ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 61 เปลี่ยนแปลงฉับพลัน (2)
องค์หญิงต้วนเจี่ยที่เพิ่งกลับจากห้องน้ำกะทันหัน ไม่ได้รับรู้ถึงการต่อสู้อันหนักหน่วงที่เกิดขึ้นเมื่อครู่แต่อย่างใด นางมองหน้าแล้วยิ้มแหย ๆ “ฉู่เหลียน ทำไมถึงออกมาจากห้องเสียเล่า?”
ทันใดนั้น ฉู่เหลียนรู้ได้ทันทีว่าเหตุการณ์ต้องยิ่งย่ำแย่เมื่อองค์หญิงน้อยปรากฏตัวขึ้น ณ ที่แห่งนี้ในเวลาที่ไม่เหมาะสม นางตื่นตกใจอีกครั้ง ดังคาด เมื่อนักฆ่าที่รายล้อมชายตาฟ้าเห็นองค์หญิงต้วนเจี่ยเข้า หนึ่งในนั้นก็ส่งสัญญาณให้ชายอีกสองคน และทั้งสองก็ปรี่พุ่งมาทางสองสาวพร้อมเงื้อดาบในมือ
เพียงแวบเดียว องค์หญิงต้วนเจี่ยก็เห็นเรื่องแปลกที่กำลังเกิดขึ้นไม่ไกล นัยน์ตาของนางหดตัวด้วยความหวาดกลัว และตะโกนเสียงดัง “พี่สี่!”
หลังจากที่นางตะโกน ชายผู้ติดอยู่ท่ามกลางกลุ่มนักฆ่าก็ถูกฟันเข้าที่แขน ใจองค์หญิงต้วนเจี่ยกระตุกวูบ และรีบสั่งให้ผู้ติดตามของนางสองคนเบื้องหลังเร่งเข้าไปช่วยเหลือ
ฉู่เหลียนเริ่มปวดหัวอีกแล้ว นางก้าวยาว ๆ ไปหาองค์หญิงต้วนเจี่ย พยายามดึงตัวอีกฝ่ายให้วิ่งตามลงบันไดมา เมื่อรู้ตัวว่าองค์หญิงไม่ยอมขยับแน่ สีหน้านางพลันเคร่งเครียด ตวาดเสียงแหลมด้วยความโมโหสุดขีด “องค์หญิง! ต่อให้อยู่ที่นี่ท่านก็ช่วยองค์ชายสี่ไม่ได้ กลับยิ่งจะเป็นตัวถ่วง หากท่านไม่หนีตอนนี้ องค์ชายสี่ย่อมสิ้นหวังแน่!”
ได้ยินเสียงตะโกนของฉู่เหลียน องค์หญิงต้วนเจี่ยจึงหันกลับมาจ้องนางอยู่ชั่วครู่ก่อนจะรู้สึกตัว และกลับเป็นฝ่ายดึงแขนฉู่เหลียนวิ่งหนีแทน
ฉู่เหลียนตกใจตัวแข็งทื่อ ก่อนจะผ่อนลมหายใจอย่างคลายกังวล ในขณะนี้บ่าวรับใช้ที่ติดตามองค์หญิงต้วนเจี่ยต่างเข้าให้การช่วยเหลือจิ่นอ๋องตามคำสั่งมอบหมาย รอบกายองค์หญิงจึงไม่เหลือบ่าวไพร่แม้แต่คนเดียว
เวิ่นหลานเป็นเพียงคนเดียวที่มีวรยุทธ์ และปัญหาที่ตามมาในตอนนี้คือชายในชุดดำที่ยังวิ่งไล่ตามมาติด ๆ
อย่างไรฉู่เหลียนและองค์หญิงต้วนเจี่ยก็เป็นเพียงเด็กสาววัยแรกรุ่น วิ่งได้ไม่นานแข้งขาก็อ่อนแรง เมื่อลงมาถึงชั้นหนึ่ง พวกนางก็รีบวิ่งไปหลังตึก ฉู่เหลียนกวาดตามองพื้นที่ไม่คุ้นเคย และตัดสินใจในทันที
หญิงสาวดึงตัวองค์หญิงต้วนเจี่ยเข้าไปที่มุมหนึ่ง แล้วหันไปสั่งเวิ่นหลานกับฉีเยี่ยน “เวิ่นหลาน เจ้าวิ่งเร็วที่สุด ไป ไปขอความช่วยเหลือมา! ฉีเยี่ยน หาที่หลบ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามออกมา เข้าใจไหม?”
น้ำเสียงที่เคยสุภาพอ่อนโยนเป็นนิจของนายหญิงสามยามนี้เปี่ยมด้วยความหนักแน่นไม่สั่นคลอน แม้รูปลักษณ์จะยังเป็นเพียงเด็กสาวไร้เดียงสาเหมือนเดิม ทว่าน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยอำนาจที่มองไม่เห็น
เวิ่นหลานคิดจะคัดค้าน ทว่าเมื่อสบเข้ากับดวงตาแน่วแน่คู่นั้น นางก็พูดไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ
องค์หญิงต้วนเจี่ยลอบมองฉู่เหลียนจากด้านข้าง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความชื่นชมและเชื่อมั่นในหญิงสาวเบื้องหน้าตน
เวิ่นหลานเม้มปากแน่น มิกล้าจะละทิ้งนายทั้งสองไว้ได้ ทว่าจำต้องรีบหันกายจากไป เมื่อไม่มีฉู่เหลียนและคนอื่น ๆ ถ่วงไว้ ความเร็วของสองเท้าก็เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว เพียงชั่วพริบตานางก็หายลับไปจากมุมสายตา
ฉู่เหลียนหันมาจ้องฉีเยี่ยนแล้วผละสายตาออกทันที นางดึงตัวองค์หญิงไปยังทางเดินแคบ ๆ และได้แต่ยิ้มข่มอยู่ในใจ ที่จริงการเอาตัวรอดน่ะง่ายมาก ก็แค่ทิ้งองค์หญิงต้วนเจี่ยไปก็จบแล้ว เพราะเป้าหมายของนักฆ่าพวกนั้นคือกลุ่มคนในราชวงศ์เท่านั้น ถึงนางจะรู้อยู่แก่ใจ แต่กลับไม่อาจละทิ้งได้
แม้ว่ามิตรภาพระหว่างนางและองค์หญิงต้วนเจี่ยเพิ่งจะผลิบาน หากนางละทิ้งองค์หญิงไว้ที่นี่จริง ไม่ว่าผลลัพธ์ในวันนี้จะออกมาเป็นเช่นไร นางก็อาจต้องโทษทัณฑ์อะไรสักอย่างเป็นแน่ ความเกรี้ยวกราดของฮ่องเต้และเว่ยอ๋องไม่ใช่สิ่งที่จะรับมือได้ง่าย ๆ นอกจากนั้นนางและองค์หญิงยังอุตส่าห์โชคดีได้พบปะผูกสัมพันธ์กัน ไม่ว่าจะเพราะโชคชะตากำหนดมาหรือไม่ แต่ด้วยนิสัยและบุคลิกที่เข้ากันได้ดีถึงเพียงนี้ ย่อมต้องมีความหมายอะไรสักอย่างแน่นอน ดังนั้นการทิ้งองค์หญิงไว้จึงเป็นทางเลือกที่นางย่อมไม่ทำ
ฉู่เหลียนนึกโมโหตัวเองอยู่ลึก ๆ สีหน้านางแปรเป็นเย็นชา
ยิ่งพยายามวิ่งเร็วมากเท่าไร เสียงฝีเท้าที่เบื้องหลังก็ดังขึ้นทุกที ราวกับเป็นเสียงนาฬิกาที่กำลังนับถอยหลังสู่ความตาย ใจฉู่เหลียนเต้นเร็วแรง กวาดตามองไว ๆ ที่สองข้างทาง ไม่มีแม้แต่ทางเข้า หรือช่องทางหนีใดให้หนีอีกแล้วจึงเปลี่ยนเป็นหาบางสิ่งที่อาจจะพอช่วยให้มีชีวิตรอดไปได้
และทันใดนั้นเอง สายตาของนางก็หยุดลงที่พื้นที่หนึ่งข้าง ๆ เรือน
นางรีบดึงองค์หญิงต้วนเจี่ยไปด้านข้างของบ่อน้ำในเรือน จากนั้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำ “องค์หญิง รีบถอดเสื้อนอกออกมาเพคะ!”
ดวงตาองค์หญิงต้วนเจี่ยเบิกกว้างกะทันหัน นางมองเข้าไปในตาฉู่เหลียน และเข้าใจได้ทันทีว่าฉู่เหลียนคิดจะทำอะไร “ฉู่เหลียน! ไม่ได้นะ!”
ยามนี้ฉู่เหลียนจะปล่อยให้องค์หญิงคัดค้านตัวเองหรือ? นางเป็นฝ่ายจัดการปลดเสื้อองค์หญิงด้วยตนเอง “องค์หญิงเชื่อหม่อมฉัน รีบเข้า เราไม่มีเวลาแล้ว หากพวกนั้นจับเราได้ทุกอย่างก็จบ!”
องค์หญิงต้วนเจี่ยน้ำตาคลอ นางกัดปากตนเองแน่น ก่อนจะถอดเสื้อคลุมออก
ฉู่เหลียนโยนเสื้อนอกของตนให้องค์หญิง และรีบสวมเสื้อขององค์หญิงแทน เมื่อได้ยินเสียงผู้ล่าคุยกัน ร่างของนางก็แข็งทื่อ แต่ไม่ทันรอให้องค์หญิงสวมเสื้อให้เรียบร้อย นางรีบผลักร่างองค์หญิงลงบ่อน้ำทันที
เกิดเสียงตูม! ดังลั่น องค์หญิงสะกดกลั้นเสียงร้องของตนเองหุบปากสนิท น้ำที่ล้อมรอบกายนั้นเย็นเฉียบยิ่ง เพียงชั่วขณะเดียวฉู่เหลียนก็โยนบางสิ่งลงไปในบ่อเพื่อให้องค์หญิงรีบตะกายเกาะ
ฉู่เหลียนยืนอยู่ข้างบ่อน้ำ รู้สึกโศกเศร้าอยู่ในใจลึก ๆ องค์หญิงต้วนเจี่ยยังได้ยินเสียงนางร้องเตือน “องค์หญิงเกาะขอนไม้เอาไว้! ซ่อนตัวในน้ำ!”
อึดใจต่อมา ปากบ่อก็ถูกปกคลุมด้วยบางสิ่ง โลกของนางกลับเงียบงันจนน่าขนลุก
องค์หญิงต้วนเจี่ยทำอย่างที่ฉู่เหลียนบอก นางกอดขอนไม้กลม ๆ แน่นขณะลอยไปมาเหนือน้ำ ดวงตายามนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำเย็นเยียบจากบ่อ และกลับเหมือนคลุกเคล้าด้วยน้ำอุ่น ๆ ที่ไหลออกตา
นางตบผิวน้ำอย่างแรง ในใจกรีดร้อง ‘ฉู่เหลียน! หากเจ้าไม่โยนขอนไม้ลงมา ข้าคงคิดว่าเจ้าพยายามสังหารข้าเสียแล้ว! เจ้าคนโง่งม! รู้วิธีช่วยชีวิตคนแบบปกติบ้างหรือไม่? โชคดีแค่ไหนแล้วที่องค์หญิงผู้นี้ทั้งกล้าหาญ ทั้งว่ายน้ำเป็น? หากข้าเป็นเพียงสตรีที่อ่อนแอผู้หนึ่ง ป่านนี้คงกลัวเจ้าจนตายเสียก่อนที่จะถูกมือสังหารเหล่านั้นจัดการเสียอีก!’
องค์หญิงต้วนเจี่ยขยี้หางตา และยังคงอาละวาดในใจอย่างไม่จบไม่สิ้น ‘ฉู่เหลียน เจ้าคนโง่งม! หลังจากนี้เจ้าต้องรอดชีวิตให้ได้นะ! เจ้ายังติดค้างเป็ดย่างกับข้าอยู่! ทั้งเจ้ายังสัญญาว่าคราวหน้าเราจะทำเป็ดย่างด้วยกัน! จะผิดสัญญากับข้าไม่ได้เด็ดขาด! ไม่เช่นนั้นองค์หญิงผู้นี้จะอาละวาดจวนจิ่งอันให้พังครืนลงมาทีเดียว โดยเฉพาะสามีหยิ่งจองหองของเจ้าผู้นั้น!’
จู่ ๆ องค์หญิงต้วนเจี่ยก็คิดถึงงเฮ่อฉางตี้ขึ้นมา เมื่อเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้น ฉู่เหลียนก็กลายเป็นสหายรักของนางไปในทันที เพราะสตรีผู้นี้นับว่าเป็นคนดี ทว่าเฮ่อซานหลางนั่นกลับกล้าละทิ้งนางไป เขาย่อมต้องเป็นเดรัจฉานที่กล้าละทิ้งภรรยาที่แสนดีผู้นี้!
ฉู่เหลียนยังคงยืนนิ่งอยู่ในเรือนเล็ก ไม่มีเวลามากพอให้คิดอะไรทั้งนั้น ใจนางเต้นกระหน่ำเร็วแรงในอก ใครบ้างเล่าจะไม่กลัว ทว่านางแทบหมดหนทางเลือกแล้ว ฉู่เหลียนรีบสวมเสื้อคลุมขององค์หญิงต้วนเจี่ยแล้ววิ่งไปยังห้องเก็บฟืนที่อยู่ใกล้ ๆ ซ่อนตัวอยู่ใต้กองหญ้าแห้ง และไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย ขณะที่ภาพในใจก็กำลังพยายามร่างแผนที่เรือนนี้ขึ้นและคำนวณหาเส้นทางที่นางคาดว่าจะใช้หลบหนีได้
เด็กสาวกดหน้าอกตนเองด้วยมือขวา สัมผัสได้ถึงใจที่เต้นระรัว ภาวนาขอให้เวิ่นหลานรีบกลับมาพร้อมกำลังเสริม
ฉู่เหลียนแอบมองผ่านช่องว่างในกองหญ้าเห็นเป็นผู้ล่าชายฉกรรจ์สองนายเดินเข้ามาในเรือนอย่างระมัดระวัง ทั้งสองสวมชุดปกคลุมกายสีดำสนิท กระทั่งใบหน้าก็มีผ้าดำคาดไว้ เผยให้เห็นเพียงดวงตาอันตรายที่จดจ้องไปทั่ว ดาบของพวกเขาอาบย้อมด้วยหยาดเลือดที่ยังคงค่อย ๆ ไหลตามแรงโน้มถ่วงลงสู่พื้น บรรยากาศรอบกายเงียบสงัดจนฉู่เหลียนรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหยดเลือดที่ร่วงหล่นลงพื้น
ทั้งคู่ยังคงกวาดตามองไปรอบสวนเพื่อค้นหานางและองค์หญิงต้วนเจี่ย
ฉู่เหลียนหลับตาหายใจเข้าลึก เมื่อลืมตาขึ้นอีกครา นางก็นับถึงสาม ก่อนจะปัดหญ้าที่คลุมตัวออก เมื่อไม่มีห้องให้หนีไปไหนได้อีก ฉู่เหลียนจึงวิ่งตรงไปยังประตูทางเข้าเรือน
เมื่อสองนักฆ่าเห็นเด็กสาวปรากฏขึ้นจากที่ไหนไม่ทราบ หนึ่งในนั้นก็ไล่ตามนางทันที ขณะที่อีกคนยังสำรวจหาเด็กสาวอีกคนในบริเวณที่ฉู่เหลียนใช้หลบซ่อนตัว เขาใช้ดาบตวัดดู เมื่อเห็นว่าไม่มีใครซ่อนอยู่ ก็สะบัดหญ้าด้วยความโมโห และยังคงพยายามค้นหาต่อ
แต่แล้ว ดูเหมือนนักฆ่าจะไม่โง่
ในที่สุด สายตาของเขาก็จดจ้องไปยังบ่อน้ำเพียงแห่งเดียวในสวน เขาดิ่งเข้าไป ยกฝาไม้ออก กวาดตาดูภายใน แม้บ่อจะลึก ทว่าแสงอาทิตย์ยังสาดส่องให้ได้เห็นเบื้องล่าง
ในนั้นมีเพียงท่อนไม้ท่อนหนึ่งลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ไม่มีสิ่งใดอีก เขาได้แต่พ่นหายใจ แล้วหมุนตัวจากไป…
…ภายใต้ท่อนไม้นั้นคือองค์หญิงต้วนเจี่ย นางรอกระทั่งเวลาผ่านไปอีกสักเล็กน้อยจึงกล้าผุดขึ้นมาสูดอากาศหายใจ ในใจยังก่นด่าสาปแช่งนักฆ่าเหล่านั้นนับพันครั้ง ซ้ำยังเป็นห่วงความปลอดภัยของฉู่เหลียนไปพร้อมกัน
ปอดของนางเริ่มร่ำร้องหาอากาศ และฝีเท้าก็เริ่มหนักขึ้นทุกที
ฝั่งฉู่เหลียนที่ซ่อนตัวอยู่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบื้องหลังคล้ายใกล้เข้ามายิ่งขึ้น ทำให้ความหวังที่มีแทบแหลกสลาย มือน้อยใต้ชายเสื้อยาวกำลังกำปิ่นทองที่ดึงออกมาจากศีรษะแน่น หากไร้หนทางจริง ๆ เช่นนั้นนางคงต้องเลือกความตาย!
นางสูดหายใจเข้าลึก ความตายอาจไม่น่ากลัวเมื่ออยู่ท่ามกลางความกดดันเช่นนี้ อีกทั้งยังแอบสงสัยว่าหากตายลงที่นี่ นางจะได้กลับไปโลกเดิมหรือไม่นะ หากเป็นไปได้ สิ่งแรกที่จะทำ คือเขียนรีวิวความยาวห้าร้อยตัวอักษรด่านักเขียนนิยายเรื่องนี้!
นักฆ่าเข้าใกล้มากขึ้นทุกขณะ ภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีดำนั้นราวกับมีรอยยิ้มกว้างเผยออก คมดาบของเขาขยับใกล้เสียจนฉู่เหลียนรู้สึกได้ถึงอากาศที่ถูกดาบตัดผ่าน
เรี่ยวแรงทั่วร่างแทบมลายสิ้น นางหยุดหายใจ ก่อนกระโดดหลบการโจมตีของนักฆ่านั่นได้อย่างน่าประหลาด
นางล้มกลิ้งไปบนพื้นด้วยร่างกายที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะสู้ต่อ ฉู่เหลียนหันไปจ้องนักฆ่า นางเม้มปากแน่น สีหน้ามุ่งมั่นฉายชัด
เมื่อนักฆ่าเห็นใบหน้าของเป้าหมาย แววตาตกใจก็วาบขึ้น เขาไล่ตามผิดคน!
ชายผู้นั้นตะโกนร้องด้วยความกราดเกรี้ยว “นังแพศยา! กล้าหลอกข้า! เจ้าไม่ใช่องค์หญิง เช่นนั้นเก็บเจ้าไว้ก็ไร้ประโยชน์!”
ทันทีที่เอ่ยจบ ใบดาบคมก็เปล่งประกายวาบ เล็งตวัดเข้าที่ต้นคอขาวผ่องของฉู่เหลียน
เงาดาบสะท้อนอยู่ในดวงตาของนาง
ดวงตาของสาวน้อยยังคงฉายชัด นางยังไม่ยอมแพ้! ต่อให้อยู่ในช่วงเวลาเช่นนี้ก็จะไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าชีวิตของตนเอง นางฮึดสู้อีกครั้ง ด้วยการกลิ้งตัวหลบการโจมตีอย่างพลิ้วไหว! ในขณะนั้น นางได้กลิ้งไปอยู่ใกล้เท้าของชายผู้นั้นเป็นที่เรียบร้อย
นางกำปิ่นปักผมแน่น และปักมันลงบนเท้านักฆ่าเต็มแรง
ชายผู้นั้นร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ดวงตาแดงก่ำ กระทั่งหลุดเข้าไปในห้วงความคิดชั่วขณะหนึ่ง เป็นเรื่องน่าแปลกประหลาดอย่างที่สุด เพราะไม่เคยคิดว่าบุตรีขุนนางผู้อ่อนแอจะทำให้เขาเจ็บปวดได้
เขาเตะฉู่เหลียนจนกระเด็นไป โจมตีรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
การไหวตัวด้วยความเร็วและแรงกระแทกจากการถูกตอบโต้กลับนั้นกินพละกำลังที่มีอยู่ของฉู่เหลียนไปหมดเสียแล้ว นางจึงทำได้เพียงหลับตาลง