ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 66 ตอบจดหมาย
บนซองจดหมายมีตัวหนังสือหนา ๆ เขียนไว้ว่า ‘แด่ภรรยารัก ฉู่ฮูหยิน’
มุมปากฉู่เหลียนกระตุกด้วยความขบขัน สงสัยนักว่าเขาจะรู้สึกผิดบ้างหรือไม่ ยามเขียนตัวอักษรเหล่านี้ ‘ภรรยารัก’ — เขายังไม่อยากแม้แต่จะร่วมหอกับนางในคืนวันแต่งงานเสียด้วยซ้ำ! เขายังมีจิตสำนึกหลบซ่อนอยู่ในกลีบสมองส่วนไหนบ้างหรือไม่นะ?
ฉู่เหลียนฉีกเปิดซองจดหมาย ดึงเอากระดาษด้านในออกมา ตอนนี้จึงได้เห็นเนื้อหาข้างใน ทั้งหมดนั่นเป็นข้อความที่เขาตั้งใจเขียนให้นางจริง ๆ แต่ละหน้ามีตัวหนังสือตัวเล็กเต็มไปหมด นางต้องขยับเข้าไปดูให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่ออ่านให้ออก ทว่าหลังจากพยายามไปได้ครู่หนึ่ง หัวคิ้วทั้งสองต่างยู่ย่น
นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย! ลายมือบนจดหมายนี่ยังกับอักษรสลักเครื่องราง! นางอ่านไม่ออกสักตัว!
ไม่ เดี๋ยวนะ นางเข้าใจได้สองคำ ตัวหนังสือใหญ่ ๆ หนา ๆ ที่หัวจดหมาย ‘ฉู่เหลียน’
หลังจบคำว่า ‘ภรรยารัก’ ที่จ่าหน้าซองแล้ว เนื้อหาภายในจดหมายเฮ่อซานหลางก็เรียกนางด้วยชื่อเต็ม ‘ฉู่เหลียน’ ทั้งหมด
ถึงจะไม่รู้ว่าจดหมายถูกเขียนไว้ว่าอย่างไรบ้าง แต่แค่ดูจากสองคำนี้ ฉู่เหลียนก็เข้าใจว่าเฮ่อซานหลางคงไม่ได้เขียนอะไรดี ๆ ถึงนางแน่
นางเม้มปาก โชคดีที่ลายมือเฮ่อซานหลางแย่จนอ่านไม่ออก ไม่เช่นนั้นนางคงได้โมโหจนล้มป่วย
เฮ่อฉางตี้เขียนจดหมายเต็มหน้าขณะกำลังโกรธจัด เพื่อเตือนสติสตรีแพศยาอย่างฉู่เหลียนว่าอย่าได้พยายามวางแผนอะไรขณะเขาไม่อยู่ แต่หากเขารู้ว่านางมิได้อ่านข้อความห่วงใยเหล่านี้แม้แต่อักษรเดียว เขาคงกระอักเลือดออกมาเป็นแน่ และยิ่งหากพบว่าเป็นเพราะลายมืออันงดงามของเขาที่ทำให้ฉู่เหลียนละทิ้งความพยายามที่จะอ่านละก็ เขาคงนั่งเสียใจที่อุตส่าห์พยายามเต็มที่เพื่อแสดงศักยภาพด้านการคัดอักษรของตนให้นางได้เห็น
คิดอยู่นาน ฉู่เหลียนก็ไม่รู้จะตอบกลับจดหมายเฮ่อฉางตี้อย่างไรดี นางเขียนไปไม่กี่คำแล้วก็นั่งจ้องกระดาษว่างเปล่า หัวคิ้วขมวดมุ่น ขยำกระดาษเป็นก้อนแล้วโยนใส่กองไฟ
ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้! ถึงลายมือนางจะดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็ยังห่างไกลกับคนที่คุ้นเคยกับการใช้พู่กันเขียนอักษรยิ่งนัก หากเผยออกไปให้เฮ่อฉางตี้เห็นว่านางไร้ฝีมือในด้านนี้ย่อมไม่ดีแน่ และหากเขาเริ่มสงสัยจะเป็นอย่างไร? สามีของนางยิ่งบ้า ๆ อยู่พอตัว ส่วนนางก็ไม่อยากเสี่ยงอะไรกับเขาไปมากกว่านี้
ในเมื่อเขียนไม่ได้ แล้วนางจะตอบจดหมายเฮ่อซานหลางอย่างไรดี?
ฉู่เหลียนเกาหัวด้วยความรำคาญใจ ไม่รู้อย่างไร สายตาก็เหลือบไปมองปากกาขนห่านและถ่านที่นางมักใช้ฝึก
ทันใดนั้นดวงตาก็ลุกวาว ใช่แล้ว! ถึงจะเขียนไม่ได้ แต่นางวาดรูปได้!
สำหรับผู้หลงใหลงานศิลป์เช่นนาง แค่การ์ตูนสี่ช่องน่ะง่ายมาก!
ตอนนี้นางมีแผนอยู่ในสมองเรียบร้อยแล้ว และเริ่มลงมือทันที นางดึงเอาพู่กันออกมาลากเส้นไม่กี่ที ภาพการ์ตูนที่มีชีวิตชีวาก็ปรากฏขึ้นบนกระดาษ
คนตัวเล็ก ๆ สวมกระโปรงมัดผมข้างหนึ่งคือตัวนาง
วาดเส้นง่าย ๆ เร็ว ๆ ด้วยพู่กัน ไม่นานนักกระดาษก็เต็มไปด้วยภาพการ์ตูนที่กำลังเคลื่อนไหว
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ฉู่เหลียนก็วาดการ์ตูนไปแล้วยี่สิบเรื่อง ครั้นจะบรรจุใส่ซองจดหมายทั่วไป นางก็กลับทำไม่ได้
สุดท้ายฉู่เหลียนจึงเรียกฉีเยี่ยนมาในห้องหนังสือ
“ฉีเยี่ยน ช่วยข้าหาซองจดหมายที่ใหญ่กว่านี้หน่อย!”
ฉีเยี่ยนงงงันกับคำสั่งนี้ นางสงสัยว่าฉู่เหลียนจะเอาของเช่นนั้นไปทำไม หากนางอยากส่งของใหญ่ ๆ ก็แค่ใช้กล่องเท่านั้น!
ฉู่เหลียนโบกปึกกระดาษให้ฉีเยี่ยนดู สาวใช้จึงเข้าใจได้ทันที
ฉีเยี่ยนรีบออกจากห้องพร้อมรอยยิ้มเต็มหน้าเพื่อหาซองจดหมาย ก่อนจะชนเข้ากับกุ้ยหมัวมัวที่อยู่นอกห้องนอน กุ้ยหมัวมัวเห็นว่าแปลกนักที่สาวใช้แสนใจเย็นผู้นี้จะรีบรุดเดินอย่างไร้สติและปรากฏรอยยิ้มอยู่เต็มหน้า
ฉีเยี่ยนหัวเราะคิกคัก “หมัวมัว ท่านต้องได้เห็น! ขนาดของจดหมายที่นายหญิงสามเขียนตอบคุณชายสาม! ถึงกับใส่ซองจดหมายธรรมดาไม่ได้ทีเดียว ข้าจึงต้องไปหาซองจดหมายที่ใหญ่กว่ามาก ๆ มาใส่ให้พอดีเจ้าค่ะ”
ขณะพูด ฉีเยี่ยนก็ทำนิ้วบ่งบอกขนาดความหนาของปึกจดหมายไปด้วย… แน่นอนว่าเกินจริงไปบ้างเล็กน้อย
กุ้ยหมัวมัวหัวเราะคิกคักตาม นางนึกได้ว่าคุณชายสามเขียนจดหมายให้นายหญิงสาม ย่อมต้องเขียนสิ่งที่ทำให้นางอารมณ์ดีมากเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นเหตุใดนายหญิงสามจึงได้มีเรื่องมากมายที่อยากบอกกันเล่า? มิหนำซ้ำแค่ซองจดหมายธรรมดา ๆ ถึงกับไม่สามารถใส่ลงไปได้เสียอีก!
“ดี ดีแล้ว ให้ข้าช่วยหาเถิด”
ท้ายที่สุด พวกนางก็ต้องไปขอกับพ่อบ้านที่เรือนนอก!
อันที่จริงซองจดหมายขนาดใหญ่นั้นไม่ค่อยได้ใช้กันนัก ในจวนจึงไม่มีแม้แต่ซองเดียว สุดท้ายพ่อบ้านที่คุ้นเคยกับงานหนังจึงได้ทำซองหนังที่ทันสมัยให้ สำหรับฉู่เหลียนแล้ว เมื่อได้ถือซองหนังนี้นางก็รู้สึกว่ามันช่างวิเศษมาก สิ่งนี้แทบจะเหมือนกับแฟ้มเอกสารหนังสัตว์ที่ใช้กันในยุคปัจจุบันทีเดียว
กุ้ยหมัวมัวและฉีเยี่ยนมองดูฉู่เหลียนใส่จดหมายลงในซองหนังสัตว์และปิดซองอย่างอารมณ์ดี ทั้งยังเขียนอักษร ‘แด่ซานหลางที่รัก’ ที่หน้าซองอีกด้วย! บ่าวทั้งสองจินตนาการว่านายหญิงของตนคงใส่ความรู้สึกและดวงใจเล็ก ๆ อันอ่อนหวานนั้นลงไปในซองจดหมายใหญ่ด้วยแน่
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เหลียวหมัวมัวย้ำเตือนมา ฉู่เหลียนจึงสั่งกุ้ยหมัวมัวให้หาผ้ามาห่อพัสดุ นางจัดเตรียมเสื้อตัวในสำหรับเฮ่อฉางตี้หลายตัว ยังมีเสื้อคลุม เสื้อหนาว รองเท้า และอื่น ๆ อีกมากมาย ถึงอย่างไรของพวกนี้ก็ทำไว้ให้เฮ่อฉางตี้ นางไม่อยากได้สักชิ้นอยู่แล้ว
ไม่นานนัก จงหมัวมัวก็มาปรากฏตัวในห้องเช่นกัน ปากยิ้มด้วยความชื่นชม พลางพยักหน้ายอมรับในหัวใจของนายหญิงสามที่มีต่อคุณชายสามจริง ๆ ทั้งยังรู้จักจัดเตรียมเสื้อผ้าให้สามีอีกด้วย
นอกจากนี้ คนส่งสารบอกพวกนางแล้วว่าเขาช่วยรับส่งพัสดุให้ได้ ทว่าต้องไม่มากเกินไป ไม่เช่นนั้นจะเดินทางไม่สะดวก
เฮ่อเหล่าไท่จวินทราบว่าค่ายชายแดนเหนือนั้นเข้มงวดมาก จึงไม่อยากสร้างปัญหาอะไร ได้แต่บอกฉู่เหลียนว่าของที่ส่งไปควรจำกัดจำนวนด้วย
เมื่อเตรียมของห่อเล็กเรียบร้อยแล้ว จงหมัวมัวก็ให้สาวใช้รุ่นเล็กเข้าครัวเตรียมอาหารเย็น
กุ้ยหมัวมัวคิดอยู่ครู่หนึ่ง ช่วยฉู่เหลียนทำความสะอาดห่อของก่อนจะตัดสินใจกล่าว “นายหญิงสามเจ้าคะ บ่าวได้ยินว่าชายแดนเหนือกันดารยิ่ง คงไม่มีอะไรให้ทานนัก คุณชายสามคุ้นเคยแต่กับชีวิตสะดวกสบายในเมืองหลวงคงไม่คุ้นชินอาหารชายแดนเหนือเท่าไร…การทานอาหารน่าจะยากลำบากอยู่ คุณชายต้องคิดถึงอาหารดี ๆ ในเมืองหลวงเป็นแน่”
ฉู่เหลียนไม่เข้าใจว่ากุ้ยหมัวมัวจะสื่ออะไร นางโคลงหัวด้วยความสงสัยขณะมองกุ้ยหมัวมัว ดวงตาของนางสุกสว่างฉ่ำวาว ซ้ำยังทำเสียง “ฮื้อ?” ช่างน่ารักน่าเอ็นดูนัก
“ไม่ใช่ว่าเขาตัดสินใจไปที่นั่นเองหรอกหรือ? ไม่ได้บอกข้าก่อนด้วยซ้ำ นั่นจึงไม่ใช่ธุระของข้า ต่อให้เขาจะอดอยากอยู่ที่นั่นก็เถอะ!”
กุ้ยหมัวมัวลอบถอนใจ “บ่าวมิได้หมายความเช่นนั้น บ่าวเพียงกล่าวว่าคุณชายสามคงไม่ได้กินอยู่ดี มิใช่ว่าวันก่อนท่านยังมอบขนมให้ฉีเยี่ยนและสาวใช้คนอื่น ๆ อยู่หรอกหรือเจ้าคะ?”
มีเพียงคนโชคดีเท่านั้นที่ได้ลิ้มรสอาหารจาก ‘สูตรลับ’ ของฉู่เหลียน ซึ่งพวกเขาจะเข้าใจถึงความเย้ายวนของอาหารที่แท้จริง ดังคำกล่าวว่า ‘สิ่งสำคัญของผู้คนคืออาหาร’ ในบรรดาความสุขทั้งหลายในชีวิต อาหารย่อมเป็นอันดับหนึ่ง!
ดูกุ้ยหมัวมัวเป็นตัวอย่าง เมื่อคุ้นชินกับอาหารฝีมือนายหญิงสามแล้ว นางก็แทบจะดูถูกร้านอาหารชื่อดังทั่วทั้งเมืองหลวง ‘ร้านอาหารชั้นสูง’ อะไรนั่นล้วนเป็นเพียงขยะเมื่อเทียบกับอาหารในเรือนซงเถา!
ในอดีตนายหญิงสามของพวกนางไม่มีฝีมือหรือความสามารถใดมากนัก แม้ว่าจะโดดเด่นเรื่องการชงเซนฉะอยู่บ้าง ทว่าตั้งแต่ที่นางไม่ยอมแตะน้ำชา นี่ก็กลายมาเป็นฝีมืออย่างสุดท้ายที่นางจะแสดงออก
ในโลกนี้มีใครบ้างไม่ชอบกิน? ยิ่งอาหารดี ๆ จะมีใครบ้างไม่ชอบ?
ที่ชายแดนเหนือไม่มีอาหารที่ดีให้ทาน หากนายหญิงสามส่งอะไรดี ๆ ไปบ้าง มิใช่ว่าคุณชายสามจะดีอกดีใจสุดขีดหรอกหรือ?
ฟังกุ้ยหมัวมัวแล้ว ฉู่เหลียนก็จำได้ว่านางเคยสอนเหล่าสาวใช้ทำขนมหลายชนิดในวันที่รู้สึกเบื่อ เนื่องจากในครัวมีเนื้อเหลืออยู่นิดหน่อย หากไม่จัดการให้หมดก็คงเน่าเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ฉู่เหลียนจึงให้พวกนางเปลี่ยนมันให้เป็นขนมหลากชนิดที่มีส่วนผสมหลักจากเนื้อ
จึงมีทั้งเนื้อแผ่น เนื้อฝอย เนื้อแผ่นปรุงรส และอื่น ๆ อีกมากมาย!
และนี่ก็นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาถึงยุคราชวงศ์อู่ที่นางทำขนมเช่นนี้ เนื้อที่มีก็เหลืออยู่ไม่มาก ทำได้เพียงไม่กี่ถุง กระทั่งสาวใช้ก็ยังไม่ได้กิน เนื้อแผ่นนั้นจึงเป็นของนางผู้เดียวเท่านั้น ส่วนเนื้อฝอยยังแช่อยู่ในไหเล็ก รออีกสองวันถึงจะทานได้
ทว่าตอนนี้กุ้ยหมัวมัวกลับบอกให้นางยกขนมที่ทำด้วยความยากลำบากเหล่านั้นให้เฮ่อฉางตี้ ฉู่เหลียนจอมตะกละจะไปยอมแยกจากอาหารได้อย่างไรกัน?
“หมัวมัว ทำขนมเหล่านั้นไม่ง่ายเลย ข้ายังทานไปได้ไม่กี่ชิ้นเอง! กว่าจะทำเสร็จก็ใช้เวลาตั้งนาน อีกอย่าง เนื้อฝอยพวกนั้นก็เพิ่งทำ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะทานได้หรือยัง หากไม่อร่อยขึ้นมาจะทำเยี่ยงไรเล่า?”
กุ้ยหมัวมัวไม่คิดว่านายหญิงสามผู้ที่มักจะใจดีกับคนอื่น ผู้ที่กล้าตกรางวัลให้สาวใช้เป็นเครื่องประดับเงินมากมาย จะกลับกลายเป็นคนใจแคบไปเสียได้ แค่ขนมไม่กี่ถุงก็ยังไม่ยอมยกให้คุณชายเลยหรือ?
กุ้ยหมัวมัวรู้สึกช่วยไม่ได้ นางรู้ว่านิสัยเด็ก ๆ ของนายหญิงสามปะทุขึ้นมาอีกแล้ว จึงพยายามโน้มน้าวใจนายหญิงอีกครั้ง “นายหญิงสามเจ้าคะ สิ่งที่ท่านทำจะไม่อร่อยได้อย่างไร? อย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะ บ่าวลองชิมดูแล้ว เนื้อฝอยนั่นอร่อยเหลือเกิน!”
ฉู่เหลียนเบิกตากว้างและไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน นางชี้กุ้ยหมัวมัว โวยวายออกมาด้วยความไม่พอใจ “หมัวมัว เจ้าแอบทานเนื้อฝอยของข้า!”
กุ้ยหมัวมัวมิคาดว่านางจะหลุดปากบอกความผิดโดยไม่ตั้งใจ นางเอ่ยต่ออย่างกระอักกระอ่วน “บ่าวเพียงชิมไปเล็กน้อยเท่านั้นนะเจ้าคะ นายหญิงสามมิได้กล่าวว่าต้องแช่ทิ้งไว้ราวสี่ถึงห้าวันหรอกหรือเจ้าคะ? บ่าวจึงลองชิมเพียงเพื่อจะช่วยนายหญิงสามตรวจสอบรสชาติก่อนเท่านั้นเองเจ้าค่ะ”
ฉู่เหลียนหัวเสียสุดขีด นางก็สงสัยอยู่แล้วเชียวว่าทำไมเนื้อแผ่นถึงได้หมดเร็วนัก ที่แท้เป็นกุ้ยหมัวมัวที่แอบกินไปนี่เอง!
ทำไมคนรอบตัวนางถึงได้มีแต่พวกขี้ตะกละทั้งนั้น! แค่คนขี้ตะกละคนเดียวยังไม่พออีกหรือไง?
กุ้ยหมัวมัวทราบว่านอกเรื่องมาไกลแล้ว จึงได้รีบดึงกลับเข้าเรื่องเดิม “โธ่! นายหญิงสามเจ้าคะ เป็นบ่าวผิดเองเจ้าค่ะที่ขโมยขนมของนายหญิง แต่บ่าวขอให้สัญญาว่าจะไม่ทำอีกแล้ว และจะช่วยดูมิให้ฉีเยี่ยนและคนอื่น ๆ ไปขโมยด้วยเจ้าค่ะ นายหญิงสามเจ้าขา มีของเหลืออีกไม่มากแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่เพียงพอสำหรับท่านอยู่ดีนะเจ้าคะ อีกอย่างเราอยู่ที่นี่อยากทำอาหารดี ๆ ทานเมื่อใดก็ย่อมทำได้ แต่หากส่งไปให้คุณชายสาม คุณชายต้องชอบและย่อมคะนึงหาท่านเป็นแน่เจ้าค่ะ! ขนมนั้นควรส่งไปจริง ๆ …”
ฉู่เหลียนค่อยรู้สึกว่าคำพูดของกุ้ยหมัวมัวดึงดูดอยู่บ้าง นั่นก็จริง นางสามารถทำขนมได้ทุกเมื่อ หากอยากทำ ทว่าเฮ่อฉางตี้อยู่ทางเหนือย่อมมิอาจทำได้ และก็จริงอยู่ที่ขนมเหลืออีกไม่มาก ยิ่งนางชอบมากเท่าไร ก็มักจะยิ่งใส่ของพวกนี้ลงในอาหารมื้อหลักเพื่อเติมเต็มรสชาติมากขึ้นเท่านั้น ก็ได้ นางจะยอมมอบที่เหลือ ๆ ให้เฮ่อฉางตี้ก็แล้วกัน
“ก็ได้ หมัวมัว ให้ฉีเยี่ยนไปเอาขนมมา ใส่ลงในกระเป๋าเล็ก แต่กำชับให้คนส่งสารระมัดระวังให้มากหน่อย”
“ดีเหลือเกินเจ้าค่ะ บ่าวจะทำตามสั่งเดี๋ยวนี้” กุ้ยหมัวมัวรีบวิ่งไปหาฉีเยี่ยน
หมูและเนื้อแผ่นสามารถเก็บไว้ได้นาน เพียงแต่ต้องระวังมิให้เปียกน้ำ ดังนั้นฉู่เหลียนจึงไม่กลัวว่าของเหล่านี้จะเน่าเสียก่อนถึงชายแดน