ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 74 ปลอมตัวเยี่ยมเยือนภัตตาคารกุ้ยหลิน (1)
ฉู่เหลียนตั้งใจมาเยี่ยมเยือนร้านแบบไม่เผยตัวในวันนี้ นางจึงแต่งตัวด้วยชุดที่ดูเรียบง่าย ไม่สะดุดตา กระทั่งรถม้าที่ใช้ก็ยังไม่มีตราสัญลักษณ์ของจวนจิ่งอันแต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อรวมกลุ่มคนทั้งหมดที่ติดตามมาด้วยกันแล้ว คนส่วนมากยังนึกว่านางเป็นเพียงภรรยาของเจ้าหน้าที่ระดับล่างเท่านั้น
ภัตตาคารกุ้ยหลินตั้งอยู่ลึกเข้าไปในตลาดเก่าตะวันตก ตั้งแต่ที่สำนักการคมนาคมทำการแบ่งเขต พื้นที่ทั้งบริเวณตลาดตะวันตกนี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของถนนอันเล่อ
ถนนอันเล่อเป็นเขตที่อยู่อาศัยของประชาชน ร้านค้าส่วนใหญ่แถบนี้ถูกซื้อและเปลี่ยนเป็นบ้านเล็ก ๆ ของคนทั่วไป จึงไม่ต้องเอ่ยถึงร้านอาหารสักร้าน ยามนี้ภัตตาคารกุ้ยหลินเป็นเพียงกิจการเดียวที่ยังเหลืออยู่
แม้ชาวบ้านในเขตถนนอันเล่อมิใช่คนยากจน ทว่าจำนวนครอบครัวที่สามารถจ่ายเงินทานอาหารในร้านได้ก็มีไม่มาก ในยุคสมัยเช่นนี้ การทานอาหารที่ร้านอาหารเทียบเท่ากับการทำอาหารทานเองที่บ้านได้หลายมื้อ
ตั้งแต่เริ่มกิจการร้านอาหารนี้ ภัตตาคารกุ้ยหลินก็ไม่ได้มีลูกค้ามากนัก อาหารที่มีก็มิได้พิเศษอะไร ซึ่งแทบจะสู้อาหารข้างทางมิได้ กิจการจึงจัดว่าย่ำแย่
หากมิใช่ว่าร้านนี้มีความหมายพิเศษต่อเฮ่อเหล่าไท่จวินก็คงถูกปิดทำการไปหลายสิบปีแล้ว เพราะกิจการจะดำเนินต่อไปได้อย่างไร หากมีแต่ขาดทุนเช่นนี้
รถม้าของฉู่เหลียนวิ่งอยู่บริเวณหน้าตรอกแห่งหนึ่งบนถนนอันเล่อ ยามนี้ใกล้เที่ยงแล้ว จึงเริ่มมีควันลอยออกมาจากปล่องไฟตามบ้านเรือน ทั้งยังมีเด็ก ๆ วิ่งเล่นกัน มีผู้คนหาบของเดินไปมาขวักไขว่ ทั่วทั้งใบหน้าล้วนเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ทว่ากลับยังคงยิ้มอย่างมีชีวิตชีวา
ฉู่เหลียนยกม่านขึ้นเล็กน้อย และมองดูว่าการใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาในราชวงศ์อู่นี้เป็นอย่างไร ทุกคนที่ผ่านไปผ่านมาล้วนแต่มีชีวิตชีวา ร่าเริงเสียจนฉู่เหลียนไม่อาจละสายตา
เวิ่นฉิงที่เห็นฉู่เหลียนเลิกม่านมองดูทิวทัศน์ภายนอกเช่นนั้น นางกลับตีความไปว่าฉู่เหลียนคงหมดความอดทนกับการเดินทางแสนยาวไกลนี้แล้ว จึงเอ่ยขึ้น “นายหญิงสามเจ้าคะ อีกเพียงสองตรอกก็ถึงภัตตาคารกุ้ยหลินแล้วเจ้าค่ะ”
เวิ่นฉิงและเวิ่นหลานเคยอาศัยอยู่ในจวนร่วมกับจงหมัวมัว ทว่าบ้านเดิมของพวกนางอยู่ติดกับถนนอันเล่อ จึงคุ้นเคยกับพื้นที่แถวนี้ที่สุด ทั้งยังเคยผ่านภัตตาคารกุ้ยหลินแห่งนั้นอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้เข้าร้านมาก่อน
ฉู่เหลียนปล่อยม่านลง หันมาจิบน้ำผสมน้ำผึ้งในถ้วยชาเบื้องหน้า นางเอียงคอไปทางหนึ่ง เอ่ยปาก “อีกประเดี๋ยวเมื่อถึงร้านกุ้ยหลินแล้ว พวกเจ้าห้ามเปิดเผยตัวตนข้า เข้าใจหรือไม่? ”
แม้เวิ่นฉิงและเวิ่นหลานจะสงสัยเหตุผลของนายหญิงสาม แต่พวกนางก็ฉลาดพอที่จะไม่เอ่ยถามต่อ ทำเพียงพยักหน้าตอบรับพร้อมกัน
ดังคาด ไม่นานนักรถม้าก็ถึงหน้าภัตตาคารกุ้ยหลิน
ภัตตาคารกุ้ยหลินตั้งอยู่หัวมุมถนน เมื่อครั้งที่พื้นที่นี้ยังเป็นตลาดใต้อยู่ นับว่าเป็นทำเลทอง ทว่าเมื่อกลายเป็นเขตพักอาศัยแล้ว ร้านค้าโดยรอบก็ทยอยปิดตัวลง จนท้ายที่สุดเหลือเพียงภัตตาคารกุ้ยหลินเพียงแห่งเดียวที่ยังคงเปิดทำการ
ถนนอันเล่อแห่งนี้มีเสน่ห์เฉพาะตัว คนส่วนมากที่เดินผ่านเป็นเพียงชาวบ้านทั่วไปซึ่งทำอาหารทานเองที่บ้าน
ฉู่เหลียนลงจากรถม้าโดยมีเวิ่นฉิงช่วยประคอง
นางเงยหน้าขึ้นมองภัตตาคารกุ้ยหลิน
อาจด้วยลักษณะของอาคารตลาดใต้ในอดีต ภัตตาคารกุ้ยหลินจึงมีทางเข้าที่ไม่ใหญ่นัก และมีเพียงชั้นเดียว
ป้ายไม้จันทน์เหนือประตูถูกเขียนด้วยหมึกดำ ‘ภัตตาคารกุ้ยหลิน’ ลายมือนั้นดูทั้งหนักแน่นและมีเสน่ห์ ทว่าป้ายร้านนั้นทั้งเก่าทั้งปลวกขึ้น ซ้ำยังเริ่มหลุดร่อน ทำให้ภัตตาคารดูเสื่อมโทรมยิ่งนัก
แน่นอนแล้วว่าร้านอาหารแห่งนี้ไม่ค่อยได้รับการดูแลรักษา
สายตาฉู่เหลียนค่อย ๆ มองจากป้ายร้านเข้าไปในตัวร้าน
ยามนี้ใกล้เที่ยงแล้ว ทว่าทางเข้าร้านกลับไร้ผู้คน ไร้ชีวิต มีเพียงนกกระจอกตัวน้อยไม่กี่ตัว ที่เบื้องหลังโต๊ะกั้นนั้นมีเด็กหนุ่มสวมชุดผ้าเนื้อหยาบอายุราว ๆ ไม่เกินสิบห้าสิบหกปีกำลังนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ เขากรนเสียงดัง ซ้ำยังทำน้ำลายหกไปทั่วโต๊ะกั้น
เห็นภัตตาคารอยู่ในสภาวะเช่นนี้ ฉู่เหลียนย่นคิ้วเข้าหากัน ส่วนเวิ่นฉิงนั้นโกรธเสียจนไม่อาจปิดซ่อนสีหน้าเลวร้ายไว้ได้
ฉู่เหลียนก้าวเข้าร้านและย่างกรายเข้าใกล้เด็กหนุ่มที่หลับอยู่ผู้นั้น เขายังคงไม่ตื่น และดูท่าว่าจะหลับสนิทเสียด้วย
เวิ่นฉิงก้าวเข้าไปผลักเขา เด็กหนุ่มเซไปตามแรงผลักเสียจนท้ายที่สุดก็ตื่นจากฝันอย่างกะทันหัน
“มันผู้ใด! ใครผลักข้า! ”
เด็กหนุ่มถูกปลุกจากการงีบหลับอันแสนสบาย เขาเงยหน้าขึ้นส่งสายตากราดเกรี้ยวใส่คนรอบกาย
เมื่อเห็นฮูหยินน้อยผู้หนึ่งกับสาวใช้สองนาง สีหน้าเขาดูอับอายไปชั่วครู่ ทว่าเมื่อมองดูใกล้ ๆ ก็เห็นว่าพวกนางมิได้แต่งกายดีนัก ความหาญกล้ากลับคืนมาอีกครั้ง
เด็กหนุ่มลุกขึ้นมองเวิ่นฉิงด้วยหางตา ทำทีปัดฝุ่นที่มองไม่เห็นออกจากเสื้อ
“เจ้าทำอะไร! ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังนอนอยู่! ”
เวิ่นฉิงนิ่วหน้า เท้าสะเอวโต้กลับ “ข้าทำอะไรงั้นหรือ?! ที่นี่มิใช่ร้านอาหารหรอกหรือ?! พวกเรามาเพื่อทานอาหาร มิเช่นนั้นจะให้เรามาทำอะไรได้อีก? ”
เด็กหนุ่มทำหน้าบึ้ง แยกเขี้ยว ใช้หางตามองฉู่เหลียนและสาวใช้กล่าวตอบ “ขอโทษด้วย วันนี้ร้านเราไม่เปิดทำการ ผู้ดูแลร้านไม่อยู่ ไปหาทานที่อื่นเถอะ! ”
หา? ไม่เปิดหรือ?
เวิ่นฉิงทำจมูกฟุดฟิดสูดดมกลิ่นอาหารที่มาจากในครัวหลังร้าน ทั้งยังเหลียวมองดูประตูร้านที่เปิดกว้าง ร้านอาหารจะปิดได้อย่างไร?
ฉู่เหลียนที่ยืนอยู่อีกทางหนึ่งยังคงนิ่งเงียบ ดวงตาสดใสจ้องมองเสี่ยวเอ้อร์ ก่อนจะสังเกตเห็นโถงใหญ่เบื้องหลังเขา
เวิ่นฉิงลอบมองสีหน้าฉู่เหลียน เห็นนายหญิงมิได้มีคำสั่งใด จึงเอ่ยถามต่อไป
“ที่นี่ทำกิจการอย่างไรกัน? ประตูร้านก็เปิดกว้างอยู่แต่เจ้ากลับไล่ลูกค้าให้ไปหาทานที่อื่นเยี่ยงนั้นหรือ? หากไม่อยากทำการค้าแล้วจะเปิดประตูร้านไว้ทำไม? ปิดทั้งประตู ปิดทั้งร้านไปเลย! ”
เสี่ยวเอ้อร์ได้ยินคำเวิ่นฉิงก็ยิ่งโมโห เขาเป็นญาติของผู้ดูแลร้านแห่งนี้ ด้วยสายสัมพันธ์นั้น จึงทำให้เขาต้องมาทำงานในร้านกุ้ยหลิน และเขาก็ไม่เคยต้องทนรับอารมณ์เด็กสาวมาก่อนดังเช่นในยามนี้ อารมณ์กรุ่นร้อนจึงก่อตัวขึ้นรวดเร็ว
“เจ้าเป็นใครกล้ามาวิจารณ์วิธีทำกิจการของพวกเรา ไป ไปหาดูเสียว่าใครเป็นเจ้าของกิจการแห่งนี้ จะได้รู้เสียบ้างว่าใช่เรื่องที่เจ้าควรแส่หรือไม่! ไสหัวไป! ”
เสี่ยวเอ้อร์ไม่เพียงปฏิบัติต่อลูกค้าอย่างไม่เคารพ ซ้ำร้ายยังวางโตใส่ ฉู่เหลียนเดินสำรวจเข้าไปยังโถงหลักโดยไม่เสียเวลาพูดคุยด้วย มุมปากข้างหนึ่งของนางยกขึ้น
เสียงในห้องโถงใหญ่ดึงดูดความสนใจของใครบางคนที่อยู่ด้านในร้าน
ไม่นานนัก เสียงของสตรีวัยกลางคนก็ดังลอดมาจากหลังร้าน “ใกล้ถึงเวลาทานข้าวแล้ว อาไค่ เจ้าคุยกับใครอยู่? ”
ฉู่เหลียนได้ยินเสียงนั้นดังขึ้นก่อนจะเห็นใครคนหนึ่งผลักผ้าม่านเดินมาจากด้านหลัง เป็นสตรีวัยกลางคนสวมชุดลายดอกไม้สีคราม
สตรีวัยกลางคนผู้นี้มีใบหน้ายาวออกท้วม ดวงตานางเล็กเสียจนยามนางยิ้มตากลายเป็นเส้นขีดเดียว
เมื่อนางมาถึงโถงหลักจึงได้เห็นฉู่เหลียนและสาวใช้ยืนอยู่ สตรีวัยกลางคนทำหน้าแปลกใจ นางก้าวมาข้างหน้า ยกยิ้มเป็นมิตร “ไม่ทราบว่าแม่นางมีธุระอะไรกับพวกเราหรือเจ้าคะ? ”
เวิ่นฉิงโกรธจนอยากหัวเราะ ร้านอาหารแห่งนี้นี่ ทำไมทุกคนล้วนแต่ถามลูกค้าว่ามาที่นี่เพื่ออะไร สตรีผู้นี้ต้องการเล่นตลกอะไรอีกหรือไม่?
ฉู่เหลียนคร้านจะเอ่ยปาก นางมองเวิ่นฉิงที่มีความสามารถพิเศษในการเข้าใจคำสั่งผ่านทางสายตาของนางได้ เวิ่นฉิงเมื่อรับคำสั่งมา นางก็หันไป เดินไปสองก้าวและหยุดอยู่ตรงทางเข้า ก่อนจะชี้นิ้วไปยังป้ายเหนือศีรษะ
“มิใช่ว่าตัวอักษรเหล่านี้คือคำว่า ‘ภัตตาคารกุ้ยหลิน’ หรอกหรือ? พวกเจ้ามีคำว่า ‘ภัตตาคาร’ ตัวโต ๆ อยู่บนป้ายเหนือประตูนี่ นายหญิงของพวกข้าจึงได้แวะมาที่นี่เพื่อทานอาหาร หรือจะบอกว่าพวกข้าทำเช่นนั้นในร้านอาหารแห่งนี้มิได้? ”
สตรีวัยกลางรู้สึกอับอายยิ่งนัก นางนึกอยากปฏิเสธแขกเหล่านี้ เนื่องด้วยวันนี้มิได้ซื้อของจากตลาดใต้มามากมายเท่าใด จัดเตรียมของแค่เพียงพอให้คนในร้านทานเท่านั้น ทว่าบ่าวรับใช้ชายที่ดูหนักแน่นเหล่านั้นกลับดึงดูดความสนใจของนาง พวกเขาก้มหัวเคารพฉู่เหลียนด้วยความนอบน้อมขณะเอ่ยรายงานบางสิ่ง คำพูดของนางจึงติดอยู่ในลำคอ
นางยกยิ้มอีกครั้ง เอ่ยอย่างสุภาพ “ข้าต้องขออภัยด้วย ร้านเรามิค่อยได้ต้อนรับลูกค้ามากนัก อาไค่เพิ่งเริ่มทำงานไม่นาน จึงไม่คุ้นเคยกฎเกณฑ์ใด ให้อภัยเขาเถิดนะเจ้าคะ เรียนเชิญฮูหยินข้างในเจ้าค่ะ”