกายแม้แต่น้อย
ฉู่เหลียนอยากจะเอาหัวโขกเต้าหู้ให้สลบไปเสียเลย ในใจืั้งโมโหและดหู่ ถ้ารู้ว่าไอ้งั่งนี่จะมาร้านน้ำชาเต๋อเฟิง นางย่อมไม่มีทางมา เฆี่ยนให้ตายก็ไม่มา!
พี่ชาย อย่าทำตัวแบบนี้สิ ทำตัวให้เหมือนดั่งคนปกติทั่วไปไม่ได้หรืออย่างไร? ข้าแต่งงานแล้ว ถึงสามีจะประสาท ๆ ไปบ้าง เอาแต่ใจไปหน่อย แต่ข้าก็ไม่คิดจะนอกใจสักนิด! เจ้าน่ะเป็นอะไร ลักลอบเข้ามาที่นี่เงียบ ๆ แบบนี้ ทำไมถึงพยายามอยากให้ข้าคบชู้นักเล่า?
ฉู่เหลียนเม้มปาก ตัดสินใจไม่กล่าวอะไร นางสังหรณ์ว่าหากเซียวป๋อเจี้ยนรู้ว่านางไม่ใช่ ‘ฉู่เหลียน’ ตัวจริง เขาคงยิ่งบ้าคลั่งกว่าเดิมเป็นแน่ ชีวิตนางย่อมต้องตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง ดังนั้นทำตัวเงียบ ๆ ไว้น่าจะดีกว่า…
‘ฉู่เหลียน’ คนเดิมไปก่อเรื่องอะไรทิ้งไว้ให้นางต้องมาเก็บกวาดบ้างเนี่ย?
เซียวป๋อเจี้ยนกดข่มความรู้สึกในใจลง และแสร้งแสดงสีหน้าสุภาพอ่อนโยน เมื่อเห็นท่าว่าฉู่เหลียนคงไม่ยินยอมยื่นมือมารับของขวัญด้วยตัวเองเป็นแน่ เขาจึงดึงมันกลับมาไว้ที่ตัว เปิดมันออก แล้ววางลงตรงหน้านางอีกครั้ง
เขาเอื้อนเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนเพื่อโน้มน้าว “เหลียนเอ๋อร์ ดูสิ นี่เป็นปิ่นทองสลักหยกที่เจ้าเคยหมายตาไว้นานมาแล้ว ชอบหรือไม่เล่า? ”
ฉู่เหลียนตวัดตามองมัน ปิ่นนั้นสลักลวดลายดอกไม้ประณีตงดงาม ทั้งเกสรและกลีบดอกไม้ถูกประดับแต่งด้วยหยกชั้นดี ตรงหัวปิ่นยังมีไพลินเล็ก ๆ ห้าเม็ดส่องสะท้อนแสงไฟ กลายเป็นช่อดอกไม้ใหญ่ เครื่องประดับนี้ย่อมมีมูลค่าสูง ทั้งยังงดงามจับตา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ‘ฉู่เหลียน’ ถึงอยากได้มันนัก
สีหน้าเซียวป๋อเจี้ยนอ่อนโยนลง อาจเพราะสัมผัสได้ว่าฉู่เหลียนยังลอบชื่นชมของขวัญที่ตนมอบให้
ในเมื่อเหลียนเอ๋อร์ไม่อยากเอ่ยปาก เช่นนั้นเป็นเขาที่ต้องปัดเป่าความเงียบงันนั้นให้ออกไป ซ้ำยังพยายามให้เหลียนเอ๋อร์เข้าใจความจริงใจอันลึกซึ้งนี้ เฮ่อฉางตี้อะไรนั่นย่อมไม่ดีพอสำหรับนาง!
“เหลียนเอ๋อร์ เป็นพี่เซียวที่ผิดเอง ข้าควรซื้อปิ่นนี้ให้เจ้าเร็วกว่านี้ แต่กลับปล่อยให้เจ้าต้องรอคอยมานานถึงเพียงนี้ ให้พี่เซียวปักปิ่นให้เจ้าดีหรือไม่? ”
ฉู่เหลียน: …
นางปั้นหน้าใจเย็นจนถึงขีดจำกัดแล้วนะ! อีตานี่กำลังพยายามจะทำอะไรอีกเนี่ย?!
สิ่งที่ทั้งคู่ไม่ทราบ คือบทสนทนาของทั้งสอง จิ่นอ๋องล้วนได้ยินไม่ขาดตกบกพร่องจากห้องส่วนตัวที่อยู่ติดกัน ส่งให้ความรู้สึกนานาประการเริ่มก่อตัวขึ้นในดวงตาสีฟ้าทะเลสาบของจิ่นอ๋อง
เซียวป๋อเจี้ยนหรือ?
เขาไม่คาดเลยว่าคุณหนูฉู่ผู้นั้นจะหาญกล้าเพียงนี้ จิ่นอ๋องลอบรู้สึกยินดีนักที่วันนี้เลือกตามมาถึงที่นี่ เขายังเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเฮ่อซานหลางจึงขอให้เขาจับตามองภรรยาให้
ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกาย มุมปากยกขึ้น เรื่องทั้งหมดคงสนุกกว่าเดิมแล้วคราวนี้
ฉู่เหลียนรีบปฏิเสธทันที เพื่อไม่ให้เซียวป๋อเจี้ยนโมโห นางเอ่ยเสียงเบา “ไม่จำเป็นเจ้าค่ะ ข้าจะนำมันกลับไป”
เมื่อกล่าวดังนั้นแล้ว นางก็หยิบกล่องไม้เรียบ ๆ บนโต๊ะแล้วรีบส่งให้ฉีเยี่ยนที่อยู่ด้านหลัง
เห็นฉู่เหลียนยอมรับของขวัญ ในที่สุดเซียวป๋อเจี้ยนก็ดูผ่อนคลายลง
“เหลียนเอ๋อร์รอพี่เซียวอีกนิดได้หรือไม่? อีกไม่นานนักหรอก เชื่อพี่เถิด”
เซียวป๋อเจี้ยนมองมือเล็ก ๆ นุ่มนวลของฉู่เหลียนที่วางอยู่บนตัก สะกดกลั้นตนเองไว้ไม่ให้คว้ามันขึ้นมาด้วยมือใหญ่ของตน ยิ่งคิดเท่าไรก็ยิ่งอารมณ์พลุ่งพล่านเท่านั้น เขาใช้ปลายนิ้วคลึงฝ่ามือตัวเองโดยไม่รู้ตัว
ฉู่เหลียนพยายามอดกลั้นตัวเองไม่ให้จ้องกลับด้วยความพยายามทั้งหมดที่มี ไอ้เจ้าบ้าเซียวป๋อเจี้ยนนี่จะหยุดโยนความรู้สึกข้างเดียวนั่นมาใส่นางได้หรือยัง? เขาคิดถึงความรู้สึกที่แท้จริงของนางบ้างหรือไม่? ช่างน่าชังนัก และยังน่ารำคาญยิ่งกว่าเฮ่อฉางตี้เสียอีก!
ขณะเซียวป๋อเจี้ยนจะเอ่ยต่อ พลันเกิดเสียง ‘ปัง’ ดังสนั่นขึ้นจากห้องข้าง ๆ ฉู่เหลียนสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ จากนั้นก็เกิดเป็นเสียงเหล็กกล้าตีกระทบกัน
สีหน้าฉู่เหลียนพลันเคร่งเครียดขณะมองไปยังกำแพงที่กั้นระหว่างห้องนี้กับห้องถัดไป
เซียวป๋อเจี้ยนลุกขึ้นจากเก้าอี้ ตกตะลึงเพราะเสียงนั้นเช่นกัน
ในเวลาเดียวกัน ชายในชุดเทาก็โผล่ออกมาจากเงา เดินเข้าประชิดเซียวป๋อเจี้ยน และกระซิบที่ข้างหูคล้ายกำลังรายงานบางสิ่ง
หัวคิ้วของเซียวป๋อเจี้ยนยิ่งขมวดแน่น เขาเอื้อมมือจะไปจับฉู่เหลียนที่อยู่ไม่ห่างกัน ทว่าชายชุดเทากลับดึงตัวเขาไว้ก่อน
ชายผู้นั้นเอ่ย “นายท่าน ไม่มีเวลาแล้ว เราต้องรีบไปเดี๋ยวนี้ หากมีคนพบพวกเราเข้า เหตุการณ์จะยิ่งยุ่งยากนะขอรับ”
“แต่เหลียนเอ๋อร์…”
“คุณหนูฉู่ไม่ใช่เป้าหมายของพวกมันย่อมไม่เป็นไร! ไปกับบ่าวเร็วเถอะ! หากท่านไม่ไปตอนนี้ การเตรียมการหลายปีที่ผ่านมาย่อมสูญเปล่าเป็นแน่! ”