ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 75 ปลอมตัวเยี่ยมเยือนภัตตาคารกุ้ยหลิน (2)
ฉู่เหลียนเดินตามสตรีผู้นั้นไปถึงโต๊ะในห้องโถงใหญ่ เมื่อมองไปที่โต๊ะก็เห็นฝุ่นเกาะอยู่ เวิ่นฉิงจึงรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าตนเช็ดฝุ่นออก ก่อนประคองฉู่เหลียนให้นั่งลง
อาไค่จำใจเดินตามหลังสตรีวัยกลางคนผู้นั้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ หากสตรีผู้นั้นไม่รั้งแขนเขาไว้ เขาย่อมอาละวาดอีกครั้งหนึ่งแน่
นอกจากฝุ่นบนโต๊ะแล้ว เวิ่นฉิงยังเห็นฝุ่นเกาะบนถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะด้วยเช่นกัน อันที่จริงแล้วนางเห็นว่ามีฝุ่นเกาะอยู่ทุกที่นั่นแหละ จึงไม่อยากเสียเวลาทำความสะอาดอีก นางยืนอยู่เบื้องหลังฉู่เหลียนก่อนจะเอ่ยปากถามผู้ที่อยู่กินในร้านอาหารมานาน “ได้ยินว่าร้านอาหารนี้เปิดมาหลายปีแล้ว ฮูหยินของพวกข้าชอบทานอาหารดี ๆ ไม่ทราบว่าอาหารแนะนำของร้านเจ้าคืออะไร? ”
สตรีวัยกลางคนถึงกับพูดไม่ออก ภัตตาคารกุ้ยหลินไม่ได้ทำการมานานหลายเดือนแล้ว เนื่องจากพ่อครัวประจำร้านได้ลาออกไป เช่นนี้พวกนางจะมีอาหารแนะนำได้อย่างไรเล่า? นางคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนตอบ “แม่นางผู้นี้ช่างรู้ดีเสียจริง ร้านอาหารของเราเปิดมาหลายปี ย่อมมีอาหารแนะนำอยู่บ้างแน่นอน มิเช่นนั้นจะดำเนินการมาตั้งนานได้อย่างไร? ”
เวิ่นฉิงแค่นเสียงเย้ยในใจ ทว่ามิได้แสดงสีหน้าใดออกมา
“โอ? เช่นนั้นจงบอกรายชื่อให้ฮูหยินของเราได้ฟังเถิด ฮูหยินข้าเคยทานอาหารมาแล้วจากทั่วอาณาจักรนี้ ย่อมชมชอบของดี ของประณีต”
สตรีผู้นั้นมิคาดว่าเวิ่นฉิงจะถามต่อ สีหน้านางซีดเผือดทันใด ยามนี้ภัตตาคารกุ้ยหลินไม่มีพ่อครัวแล้ว นางจะทราบชื่ออาหารจานพิเศษได้อย่างไร?
เมื่อเห็นอาไค่อยากก้าวออกไปขับไล่ลูกค้าอีก สตรีผู้นั้นก็รีบจับแขนรั้งตัวเขาไว้ ดวงตากวาดไปทั่วห้องพยายามหาทางออก เมื่อไม่เห็นหนทาง นางจึงยิ้มอีกครั้งแล้วกล่าว “ฮูหยิน ข้าไร้การศึกษา ไม่ทราบชื่ออาหารชั้นสูงเหล่านั้น เหตุใดมิให้ข้าเข้าไปในครัวเพื่อแจ้งให้พ่อครัวทำให้ท่านได้ลองทานดูเล่าเจ้าคะ? ”
ร้านอาหารแบบใดกันที่พนักงานในร้านจะไม่ทราบชื่ออาหารจานเด่นของตน สตรีผู้นี้เห็นพวกนางโง่งมหรืออย่างไร?
เวิ่นฉิงส่งเสียงฮึ่ม นางกำลังจะโต้ตอบลูกไม้ของสตรีเจ้าเล่ห์เบื้องหน้านี้ ทว่าฉู่เหลียนส่งสายตาให้นางก่อน
สาวใช้กัดริมฝีปาก โบกมือให้สตรีผู้นั้น “เช่นนั้นก็รีบให้พ่อครัวทำอาหารมา ฮูหยินข้าต้องการอาหารแนะนำทุกรายการ อย่างละหนึ่งจาน รีบเข้า”
“แน่นอนเจ้าค่ะ ฮูหยินโปรดรอสักครู่” กล่าวดังนั้น สตรีผู้นั้นก็หันไปมองอาไค่ นางลดเสียงลงแล้วกล่าว “อาไค่ มากับข้าหลังร้าน เตรียมน้ำชาให้ลูกค้า”
ในที่สุด นางก็ลากตัวอาไค่ เด็กหนุ่มหัวเสียออกไปจาก ณ ที่ตรงนั้นจนได้
เมื่อเวิ่นฉิงเห็นสตรีผู้นั้นและบริกรพ้นเขตที่จะได้ยินแล้ว นางจึงรีบหันมาถาม “นายหญิงสาม ภัตตาคารกุ้ยหลินนี้ไม่ได้ทำกิจการต่อแน่แล้ว เหตุใดท่านจึงให้บ่าวสั่งอาหารเล่าเจ้าคะ? ”
ฉู่เหลียนขยิบตาซุกซนให้กับเวิ่นฉิง “ข้าอยากเห็นว่าคนพวกนั้นจะเล่นลูกไม้ใด”
เวิ่นฉิงได้แต่เกาหัวด้วยความไม่เข้าใจ และไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดต่อดี
สตรีวัยกลางคนผู้นี้คือป้าใหญ่จากบ้านฝ่ายบิดาของอาไค่ นามหวั่งหลู ส่วนมากคนมักเรียกนางหวั่งหลูซื่อ ทั้งตระกูลหวั่งเป็นสินเดิมของเฮ่อเหล่าไท่จวินตั้งแต่แต่งเข้าสกุลเฮ่อ โดยหวั่งหลูถูกส่งมาดูแลภัตตาคารกุ้ยหลิน แต่ตั้งแต่ตลาดปิดตัวลง ภัตตาคารกุ้ยหลินก็ย่ำแย่ถึงขีดสุด บัญชีรายรับถึงกับติดตัวแดง เมื่อหลายปีก่อนผู้ดูแลร้านคนเดิมก็ได้จากไป สกุลหวั่งจึงเข้ามาดูแลแทน
เฮ่อเหล่าไท่จวินทราบดีว่าภัตตาคารกุ้ยหลินนั้นมีแต่จะเข้าเนื้อ กำไรไม่มี ขาดทุนทุกเดือนไป ทว่ากลับไม่สามารถปิดตัวลงได้ เนื่องจากความทรงจำที่มี แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่ทราบว่าผู้ดูแลร้านในยามนี้จะเป็นสกุลหวั่งดูแลอยู่
เมื่อเดินเข้าถึงหลังร้าน อาไค่ก็ดึงแขนหวั่งหลูซื่อ “ท่านป้าใหญ่ ท่านจะเก็บคนพวกนั้นไว้ทำไม? แค่ไล่ออกไปก็พอแล้ว! ข้ามองดูก็รู้แล้วว่านางเป็นเพียงฮูหยินของเจ้าหน้าที่เล็ก ๆ เท่านั้น จะมาเทียบระดับกับจวนจิ่งอันได้อย่างไร? ”
หวั่งหลูซื่อจ้องมองเขา “เจ้ารู้จักแต่ไล่ลูกค้า! เดือนนี้เจ้าไล่ลูกค้าไปกี่คนแล้วเล่า? เรามีหน้าที่ช่วยจวนจิ่งอันจัดการร้าน แต่หลายเดือนมานี้เรากลับมิได้ทำรายได้แม้แต่นิด หากตรวจสอบดูในบัญชี ย่อมดูไม่ดีแน่ อีกประการหนึ่ง เจ้าไม่เห็นบ่าวรับใช้ที่ฮูหยินผู้นั้นพามาหรือ? หากไปมีปัญหาด้วยย่อมไม่ดีอีกเช่นกัน ยามนี้ลุงเจ้าก็ยังไม่กลับมา! ”
อาไค่นิ่วหน้า “ป้าใหญ่ ท่านขี้ขลาดเกินไปแล้ว รู้ ๆ กันอยู่ว่าภัตตาคารกุ้ยหลินมิได้เปลี่ยนเจ้าของก็เพราะเฮ่อเหล่าไท่จวิน ตราบใดที่เฮ่อเหล่าไท่จวินยังอยู่ ร้านกุ้ยหลินก็ยังอยู่ได้ พวกเราอยู่กันได้สบาย ๆ โดยไม่ต้องทำอะไรที่นี่เลยก็ย่อมได้ ฮูหยินของเจ้าหน้าที่เล็ก ๆ จะทำอะไรพวกเราได้เล่า? หากนางได้ยินว่าเรามีจวนจิ่งอันคอยหนุนหลังอยู่ นางย่อมกลัวจนฉี่ราดไปแล้ว! ”
หวั่งหลูซื่อถอนใจ “ก็ได้ ๆ อาไค่ ข้าย่อมทราบเรื่องนั้นดี แต่ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องรับมือกับพวกนางให้ได้เสียก่อน! อยากรู้นักว่านางจิ้งจอกผู้นั้นอาศัยอยู่ถ้ำใดกัน นางย่อมต้องยั่วยวนบุตรชายของเจ้าหน้าที่สักคนแล้วนำเอาบ่าวไพร่ออกมาโอ้อวดเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังกล้าเอ่ยว่าทานอาหารดี ๆ มาทั่วอาณาจักร ฮึ! ข้าว่านางไม่เคยแม้แต่จะได้ลองทานของว่างจากแม่ครัวโจวแห่งจวนจิ่งอันแน่! เอาล่ะ พอแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะทำอาหารอะไรสักอย่างไปให้นาง พอนางทานเสร็จก็คิดเงินเสีย แล้วนำเงินไปซื้อไก่ย่างสักครึ่งตัวมาเป็นมื้อเย็นวันนี้”
เมื่ออาไค่ได้ยินหวั่งหลูซื่อสั่ง ก็หัวเราะร้ายกาจ “เช่นนั้นก็ตามที่ป้าใหญ่สั่งขอรับ”
ทั้งสองเข้าครัวไปได้ครู่หนึ่ง หวั่งหลูซื่อก็เริ่มทำอาหาร นางทำอาหารง่าย ๆ เพื่อซื้อเวลาในการทำอาหารจานอื่น ๆ ต่อไป
หวั่งหลูซื่อนำถ้วยกระเบื้องขาวที่เต็มไปด้วยเนื้อออกมา เมื่ออาไค่เห็นก็รีบเข้าไปห้าม “ป้าใหญ่ นั่นมันของพวกเรา! หากทำให้คนพวกนั้นทานมิใช่ว่าเสียของหรือ? ”
อาไค่ชอบทานเนื้อมาก เขาอ้อนขอหวั่งหลูซื่ออยู่หลายวันกว่านางจะยอมทำให้สักหม้อหนึ่ง ดังนั้นจะยอมมอบให้กับฉู่เหลียนได้อย่างไร?
หวั่งหลูซื่อมองท่าทางตลก ๆ ราวกับเด็กน้อยของอาไค่ด้วยความขบขัน ทว่ามิได้คิดจะทำอาหารจากเนื้ออีก นางก็เก็บเนื้อกลับเข้าไปและมองไปรอบครัว จากนั้นจึงทำอาหารบางอย่างโดยมิได้ใส่ใจนัก ก่อนจะสั่งอาไค่ให้นำไปส่งที่โถงหลัก
หนึ่งก้านธูปต่อมา อาไค่ก็กลับมาพร้อมอาหารในมือ
เขาวางถ้วยลงบนโต๊ะเสียงดัง
จากนั้นจึงเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิ กล่าว “ฮูหยิน ท่านดูให้ดี อาหารเหล่านี้คืออาหารแนะนำของภัตตาคารกุ้ยหลิน! ”
ฉู่เหลียนมองของบนโต๊ะด้วยสีหน้านิ่งเฉย สองจานตรงหน้ามีบางอย่างที่นางบอกไม่ได้ว่าคืออะไรอยู่ในนั้น อีกจานเต็มไปด้วยน้ำแกง ทั้งยังมีเศษผักกาดลอยเท้งเต้งอย่างน่าเศร้า ส่วนจานอื่น ๆ ล้วนเป็นของที่ถูกย่างมานานเสียจนสีเปลี่ยน ซึ่งนางก็มิอาจบอกได้ว่ามันเคยเป็นอะไรมาก่อน
จานทั้งสี่ดูอย่างไรก็ทานไม่ได้
คนพวกนี้คิดว่านางตาบอดหรือ?
ไม่รอเวิ่นฉิงเอ่ยปาก ฉู่เหลียนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ “อาหารแนะนำหรือ? ข้าเกรงว่าพวกเจ้าคงจะทำมาให้หมูทานน่ะสิไม่ว่า! ”
กล่าวดังนั้น ฉู่เหลียนก็ปัดจานทั้งสี่ลงพื้นโดยไม่ลังเล เสียงจานกระเบื้องตกกระทบพื้นจนแตก และเกิดเป็นเสียงดังบาดหูไปทั่วทั้งห้องโถง
แม้แต่เวิ่นฉิงและเวิ่นหลานก็ยังตกใจกลัวในการกระทำของฉู่เหลียนครานี้ ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของบริกรจอมหยิ่งผยองผู้นั้นแล้ว สองสาวใช้ต่างรู้สึกยินดียิ่ง! ในที่สุดก็คลายความโมโหในใจลงได้แล้ว ทั้งกายและใจยามนี้รู้สึกเบาสบายราวกับยกหินหนัก ๆ ออกจากอก