ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 67 ริษยา
ตอนนี้ฉีเยี่ยนอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ในที่สุดนายหญิงสามก็คิดถึงคุณชายสามบ้างแล้ว นางนำเอาขนมทั้งหมดของฉู่เหลียนมาห่อด้วยความตื่นเต้น มีกระเป๋าผ้าสีฟ้าสวยงามใบเล็ก ขวดใบเล็กใส่เนื้อฝอย แม้ไม่มากนัก ทว่าก็พอดิบพอดีกันกับกล่องขนาดเล็ก
อีกทางหนึ่ง เมื่อกุ้ยหมัวมัวเห็นหีบห่อ นางก็รู้สึกว่าเล็กเกินไป ส่งของไปเล็กน้อยเพียงนี้จะไม่สะท้อนว่านายหญิงของพวกนางไม่ดีหรอกหรือ? ดังนั้นจึงได้ตัดสินใจนำเอาเหล้าองุ่นที่ฉู่เหลียนหมักไว้หลายวันก่อนออกมาเองโดยพลการ เมื่อเติมขวดลงในกล่องแล้ว กุ้ยหมัวมัวก็พอใจเป็นอย่างยิ่ง
ฉู่เหลียนที่น่าสงสารไม่รู้เลยว่าขนมทั้งหมดของนางถูกฉีเยี่ยนบรรจงห่อลงไปให้คุณชายสามเสียหมด กระทั่งเหล้าองุ่นที่ทำด้วยความยากลำบากก็เช่นกัน นางกลับต้องสูญเสียทุกสิ่งทั้งที่ยังไม่ได้แตะแม้แต่น้อย
เมื่อทั้งจดหมายและห่อของจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว พวกนางก็นำไปส่งที่เรือนนอก จากนั้น ทั้งจวนก็ได้รู้ว่าฉู่เหลียนส่งจดหมายซองยักษ์ไปให้เฮ่อซานหลาง
พ่อบ้านใหญ่เล่าให้พ่อบ้านคนอื่น ๆ ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก โอ้อวดว่าเขายังเป็นผู้ทำซองจดหมายให้นายหญิงสามด้วยตนเอง!
สีหน้าของเฮ่อเหล่าไท่จวิน ฮูหยินจิ่งอันป๋อ และจิ่งอันซื่อจื่อเต็มไปด้วยรอยยิ้มพึงพอใจเมื่อได้ยินข่าวนี้
พวกเขาย่อมชื่นชมฉู่เหลียน ทั้งยังกล่าวว่าเจ้าซานหลางช่างโชคดีที่ได้แต่งกับภรรยาที่ดีจริง ๆ!
ดังนั้น จดหมายฉบับอื่น ๆ ของคนในครอบครัวที่ส่งให้เฮ่อฉางตี้จึงเต็มไปด้วยถ้อยคำชื่นชมฉู่เหลียน กล่าวว่านางทั้งรู้ความ ทั้งกตัญญู มีเพียงจดหมายของโจวซื่อเท่านั้นที่มิได้กล่าวอะไรดี ๆ ถึงฉู่เหลียน
จดหมายและของจากจวนจิ่งอันถูกส่งไปยังชายแดนเหนืออย่างรวดเร็ว
ที่ห้องหนังสือเรือนจิ่นอ๋อง ถังเหยียนที่ร่าเริงอยู่เสมอยามนี้กลับไร้รอยยิ้มและหดหู่ใจยิ่งนัก เขามองจิ่นอ๋องที่ดูเหมือนกำลังผ่อนคลาย นั่งที่หัวโต๊ะหลับตาพักผ่อน
“ท่านอ๋อง กองกำลังรักษาเมืองส่งข่าวมา นักฆ่าที่เราจับได้ตายหมดแล้วเมื่อคืนนี้ขอรับ”
ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นเปิดขึ้นกะทันหัน
“เจ้าพบเบาะแสอะไรอีกหรือไม่?”
“นักฆ่าทั้งหมดล้วนมีตราประทับมืดที่แขนซ้าย ตรวจสอบร่างกายแล้ว คาดว่าเป็นตราประทับจากเคล็ดวิชาลับของราชวงศ์ก่อน ควบคุมคนให้สละชีพ” ถังเหยียนตอบด้วยสายตาดุดัน
“ส่งคนไปสืบต่อ ตรวจสอบเบื้องหลังร้านน้ำชาเต๋อเฟิงด้วย”
ถังเหยียนทำท่ารับคำสั่งแล้วจากไป
นิ้วเรียวของจิ่นอ๋องเคาะโต๊ะเบา ๆ เป็นจังหวะ
ดวงตาคู่นั้นดูมืดครึ้มขึ้น เผยร่องรอยที่ปิดซ่อนไว้
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในร้านน้ำชาเต๋อเฟิงปรากฏขึ้นในใจจิ่นอ๋องอีกครา และเขาก็ไม่เคยลืมว่าฉู่เหลียนจดจำเขาได้ตั้งแต่แวบแรกในครานั้น
แม้เขาจะเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ กระทั่งมีสถานะเป็นถึงอ๋องน้อยสี่ แต่เขาก็มิได้เป็นที่โปรดปรานเท่าองค์ชายองค์อื่น ๆ อีกทั้งมารดาของเขาได้จากไปนานแล้ว ครอบครัวเดิมของมารดาก็ไม่ได้มีอำนาจมากมายนัก ดังนั้นจึงไม่มีคนคอยสนับสนุนให้เขาออกหน้าได้
ปีนี้เขาอายุได้สิบแปด ละออกจากวังมาสร้างจวนของตนเอง เมื่อย้ายออกมาแล้ว นอกจากจะมีกิจให้ต้องเข้าร่วมประชุมในท้องพระโรงเดือนละสองครั้ง เขาก็มิได้เข้าไปในพระราชวังบ่อยนัก ช่วงปีหลัง ๆ นี้เขาและเฮ่อฉางตี้ยังไปเยี่ยมเยือนค่ายทหารนอกเมืองบ่อย ๆ จึงคุ้นเคยกับขุนนางฝ่ายบู๊ในท้องพระโรงที่สุด ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถจัดการให้เฮ่อฉางตี้ไปเหลียงโจวได้
ทว่า ในราชวงศ์อู่โปรดปรานขุนนางฝ่ายบุ๋นไม่นิยมขุนนางฝ่ายบู๊ เขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องการเชื่อมสัมพันธ์กับแม่ทัพนายกองมากนัก
เนื่องจากสีตาอันแปลกประหลาดนี้ ฮ่องเต้เคยตรัสกับเขาเป็นการส่วนพระองค์ ว่าองค์ชายที่มีสายเลือดผสมเช่นเขาย่อมไม่มีทางได้รับการยอมรับหากเข้าชิงบัลลังก์ ดังนั้นจิ่นอ๋องจึงไม่เคยสนใจร่วมต่อสู้ด้วย กระทั่งยามที่เขายังเยาว์วัยกว่านี้ เขาก็ได้รับพระราชทานยศอ๋อง และถูกส่งออกจากวัง ให้สร้างจวนเป็นของตนเองเร็วกว่าผู้อื่นอยู่มาก
บางทีในอีกสองปีนี้เขาคงได้แต่งชายา แล้วถูกส่งไปปกครองเมืองสักเมือง ทว่าตอนนี้เขายังได้รับอนุญาตให้อยู่เอ้อระเหยลอยชายในเมืองหลวงได้อยู่
ดวงตาผิดแปลกของจิ่นอ๋องนับเป็นเรื่องต้องห้ามของราชวงศ์ ยิ่งด้วยความสันโดษของเขา จึงมีคนไม่มากนักที่ทราบเรื่องลักษณะอันผิดแปลกนี้ เว้นเสียแต่จะเป็นขุนนางที่เชื่อถือได้ในท้องพระโรงเท่านั้น
กระทั่งหากผู้คนได้รับทราบก็ยังมิกล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้อย่างเปิดเผย แม้จิ่นอ๋องจะมิได้เป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้ แต่ก็นับว่าเป็นสายเลือดโอรสสวรรค์
ทว่า ฉู่เหลียนกลับรู้ตัวตนของเขาตั้งแต่แวบแรก
คุณหนูหกสกุลฉู่เป็นเพียงคุณหนูที่ถูกลืมของจวนอิ้งนับแต่ก่อนออกเรือน นางย่อมไม่เคยเข้าร่วมงานสังสรรค์กับเหล่าขุนนางชั้นสูงใด ๆ มาตลอดชีวิต อีกทั้งเฮ่อซานหลางเองก็ย่อมไม่มีทางเอ่ยถึงเขาต่อหน้านางเช่นกัน ดูจากที่เฮ่อซานหลางคิดกับนางในช่วงวันแรก ๆ เขาดูเหมือนคนที่จะเล่าถึงรายละเอียดปลีกย่อยในชีวิตของจิ่นอ๋องให้คุณหนูหกสกุลฉู่ฟังหรือ? ไม่มีทาง!
วันนั้นที่ร้านเต๋อเฟิง จิ่นอ๋องมิได้แต่งกายด้วยชุดท่านอ๋องแต่อย่างใด แต่ฉู่เหลียนกลับบอกได้ว่าเขาคือใครทันทีที่นางเห็น นางต้องรู้จักเขาแน่นอน
เรื่องชักจะน่าสนใจขึ้นมาแล้ว
เฮ่อซานหลาง เฮ่อซานหลาง… เจ้าโชคดีเหลือเกินที่ได้แต่งกับภรรยาที่น่าสนใจเช่นนี้ ไม่เพียงนางจะติดต่อกับชายแปลกหน้า ยังคล้ายซ่อนความลับไว้อีกมากทีเดียว
จิ่นอ๋องไม่กล้าคาดเดาว่าคุณหนูหกสกุลฉู่ผู้นี้คิดอะไร ทว่าที่ฉู่เหลียนส่งสาวใช้ของตนไปตามกองกำลังรักษาเมือง เพื่อช่วยชีวิตของเขาไว้ นั่นคือความจริง
จิ่นอ๋องย่อมทราบวิธีตอบแทนบุญคุณคนเป็นอย่างดี
เขาจึงไม่อาจเพิกเฉยทำเป็นไม่รับรู้ว่าฉู่เหลียนพยายามช่วยเหลือเขา เพียงเพราะเฮ่อฉางตี้ เพื่อนรักของเขาเกลียดชังนางได้แน่
ฉู่เหลียนใช้เวลาอย่างสงบสุขในจวนอยู่ได้สองวันและเริ่มวางแผนการฟื้นฟูภัตตาคารกุ้ยหลิน อีกสองวันต่อมานางก็ขออนุญาตเฮ่อเหล่าไท่จวินออกไปข้างนอกเพื่อดูร้านอาหารด้วยตัวเอง
ยามนี้ใกล้เข้าสู่กลางฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ในจวนเริ่มเตรียมข้าวของสำหรับเดือนอันหนาวเหน็บที่กำลังจะมาถึง อุณหภูมิภายนอกเริ่มลดต่ำ และต้องขอบคุณสายฝนของฤดูใบไม้ร่วงที่ทำให้อากาศเย็นลง
เมื่อจัดการอาหารเช้าที่เรือนซงเถาเสร็จ ฉู่เหลียนก็ไปคารวะเฮ่อเหล่าไท่จวินตามปกติ แต่ครั้งนี้บังเอิญพบกับโจวซื่อที่อยู่ที่นั่นพอดี
เฮ่อเหล่าไท่จวินจิบชา บางทีอาจเพราะเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง นางจึงได้เติมเก๊กฮวยลงไปในเซนฉะวันนี้ ก่อให้เกิดเป็นรสชาติอันแสนสดชื่น
เมื่อเห็นกลีบดอกไม้สีเหลืองลอยในน้ำชา เฮ่อเหล่าไท่จวินก็นึกบางอย่างขึ้นได้ จึงเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ก็ใกล้กลางฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ซึ่งจะเป็นช่วงตัดเย็บชุดใหม่ หลานสะใภ้ใหญ่ เจ้าได้เตรียมการสิ่งใดไปบ้างแล้วหรือไม่?”
โจวซื่อเพิ่งจะยกถ้วยน้ำชาขึ้น มิคาดว่าเฮ่อเหล่าไท่จวินจะเอ่ยถึงเรื่องนี้กะทันหัน ทว่านางก็รีบตอบทันที “ท่านย่าไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ พ่อบ้านที่รับหน้าที่ดูแลงานเย็บได้แจ้งต่อหลานสะใภ้แล้ว หลานจึงได้สั่งพวกเขาให้เตรียมเสื้อผ้าแบบใหม่ล่าสุดที่กำลังนิยมในเมืองหลวงสำหรับฤดูนี้ไว้แล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อกล่าวจบ นางก็หันไปมองฉู่เหลียนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ดวงตาคล้ายหรี่แสงลง แล้วจึงกล่าว “น้องสะใภ้สามเพิ่งแต่งเข้า ยังเด็กและสดใสยิ่งนัก ข้าจึงตัดสินใจโดยพลการเพิ่มเติมชุดให้น้องสะใภ้ถึงสามชุด ท่านย่าต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมหรือไม่เจ้าคะ?”
ดูท่าว่าคำตอบของโจวซื่อจะถูกใจเฮ่อเหล่าไท่จวินแล้ว “อืม หลานสะใภ้ใหญ่ เจ้าทำได้ดียิ่ง ตอนนี้ซานหลางไม่อยู่เมืองหลวงแล้ว เราก็ควรดูแลภรรยาของเขาให้มากหน่อยในฐานะผู้อาวุโสในครอบครัว ข้าว่าประเดี๋ยวก็จะถึงเวลาสั่งทำเครื่องประดับใหม่ให้คนในจวน เจ้าก็เพิ่มเครื่องประดับให้นางอีกสักสองชุด เจ้าจะว่าอย่างไร?”
“หลานสะใภ้เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” แม้จะตอบด้วยสีหน้าระรื่น ทว่าในใจของโจวซื่อกลับหงุดหงิดนัก เพิ่มเสื้อผ้าให้ฉู่เหลียนอีกหลายชุดก็นับว่าดูแลเป็นพิเศษแล้ว ยามนี้ยังถึงกับสั่งเครื่องประดับเพิ่มให้นางอีก
เสื้อผ้าชุดหนึ่งใช้เงินไม่เกินร้อยตำลึง ไม่ว่าจะเป็นของดีเพียงใด
ทว่า เครื่องประดับหนึ่งชุดกลับใช้เงินอย่างน้อยหนึ่งร้อยตำลึง! ทั้งยังต้องเลือกใช้วัสดุที่เป็นของคุณภาพสูงอีกด้วย!
แค่คิดว่าเฮ่อเหล่าไท่จวินจะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกห้าหกร้อยตำลึงในประโยคเดียว โจวซื่อก็แทบทนไม่ไหว เฮ่อเหล่าไท่จวินไม่ทราบถึงต้นทุนของสิ่งของต่าง ๆ เนื่องด้วยมิได้เป็นผู้จัดการดูแลบัญชีในบ้านเช่นนาง
ร้านค้าและที่ดินที่ถือครองภายใต้ชื่อจวนจิ่งอันมิได้ทำกำไรอะไรให้แก่จวนมากนัก และไม่มีเจ้านายคนใดทราบวิธีบริหารธุรกิจ ดังนั้นเมื่อต้องจ่ายค่าเข้าสังคมร่วมกับจวนอื่น จึงมิได้มีเงินทองเหลือมากมาย
ก่อนหน้านี้ฮูหยินจิ่งอันก็ยังต้องหันมาใช้เงินของตน เพราะแต่เดิมเมื่อมีการหักค่ายาส่วนตัวของนางจากบัญชีกลางแล้ว เงินหนึ่งพันตำลึงต่อเดือนก็มิใช่จำนวนน้อย ๆ เลย ย่อมทำให้จัดการจวนได้ยากยิ่ง
เมื่อโจวซื่อคิดถึงยามนางแต่งเข้าจวนคราแรก เฮ่อเหล่าไท่จวินก็มิได้ดูแลนางดีเช่นนี้ ความอิจฉาและความเคลือบแคลงใจหยั่งรากลงในใจของนางเพิ่มขึ้นทีละน้อย
ฉู่เหลียนอยากจะเอ่ยอะไรบ้าง ทว่ากลับไม่มีจังหวะให้นางพูด ทำได้เพียงมองสายตาของโจวซื่อที่เปลี่ยนไป ในใจของนางกำลังร้องไห้
อา ท่านย่าที่รักเจ้าคะ ท่านเพิ่งสร้างปัญหาให้ข้าใช่หรือไม่?!
บ้านสามของนางจะได้รับเครื่องประดับเพิ่ม ทั้งที่บ้านใหญ่ยังไม่ได้อะไรเลยได้อย่างไร?
ฉู่เหลียนอยากเอ่ยปากปฏิเสธ ทว่าเฮ่อเหล่าไท่จวินกลับเป็นผู้เอ่ยก่อน “ภรรยาซานหลางยังเด็กนัก ถึงเวลาต้องแต่งเนื้อแต่งตัวบ้าง เครื่องประดับเพียงไม่กี่ชิ้นราคาไม่มากหรอก จวนเราย่อมจ่ายได้”
สายตาเฮ่อเหล่าไท่จวินจับจ้องท้องของฉู่เหลียน
ฉู่เหลียนแทบสำลัก พูดไม่ออก…
นางจะเอ่ยอะไรได้เล่า? เหล่าไท่จวินออกปากไปเช่นนั้น
โจวซื่อมองตามเฮ่อเหล่าไท่จวิน สายตาของนางที่ตวัดมองฉู่เหลียนตอนนี้ ส่งสัญญาณให้ระฆังเตือนภัยในหัวของฉู่เหลียนดังสนั่น
นางอดมิได้ให้รู้สึกอึดอัดใจคล้ายมีน้ำหนักมหาศาลกดทับอก ใบหน้านางแดงก่ำขึ้นด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก
ยามฉู่เหลียนและโจวซื่อไปเยี่ยมคารวะฮูหยินจิ่งอันร่วมกัน เฮ่อเหล่าไท่จวินก็เรียกโจวหมัวมัวที่ตนไว้ใจมา ถามด้วยน้ำเสียงสบายใจ “มีข่าวใดจากภรรยาซานหลางหรือไม่?”
สีหน้าโจวหมัวมัวย่นเข้าอย่างลำบากใจ “ได้ยินว่านายหญิงสามเพิ่งมีระดูเมื่อวานเจ้าค่ะ”
สีหน้าเฮ่อเหล่าไท่จวินฉายชัดถึงความผิดหวัง ดูคล้ายว่าเหลนชายที่นางคาดหวังคงจะไม่มาในปีนี้
โจวหมัวมัวปลอบใจ “เหล่าไท่จวินเจ้าขา ถึงนายหญิงสามจะมาจากจวนอิ้ง ทว่าคุณชายสามอยู่ที่จวนเพียงไม่กี่วันหลังแต่งงาน นางจะตั้งครรภ์ง่ายดายเพียงนั้นได้อย่างไร?”
เฮ่อเหล่าไท่จวินถอนใจ ดูไปคล้ายจันทร์เสี้ยวคว่ำ “เจ้าพูดถูก เป็นข้าเองที่ใจร้อนเกินไป”
ที่เรือนของฮูหยินจิ่งอันป๋อ เมื่อฉู่เหลียนก้าวออกไปก่อนโจวซื่อ ฮูหยินจิ่งอันป๋อก็รั้งตัวโจวซื่อไว้เพื่อกล่าวส่วนตัวสองสามคำ
“ท่านแม่ มีสิ่งใดหรือเจ้าคะ?”
สีหน้าฮูหยินจิ่งอันป๋อซีดเซียวยามนางเอนกายพิงหัวเตียง ทุกชั่วขณะหนึ่งนางยังต้องไอค่อกแค่ก นางจับมือโจวซื่อ เอ่ยช้า ๆ “ตอนนี้ใกล้เปลี่ยนฤดูแล้ว ในจวนยังมีเรื่องต้องเตรียมการอีกมาก ลำบากเจ้าแล้ว”
“ท่านแม่กล่าวอะไรเจ้าคะ? ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นหน้าที่ของข้าทั้งสิ้น” โจวซื่อสบายใจนักยามได้ยินถ้อยคำของแม่สามี ความน้อยเนื้อต่ำใจยามอยู่ในเรือนชิ่งสี่เริ่มเลือนราง นางเค้นรอยยิ้มสดใสออกมา
“แม่เคยทำหน้าที่เจ้ามาก่อน ย่อมทราบว่าเหน็ดเหนื่อยเพียงใด ระหว่างที่ดูแลจวนก็อย่าได้ลืมดูแลตนเองด้วย”
“อืม! เข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านแม่”
หยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ฮูหยินจิ่งอันป๋อก็เอ่ยอีกครั้ง “ภรรยาซานหลางเพิ่งแต่งเข้าครอบครัวเราไม่นาน ในฐานะพี่สะใภ้ใหญ่ เจ้าต้องช่วยดูแลนางมากหน่อยนะ เหตุใดจึงไม่เพิ่มเครื่องประดับให้นางสักเล็กน้อยในฤดูนี้เล่า?”
ความเกรี้ยวกราดปะทุขึ้นอีกครั้ง
เช่นนั้นที่แม่สามีเอ่ยถ้อยคำปลุกปลอบนางทั้งหมดก็เพื่อร้องขอแทนฉู่เหลียน! เหอะ! ดีเหลือเกิน! ผู้อาวุโสในตระกูลล้วนแต่คิดถึงบ้านสาม มิใช่เพียงเพราะซานหลางออกจากบ้านไปชายแดนเหนือหรอกหรือ? ทว่าซานหลางล้วนเป็นผู้เลือกที่จะไปเอง มิใช่ว่าต้องกล่าวโทษฉู่เหลียนที่มิอาจรั้งเขาไว้ที่นี่ได้หรอกหรือ?
ทุกคนล้วนแต่ต้องการให้นางชดเชยทุกสิ่งแทนซานหลางที่หายตัว ทว่าใครเล่าจะชดเชยเรื่องเหล่านี้ให้แก่นางบ้าง?!
ทั้งนางและฉู่เหลียน ต่างเป็นภรรยาเอกของจวนนี้ด้วยกันทั้งสิ้น!