ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 60 เปลี่ยนแปลงฉับพลัน (1)
ท้ายที่สุดชายชุดเทาผู้นั้นก็หว่านล้อมเขาสำเร็จ เซียวป๋อเจี้ยนเม้มปากแน่น และเดินตามชายลึกลับไปด้วยความจำใจ
เมื่อเดินผ่านฉากกั้น เขาอดมิได้ให้หันกลับไปมองฉู่เหลียนที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ข้างโต๊ะ เวลาเดียวกันนั้น ฉู่เหลียนเงยหน้าขึ้นมองเขา เป็นจังหวะให้ดวงตาทั้งคู่สบประสาน
ในใจเขารวดร้าวและพยายามจะจดจำใบหน้าของฉู่เหลียนในวันนี้ไว้มิมีวันลืม
ดวงตากลมโตของฉู่เหลียนเบิกกว้าง เผยให้เห็นร่องรอยความสับสนปรากฏอยู่เบื้องลึก ดวงตาที่สดใสและเจิดจ้าดุจแสงตะวันที่สาดส่องผ่านกระจกนั้นปนเปไปด้วยความเกลียดชังหยามเหยียดเล็กน้อย ถูกต้องแล้ว นั่นคือความเกลียดชัง! ความเกลียดชังหยามเหยียดต่อเซียวป๋อเจี้ยน!
เซียวป๋อเจี้ยนรู้สึกราวกับถูกมีดปักอก หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน
นัยน์ตาใสคู่นั้นดูเย็นชาเสียจริง ทำให้หัวใจที่เคยแข็งแกร่งของบุรุษผู้แข็งกร้าวเต้นรัวเร็ว และดูเหมือนจะกลายเป็นแค่แก้วประดิษฐ์ที่บอบบางพร้อมแหลกสลายเพียงสัมผัส เขาไม่ควรสบสายตาคู่นั้นของฉู่เหลียนเลย
ทว่ายังมีผู้คนคอยไล่ล่าอยู่ เขากัดฟันแน่น ขยับปากเอ่ยกับนางโดยไร้เสียง ก่อนที่จะรีบจากไปโดยไม่หันกลับมา
‘เหลียนเอ๋อร์ ครานี้ข้าทำเจ้าผิดหวัง รอข้าเถิด ข้าจะชดใช้แก่เจ้า จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดในโลกนี้แก่เจ้า!’
เซียวป๋อเจี้ยนหายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับยามปรากฏกาย หลังจากนั้นความคิดมากมายก็ผุดขึ้นในใจฉู่เหลียน
ความเกลียดชังเหยียดหยามในดวงตานางมิใช่ของปลอม นางดูถูกเขาจริง ๆ
นางสันนิษฐานว่าการปรากฏกายของชายในชุดเทานั้นอาจเกี่ยวข้องกับเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นในร้านน้ำชาเต๋อเฟิงแห่งนี้เป็นแน่!
ทว่าในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ เซียวป๋อเจี้ยนกลับตามคนรับใช้และจากไปเพียงลำพัง ทิ้งให้ฉู่เหลียน ‘ที่รัก’ ของเขาต้องอยู่กับอันตรายที่ยังมองไม่เห็น เหอะ! คนที่สนใจแต่ตัวเองยามประสบอันตรายไม่คู่ควรกับถ้อยคำโรแมนติกอะไรทั้งนั้น! ฉู่เหลียนเกิดสงสารนางเอกคนเก่าขึ้นมาเสียแล้วที่ดันไปหลงรักและเชื่อฟังผู้ชายแบบนั้น นางเอกต้นฉบับต้องโดนหักหลังเข้าสักวันแหง ๆ
หลังจากเกิดเหตุการณ์ความบังเอิญเมื่อครู่ ฉู่เหลียนยิ่งรู้สึกขยะแขยงเซียวป๋อเจี้ยน นางตัดสินใจว่าคราวหน้าต้องระมัดระวังตัวให้ดีเสียยิ่งกว่านี้ เพื่อจะได้ไม่ต้องพบปะชายอันตรายผู้นี้อีกในอนาคต
แต่ว่า เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้คือต้องออกไปจากที่นี่ก่อน!
ฉู่เหลียนไม่อยากเป็นคนที่ได้แต่ปล่อยตัวไปตามชะตากรรม
โชคดีที่วิญญาณในร่างนางเอกตอนนี้เป็นฉู่เหลียน ไม่อย่างนั้นนางจะพิจารณาเรื่องทั้งหลายนี้อย่างใจเย็นได้หรือ? ขอแค่ไม่โง่งมตามชายคนนั้นก็ดีแค่ไหนแล้ว
เซียวป๋อเจี้ยนไม่ทราบเลยว่าการหลบหนีไปเพียงลำพังอย่างหน้าไม่อายนั้นทำให้ตัวเองโดนตราหน้าว่าเป็นพวกต่ำช้า เห็นแก่ตัวไปเสียแล้ว และมันจะเป็นสิ่งที่ติดตัวเขาไปตลอดทั้งชีวิตที่เหลืออยู่!
ฉู่เหลียนดึงตัวฉีเยี่ยนที่สติหลุดล่องลอยไปไกลแล้ว “ฉีเยี่ยน ยืนเหม่อลอยอยู่ทำไม? เราต้องไปกันแล้ว! ไม่ได้ยินชายชุดเทานั่นพูดหรือ!”
อย่างไรฉีเยี่ยนก็เป็นเพียงสาวใช้ ไม่ว่าจะซื่อสัตย์เท่าใด ทว่ายามเกิดเรื่องทั้งหมดนี้ วิญญาณนางก็หลุดลอยไปตั้งแต่เห็นการปรากฏตัวของเซียวป๋อเจี้ยนแล้ว เมื่อฉู่เหลียนดึงสตินางกลับมาได้ นางก็สับสนวุ่นวายยิ่ง ก่อนจะมองหน้านายของตนและพยักหน้าอย่างแรง
ฉู่เหลียนตบหลังมือนางเบา ๆ และเดินนำไปยังทางออก เสียงต่อสู้ฟาดฟันจากห้องข้าง ๆ ดังยิ่งกว่าเดิม ตามด้วยเสียงถ้วยชาม เครื่องกระเบื้องแตกกระจายกระทบพื้น
ฉู่เหลียนเร่งรีบเสียจนเครื่องรางหยกที่คล้องเอวอยู่เกี่ยวเข้ากับฉากบังตาและร่วงลงพื้นโดยไม่รู้ตัว
เมื่อนางมาถึงประตู ก็เห็นเวิ่นหลานนอนพิงกำแพงหมดสติอยู่ สีหน้าฉู่เหลียนยิ่งหดหู่ ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเวิ่นหลานไม่เตือนนางเรื่องเซียวป๋อเจี้ยน เพราะนางถูกจัดการเสียแต่แรกแล้วนี่เอง
เมื่อฉีเยี่ยนเห็นเวิ่นหลานสลบอยู่ นางก็แทบจะหวีดร้องด้วยความหวาดกลัว ทว่าเห็นสายตาดุเตือนของฉู่เหลียนที่จ้องมา นางจึงรีบปิดปากตัวเองเสียสนิท
ฉู่เหลียนและฉีเยี่ยนล้วนเป็นสตรีที่ยังเยาว์วัยนัก เรี่ยวแรงจึงมีจำกัด ไม่มีทางจะแบกเวิ่นหลานที่หมดสติไปด้วยได้แม้แต่น้อย
ฉีเยี่ยนพยายามสุดความสามารถเพื่อข่มกดความวิตกกังวลที่ก่อตัวขึ้น ทว่ากลับไม่อาจห้ามน้ำเสียงสั่นสะท้านยามเอ่ยถาม “นาย…นายหญิงสามเจ้าคะ เราจะทำอย่างไรกันดี?”
ฉู่เหลียนมองเวิ่นหลานที่ยังสลบไสล จากนั้นก็มองฉีเยี่ยนที่กลัวเสียจนแทบสติหลุด มือนางกำหมัดแน่นอยู่ภายใต้แขนเสื้อ และพยายามบังคับตนให้ใจเย็นและมีสติ
นางไม่ได้ตอบฉีเยี่ยนในทันที ดวงตากระจ่างใสกวาดสำรวจรอบบริเวณห้องก่อนจะเห็นชั้นวางอ่างน้ำที่อยู่ใกล้ ๆ นางรีบเดินไปอุ้มอ่างน้ำทองเหลือง จากนั้นจึงสาดน้ำเย็นเฉียบในอ่างใส่หน้าเวิ่นหลาน
ฉู่เหลียนไม่รู้ว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือไม่ แต่หากพวกนางยังปลุกเวิ่นหลานไม่ได้ นางกับฉีเยี่ยนก็จำต้องรีบหนีไปเสียก่อน
ดูเหมือนว่าสัมผัสเวิ่นหลานจะดีกว่าคนทั่วไป ทันทีที่น้ำเย็นสัมผัสหน้า นางก็ตื่นทันที เปลือกตาน้อยขยับไหวคล้ายต้องพยายามลืมตาอย่างยากลำบาก สิ่งแรกที่เห็นหลังได้สติคือฉู่เหลียนที่มีสีหน้าเคร่งเครียดกำลังนั่งยองอยู่ตรงหน้า หลังจากนั้นไม่นานนางก็นึกได้ว่าตนถูกลอบโจมตีจนสิ้นสติไป
ตาดำเวิ่นหลานหดเข้าทันใด รีบเอ่ยถามด้วยความกังวล “นายหญิงสาม เกิดอะไรขึ้นกับท่านหรือไม่ มีคนลอบทำร้ายบ่าวเจ้าค่ะ!”
ฉู่เหลียนถอนใจอย่างโล่งอก รีบช่วยดึงเวิ่นหลานขึ้นโดยมีฉีเยี่ยนช่วยอีกแรง “ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว เราต้องไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!”
เสียงต่อสู้จากห้องข้าง ๆ ยังคงดังอยู่ไม่ลดละขณะที่พวกนางคุยกัน และดูเหมือนจะรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก ฉู่เหลียนไม่แน่ใจว่าการต่อสู้จะลุกลามมาถึงห้องนี้หรือไม่ การรีบหนีไปในยามนี้ย่อมดีที่สุดแล้ว
จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาของเวิ่นหลานทำให้นางสามารถรับมือกับสถานการณ์เบื้องหน้านี้ได้อย่างรวดเร็วทันทีที่ได้สติ นางมองสถานการณ์รอบข้างและเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “นายหญิงสาม บ่าวจะนำออกไปก่อน ท่านตามหลังบ่าวมาพร้อมกับฉีเยี่ยนนะเจ้าคะ”
ฉู่เหลียนพยักหน้ารับ เมื่อเวิ่นหลานพูดจบ นางก็เช็ดน้ำบนใบหน้าแบบลวก ๆ ดึงแส้ที่ซ่อนอยู่ในเข็มขัดออกมาไว้ในมือ ก่อนจะแนบตัวกับประตูห้องและเงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อคิดว่าข้างนอกน่าจะปลอดคนแล้ว จึงรีบส่งสัญญาณให้ฉู่เหลียนและฉีเยี่ยนทันที
เวิ่นหลานเปิดประตูอย่างระมัดระวังนำทางพวกนางออกไปช้า ๆ ยามนี้ก็บ่ายกว่าแล้ว แต่กลับมีคนจองห้องส่วนตัวในร้านเต๋อเฟิงไม่มาก พวกนางไม่เห็นคนอื่น ๆ เลยขณะเดินออกจากห้อง
“นายหญิงสาม รีบไปเร็วเถิดเจ้าค่ะ รถม้าจวนจิ่งอันจอดอยู่ด้านหลังตึกนี้!” เวิ่นหลานกระซิบเตือน
ฉู่เหลียนพยักหน้า ในใจเต้นรัวแรง
นางและฉีเยี่ยนกำลังจะจากไป ทว่าประตูเบื้องหลังก็กระแทกเปิดออกดังปังพร้อมนักฆ่าในชุดดำที่ถูกถีบกระเด็นออกมา จากนั้นชายในชุดดำอีกหลายคนก็ปรากฏกายขึ้นในทันใด เสียงดาบกระทบกันราวกับหนังกำลังภายในที่เคยเห็นผ่านตาในโทรทัศน์ แต่นี่เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา นักฆ่าที่พังประตูผู้นั้นอยู่ห่างจากฉู่เหลียนเพียงสองสามเมตรเท่านั้น
หัวใจนางกระหน่ำเต้นแรงกว่าเดิม บุคคลที่ต่อสู้กันอยู่และกำลังเดินตามออกมาพร้อมใจกันหันมาทางฉู่เหลียน แผ่นหลังของเด็กสาวยามนี้เต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ และคล้ายว่าเวลาของโลกนี้กำลังหยุดนิ่ง
อึดใจต่อมา ชายสวมหน้ากากเทาสองคน และชายในชุดหรูหราอีกสองคนก็ตามออกมาจากห้อง หนึ่งในนั้นสวมมงกุฎหยกบนศีรษะ เขายืนอยู่ท่ามกลางรั้วป้องกันมนุษย์ทั้งสามนาย
และด้วยความบังเอิญอีกเช่นเคย ดวงตาของชายผู้นั้นสอดประสานเข้ากับฉู่เหลียน
ดวงตานั่นสีฟ้าราวกับท้องฟ้า! สายตาคมกริบดุจพญานก!
ทั่วร่างฉู่เหลียนสั่นสะท้าน
รายละเอียดของตัวละครมากมายพุ่งขึ้นในใจประหนึ่งสายน้ำหลาก นั่นคือเขาสินะ!
ฉู่เหลียนกระทืบเท้าด้วยความโมโห ทำไมถึงโชคร้ายอย่างนี้! นางบังเอิญพบเข้ากับตัวละครสำคัญเสียแล้ว ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมตนถึงมาโผล่กลางวงลอบสังหารเช่นนี้ได้
ยิ่งฉู่เหลียนเกลียดและหงุดหงิดต่อเหตุการณ์นี้เท่าไร ใจนางยิ่งกระจ่างขึ้นเท่านั้น ทั้งยังสั่งการให้สาวใช้ทั้งสองรีบหนีไปทันที
นางหันกายหนีไป ทว่ายังสังเกตเห็นจากหางตาว่าชายดวงตาสีฟ้าผู้นั้นจ้องมองนางก่อนจะหันไปสู้กับชายชุดดำต่อ นอกจากนั้นยังมีมือสังหารอีกเจ็ดแปดนายพุ่งตัวออกมาจากห้อง แต่ละคนล้วนมีวรยุทธ์สูงส่ง
ฉู่เหลียนกลัวจริง ๆ นางไม่คิดว่าจะมาโผล่กลางวงลอบสังหารเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงจำนวนมือสังหารว่ามีมากมายเพียงใด แต่องครักษ์รอบกายชายตาฟ้าผู้นั้นมีกันเพียงแค่สามคน!
ฉู่เหลียนหลับตาปี๋ แม้จะอยากช่วยเท่าไร แต่ตัวนางย่อมรู้ขีดจำกัดของตนเองดี ถึงจะพยายามเข้าไปช่วยก็รังแต่จะเป็นตัวถ่วง ไม่มีทางช่วยเหลือเขาได้แน่
ฉู่เหลียนวิ่งด้วยความเร็วยิ่งกว่าเดิม โชคดีที่มือสังหารเหล่านั้นสนใจแต่เป้าหมายของตน แม้เห็นนางวิ่งหนีไปก็ไม่ได้ส่งคนมาไล่ตาม นางจึงผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก
เมื่อฉู่เหลียนคิดว่าทั้งสามคนรอดพ้นจากอันตรายแล้ว ทันใดนั้นเองเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังมาจากทางบันไดสู่ชั้นสอง เมื่อนางเงยหน้าขึ้น ก็ว่าพบเป็นองค์หญิงต้วนเจี่ย