ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 76 ให้บทเรียนบ่าวไพร่ชั้นเลว
ทันทีที่เห็นเหตุการณ์เบื้องหน้า ดวงตาอาไค่ก็แดงก่ำด้วยความเกรี้ยวกราด
เขาตกตะลึงจริง ๆ ฮูหยินน้อยผู้นี้ดูใจเย็นและสงบนิ่งมาตลอดตั้งแต่เข้าร้าน ทั้งยังดูเป็นคนมีความอดทน เนื่องจากนางไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว ปล่อยให้สาวใช้ปากจัดผู้นั้นพูดแทนเสียหมด นอกจากนั้นนางยังดูเยาว์วัยเกินกว่าจะกระทำเช่นนี้ อาไค่คิดไปเองว่านางคงอ่อนแอรังแกได้ จึงมิคาดว่านางจะปัดอาหารทั้งหมดทิ้งยามโมโห
อีกทั้งฮูหยินน้อยผู้นี้ยังกล้ากล่าวว่าอาหารพวกเขาเหมือนเป็นอาหารหมู ทว่าก่อนพวกนางเข้ามา อาหารเหล่านี้จะมีผู้ใดทานนอกจากครอบครัวเขา! เช่นนั้นจะมิได้หมายความว่านางเรียกครอบครัวเขาเป็นหมูหรอกหรือ?
อาไค่ที่หน้าแดงก่ำอยู่นั้น เขาเป็นคนควบคุมอารมณ์ไม่เก่งและมักจะแสดงความเกรี้ยวกราดอยู่เสมอ อีกทั้งเมื่อท่านลุงใช้เส้นสายมอบงานในร้านกุ้ยหลินให้ อาไค่ยิ่งไม่เคยต้องอดทนกับเรื่องไร้สาระเหล่านี้ เขาจะทนรับกับการหยามหมิ่นครั้งนี้ได้อย่างไร?
เขาตกตะลึงเสียจนพูดไม่ออกในตอนแรก ก่อนจะตะโกนลั่น “เหอะ! เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ถึงกับกล้าสร้างปัญหาที่ภัตตาคารกุ้ยหลินของพวกข้า! ลองไปถามชาวบ้านรอบ ๆ นี้ดูเอาเถอะว่าภัตตาคารกุ้ยหลินนี้เป็นของใคร! ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อนเลย หากไม่อยากให้เรื่องราวพวกนี้แพร่งพรายออกไป ก็จ่ายเงินมาแล้วไสหัวไป!”
เสียงเอ็ดตะโรในโถงใหญ่ดังไปถึงหวั่งหลูซื่อผู้อยู่หลังร้าน นางเร่งเดินออกมา เมื่อเห็นพื้นเลอะเทอะ ดวงตาก็พลันเบิกโพลง ถามตะกุกตะกัก “เกิด… เกิดอะไรขึ้น?”
อาไค่หันมาบอกนาง “ฮูหยินผู้เย่อหยิ่งผู้นี้เป็นคนโยนลงพื้น!”
“อะไรนะ!”
ฉู่เหลียนมองอาไค่อย่างใจเย็น นางทำทีไม่ใส่ใจบทสนทนาของทั้งคู่ เพียงลุกขึ้นและปัดฝุ่นบนมือ “หากข้าไม่จ่ายและไม่ยอมไปเล่า? เจ้าจะทำเช่นไรกับข้า?”
อาไค่คาดไม่ถึงว่าฉู่เหลียนจะดื้อดึงทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าจวนจิ่งอันหนุนหลังเขา นางย่อมต้องคิดทบทวนซ้ำ!
ดังนั้น เขาจึงยิ่งดุร้ายกว่าเดิม
“เราจะทำอะไรเจ้าน่ะหรือ? ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่าการอยู่ในคุกเป็นอย่างไร!”
เวิ่นฉิงและเวิ่นหลานยืนกันอยู่เบื้องหน้าคอยปกป้องฉู่เหลียนด้วยสีหน้าโมโหร้าย ทั้งร่างพวกนางเกร็งเขม็งพร้อมรับมือ หากฉู่เหลียนสั่งเมื่อใด พวกนางก็พร้อมจัดการเจ้าคนสามหาวนี่เมื่อนั้น
ฉู่เหลียนแค่นหัวเราะ ดูเหมือนการเดินทางครั้งนี้จะไม่เสียเปล่า
ยามนี้ได้เห็นกับตาตนเองแล้วว่าร้านกุ้ยหลินเป็นอย่างไร นางจึงไม่จำเป็นต้องเล่นละครตบตากับบ่าวไพร่สองคนนี้ต่อไปแล้ว ฉู่เหลียนสั่งการบ่าวชายด้านหลังด้วยสายตา
ก่อนที่อาไค่และหวั่งหลูซื่อจะได้อาละวาดต่อ ทั้งคู่ต่างก็ถูกบ่าวชายร่างกำยำจับมัดเสียก่อน
หวั่งหลูซื่อร้องออกมาด้วยความโมโห “เจ้ากล้ามัดพวกข้าหรือ! พวกข้าล้วนเป็นบ่าวไพร่ของจวนจิ่งอัน! จะมัดพวกข้าเช่นนี้มิได้!”
ฉู่เหลียนเดินวนรอบ ๆ คนทั้งคู่รอบหนึ่ง จากนั้นก็วนอีกรอบพลางครุ่นคิดบางสิ่ง “จวนจิ่งอันหรือ? ข้าก็กำลังจะจัดการสั่งสอนพวกบ่าวสารเลวในนามของจวนจิ่งอันอยู่อย่างไรล่ะ!”
“เจ้า! เจ้ากล้าดีอย่างไร! ไม่กลัวจวนจิ่งอันจะคิดบัญชีลงโทษเจ้าเลยหรือ?!” อาไค่ดิ้นไปมา ดวงตายามนี้แดงก่ำเป็นสีเลือด ทว่าอย่างไรก็เป็นเพียงวัยรุ่นผู้หนึ่ง ย่อมมิอาจเทียบเคียงบ่าวรับใช้ผู้มีวรยุทธ์ได้ ความพยายามนั้นไม่ก่อให้เกิดผล มีก็แต่เชือกที่มัดแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม
“นังแพศยา! รอก่อนเถอะ! ลุงข้าไปแจ้งมือปราบแล้ว!”
เวิ่นฉิงกลั้นหัวเราะสุดความสามารถ หากตัวตลกเบื้องหน้านางทั้งสองนี้ทราบว่านายหญิงเป็นใคร ย่อมต้องกลัวจนฉี่ราด!
เมื่ออาไค่เอ่ยจบ พวกนางก็ได้ยินเสียงคนวิ่งมาจากทางประตูร้าน จากนั้นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็วิ่งหอบหายใจเข้ามา
ชายผู้นั้นชี้มายังกลุ่มของฉู่เหลียนก่อนจะหันไปกล่าว “เป็นคนพวกนี้ที่เข้ามาก่อปัญหาในภัตตาคารเราขอรับ! โปรดจับพวกมันโดยไวด้วยเถิดท่าน!”
จากนั้น มือปราบรูปร่างสูงใหญ่สีหน้าเกรี้ยวกราดห้าคนก็ตรงเข้ามาในห้องโถง ทุกคนต่างมีดาบห้อยไว้ที่เอว
หนึ่งในมือปราบท่าทางแข็งแกร่งผู้มีหนวดเคราเต็มหน้า คล้ายจะเป็นหัวหน้า เขาเริ่มตะโกนทันใดที่เข้ามาถึง “พวกเจ้าช่างหาญกล้าก่ออาชญากรรมกลางวันแสก ๆ เช่นนี้! จับพวกมันให้หมด!”
อาไค่และหวั่งหลูซื่อเมื่อเห็นหัวหน้าครอบครัวของตนปรากฏตัวขึ้นที่ห้องโถงต่างก็พากันร้องตะโกนขอความช่วยเหลือกันระงม
มือปราบสองคนก้าวเข้ามาเพื่อจับตัวฉู่เหลียนกับบ่าวไพร่ ทว่าบ่าวจากจวนจิ่งอันสองนายขวางพวกเขา ขณะที่เวิ่นฉิงและเวิ่นหลานก็บังตัวฉู่เหลียนเอาไว้
สถานการณ์เช่นนี้ฉู่เหลียนไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย นางกลับเห็นว่าผู้คนสกุลหวั่งเหล่านี้ดูคล้ายละครตลกฉากหนึ่งเท่านั้น
ดังคาด นางไม่ถอยหนีแต่อย่างใด กลับก้าวขึ้นมาด้านนาง เชิดคางขึ้นเล็กน้อยขณะมองหัวหน้ามือปราบเหล่านั้นด้วยสายตาจริงจัง “ท่านใต้เท้า ตรองดูให้ดีก่อนเถิดว่าวันนี้ท่านจะจับผู้ใด หากท่านจับผิดคน ย่อมไม่มีอะไรดีต่อตัวท่านเป็นแน่”
หัวหน้าผู้มีหนวดเครารกเรื้อนิ่งงันไป ด้วยถ้อยคำของฉู่เหลียนทำให้เขาต้องหยุดชะงักและพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง
เขาเป็นเพียงมือปราบธรรมดาที่ประจำการอยู่ถนนอันเล่อ ผู้คนที่อาศัยอยู่ละแวกนี้ส่วนมากเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ทว่าในเมืองหลวงแห่งนี้บรรดาขุนนางและหมู่คนชนชั้นสูงต่างเดินกันขวักไขว่ หากขว้างหินไปก้อนหนึ่งยังมีโอกาสที่จะบังเอิญไปถูกหัวองค์ชายหรือขุนนางได้ และเขาเพียงอยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในตำแหน่งหน้าที่นี้เท่านั้น ดังนั้นการจะรับมือกับผู้คนก็ต้องระวังให้มาก
เขารู้ว่าภัตตาคารกุ้ยหลินเป็นของจวนจิ่งอัน แม้จะเป็นขุนนาง ทว่าในเมืองหลวงแห่งนี้ จวนจิ่งอันก็ยังนับว่าเป็นขุนนางขั้นกลางเท่านั้น ยังมีราชนิกุลและขุนนางอื่นอีกมากมายที่เหนือกว่า
หัวหน้ามือปราบโต้เถียงกับตนเองในใจอยู่ครู่ใหญ่
ขณะที่ผู้เป็นหัวหน้าครุ่นคิดอยู่นั้น มือปราบคนอื่นก็หยุดชะงักไว้เช่นกัน
ผู้ดูแลหวั่งเห็นดังนี้ก็วิตกกังวล “นายท่าน ดูคนพวกนี้แต่งตัวเถิด ดูอย่างไรก็ไม่คล้ายขุนนาง นางเพียงแต่พยายามตบตาเราเท่านั้น! อย่าไปฟังคำเฉไฉของพวกนาง!”
หัวหน้าผู้นั้นมองการแต่งกายของฉู่เหลียนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ก่อนจะก็นิ่วหน้า ดังที่ผู้ดูแลหวั่งกล่าว พวกนางแต่งตัวคล้ายคนมีฐานะอยู่บ้าง แต่ก็ไม่จัดว่าร่ำรวยดั่งขุนนางชั้นสูง
ฉู่เหลียนทราบว่าพวกมือปราบเริ่มคิดผิดทางแล้ว นางก็คร้านจะเล่นละครต่อ จึงหันไปมองเวิ่นฉิงหนหนึ่ง สาวใช้ก็รีบก้าวเท้าขึ้นมา เหล่ามือปราบพยายามห้าม ทว่าเวิ่นฉิงหลบหลีกการพันธนาการนั้นด้วยการเตะเพียงสองที มือปราบเหล่านั้นก็ล้มลงไปกองที่พื้น ครวญครางอย่างเจ็บปวดลุกไม่ขึ้น
เวิ่นฉิงก้าวเข้าประชิดตัวหัวหน้ามือปราบ และเผยเหรียญตราหยกในมือให้ได้เห็น
เมื่อมือปราบหน้าหนวดผู้นั้นเห็นเหรียญตราหยก ทันใดขาก็พลันอ่อนยวบ แทบจะล้มลงไปกองกับพื้น
“ระ…ราชนิกุล…”
เวิ่นฉิงส่งเสียงฮึ่ม เก็บเหรียญตราหยกหมุนกายกลับไปหาฉู่เหลียน จากนั้นจึงกล่าวเสียงดังต่อมือปราบหน้าหนวดผู้นั้น “ยามนี้เข้าใจแล้วหรือไม่ว่าเจ้าพยายามจะจับกุมผู้ใดอยู่?!”
มือปราบหน้าหนวดผู้นั้นรีบคุกเข่าลงทันที ทั้งหวาดกลัวทั้งกังวล “เป็นผู้น้อยที่ล่วงเกินท่านหญิง ผู้น้อยสมควรตาย!”
มือปราบคนอื่นจำเหรียญตราหยกที่เวิ่นฉิงถือได้เช่นกัน กระทั่งผู้ดูแลหวั่งก็ยังต้องมองให้ดี และทันทีที่เห็นเหรียญตรานั้น ผู้ดูแลหวั่งก็รู้สึกคล้ายจะเป็นลม
สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงหวาดกลัว มิคาดว่าสตรีวัยเยาว์ท่าทางธรรมดานี้จะนำเอาเหรียญตราหยกเฉพาะราชนิกุลออกมา!
ในยุคราชวงศ์อู่ กรมพิธีการจะออกเหรียญตราหยกให้กับผู้ที่ได้รับบรรดาศักดิ์ แม้จะมีลวดลายสลักที่แตกต่างกัน ทว่าคุณภาพและตราราชวงศ์ที่ถูกสลักกำกับไว้กลับเหมือนกัน
เหรียญตราที่ฉู่เหลียนให้เวิ่นฉิงแสดงนั้นถูกส่งมาพร้อมกับพระราชโองการเมื่อสองวันก่อน และนางก็ไม่คาดคิดว่าจะได้ใช้ประโยชน์จากมันเร็วขนาดนี้
เมื่อมือปราบผู้มีหนวดเคราผู้นั้นรู้สึกตัว ผู้ที่ต้องจับก็กลายเป็นผู้ดูแลหวั่งแทน
ผู้ดูแลหวั่งไม่กล้าเอ่ยแม้แต่คำเดียว ยามนี้กระทั่งจวนจิ่งอันก็ต่ำต้อยกว่าราชนิกุล
หวั่งหลูซื่อและอาไค่ที่เคยตะโกนโหวกเหวก ตอนนี้กลายเป็นเหมือนลูกโป่งที่ถูกเจาะลม ทั้งสองก้มหัวต่ำ เงียบกริบยิ่งกว่าหนูเสียอีก
เมื่อคิดได้ว่าก่อนหน้านี้ตนเพิ่งจะรังแกฉู่เหลียนอย่างไรบ้าง อาไค่ก็ตัวสั่น สีหน้าดุดันเมื่อครู่ ยามนี้ซีดขาวเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
มือปราบสองนายคุมตัวหวั่งหลูซื่อและอาไค่ที่ถูกมัดอยู่จากบ่าวชายสองนาย
ทันใดนั้น รอยเปียกรอยหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนพื้น ตามด้วยกลิ่นเหม็นฉุน เมื่อเวิ่นฉิงมองลงไป ก็เห็นเป้ากางเกงของอาไค่เปียกโชก…
คนผู้นี้ตกใจกลัวจนฉี่ราดจริง ๆ
เมื่อผู้ดูแลหวั่งเห็นอาไค่เป็นดังนั้นก็อับอายยิ่ง เขามองอาไค่อย่างโมโห ทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้าเด็กโง่งมนั่น!
ก่อนหน้านี้ผู้ดูแลหวั่งไปบ่อนพนันสูญเสียเงินไปบ้าง เกรงว่าหวั่งหลูซื่อจะจับได้จึงลอบกลับเข้ามาทางประตูหลัง และบังเอิญพบกับอาไค่ที่กำลังนำอาหารไปยังโถงใหญ่ เด็กหนุ่มจึงรีบบอกแผนการร้ายให้ลุงตนไปตามมือปราบคนสนิทมาข่มขู่ฉู่เหลียนเพื่อเรียกร้องเอาเงินมากขึ้นอีกหน่อย
ใครจะคิดว่าตอนนี้พวกเขากลับทำหินร่วงทับเท้าตนเองเสียแล้ว!
ยามนี้ผู้ดูแลหวั่งโมโหยิ่ง!
มือปราบหน้าหนวดเดินมาหาฉู่เหลียนด้วยความนอบน้อม โค้งกายต่ำถึงเอว “ท่านหญิงมีสิ่งใดจะสั่งอีกหรือไม่ขอรับ?”
ฉู่เหลียนมิได้ใส่ใจสนทนากับเขา นางหันไปทางเวิ่นฉิงแล้วสั่ง “ไปเอาสมุดบัญชีที่โต๊ะมาให้ข้า”
แม้จะอับอายที่ถูกเมินเฉย ทว่าหัวหน้ามือปราบผู้นั้นกลับมิกล้าส่งเสียงบ่นแม้แต่น้อย ช่องว่างระหว่างสถานะต่างกันจนเกินไป นอกจากนั้นความสามารถของสาวใช้ที่แสดงให้เห็นอย่างประจักษ์ชัดเมื่อครู่ เขาก็มิอาจดูแคลนพวกนางได้ ต่อให้แม่นางน้อยผู้นี้มิได้แสดงตัวว่าเป็นใคร พวกเขาทั้งห้าก็คงสู้สาวใช้เพียงคนเดียวไม่ได้อยู่ดี เมื่อคิดดังนั้น หัวหน้ามือปราบก็ยิ่งทั้งเคารพทั้งนอบน้อม
ผู้ดูแลหวั่งนิ่งงันไปเมื่อได้ยินคำสั่งของฉู่เหลียน
อะไรนะ? สมุดบัญชีหรือ?
ผู้เป็นราชนิกุลกลับต้องการดูสมุดบัญชีของร้านอาหารเล็ก ๆ แห่งนี้หรือ? ย่อมมีบางสิ่งผิดพลาดแล้วเป็นแน่ หรือบางทีเขาอาจได้ยินผิดไป
ผู้ดูแลหวั่งกลืนน้ำลายอย่างหวาดผวา เอ่ยคำตะกุกตะกัก “กุ้ย…ท่านหญิงขอรับ สมุดบัญชีของภัตตาคารเล็ก ๆ เช่นนี้มีอะไรให้ดูหรือขอรับ? มันก็เป็นแค่เพียงตัวเลขเล็กน้อยเท่านั้นขอรับ”
ฉู่เหลียนก้มมองผู้ดูแลหวั่ง “ผู้ดูแลหวั่ง ข้าคงลืมบอกเจ้าไป ภัตตาคารกุ้ยหลินนี้ท่านย่ามอบให้ข้าแล้ว นับแต่นี้ไปที่นี่ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าดูแลอีก”
ผู้ดูแลหวั่งเหมือนถูกฟ้าผ่า!
คำพูดง่าย ๆ จากปากฉู่เหลียนนี้ ชวนให้ตกตะลึงยิ่งกว่ายามที่นางนำเหรียญตราหยกราชนิกุลออกมาเสียอีก!
ดวงตาผู้ดูแลหวั่งแทบจะทะลักออกจากเบ้า ถ้อยคำของฉู่เหลียนก้องสะท้อนไปมาในหัว แต่เมื่อเข้าใจในความหมาย เขาก็ทราบตัวตนที่แท้จริงของฉู่เหลียนทันที
เป็นนายหญิงผู้หนึ่งจากจวนจิ่งอันหรือ? จะเป็นใครได้อีกนอกจากนายหญิงสามผู้ที่เพิ่งจะตบแต่งเข้าจวนจิ่งอัน? นอกจากนั้น นายหญิงสามผู้นี้ก็เพิ่งจะได้รับพระราชโองการราชทานบรรดาศักดิ์เป็นท่านหญิงเมื่อสองวันก่อน อีกทั้งองค์ฮ่องเต้ยังเป็นผู้แต่งตั้งนางด้วยพระองค์เอง
พวกเขาเพิ่งจะกลั่นแกล้งผู้เป็นนายของตนเองแท้ ๆ!
หากนายหญิงผู้นี้เป็นเพียงราชนิกุลทั่วไป เช่นนั้นบทลงโทษที่ทำให้นางรำคาญใจย่อมเป็นการนอนคุก แต่ด้วยความสัมพันธ์ที่พวกเขามีต่อจวนจิ่งอัน ย่อมช่วยเหลือมิให้ได้รับความลำบากมากมายนัก
ทว่ายามนี้ทุกสิ่งกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง นายหญิงสามมิได้เป็นเพียงราชนิกุลธรรมดา แต่ยังเป็นนายหญิงจากจวนจิ่งอัน สำหรับบ่าวไพร่ในจวนจิ่งอันเช่นพวกเขาแล้ว ถ้อยคำของนายหญิงสามเป็นดั่งกฎหมาย ซ้ำร้ายกว่านั้นยามนี้นางเป็นถึงเจ้าของภัตตาคารกุ้ยหลินแล้ว! หากนางต้องการเอาชีวิตพวกเขา ก็แค่เพียงเอ่ยปากคำเดียวเท่านั้น!
ไม่ถึงอึดใจต่อมา รอยเปียกก็ปรากฏขึ้นที่เป้ากางเกงของผู้ดูแลหวั่งเช่นกัน…
ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริง ๆ ทั้งลุงทั้งหลานต่างหวาดกลัวเสียจนฉี่ราดกางเกง ช่างเป็นความสามารถที่น่าประทับใจยิ่งนัก