ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 78 เรื่องน่าสงสัย
แม้ฉู่เหลียนจะเคยพบคนผู้นั้นเพียงครั้งเดียว แต่นางก็ไม่มีทางลืมใบหน้าของเขาเป็นเด็ดขาด
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งเยี่ยมเยือนบ้านเดิม ฉู่เหลียนเคยยกน้ำชาให้เขาครั้งหนึ่งร่วมกับเฮ่อฉางตี้ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ท่าทางของเขาในตอนนั้นยามรับถ้วยชาและส่งซองแดงคืน ช่างดูเย็นชาเสมือนคนที่รู้จักกันเพียงผิวเผินคล้ายกับกำลังเจรจาแลกเปลี่ยนทางธุรกิจอย่างหนึ่งเท่านั้น กระทั่งเมื่อนางถูกพาออกไปอยู่ร่วมกับบรรดาสตรีทั้งหลายในตระกูล เขาก็มิได้ให้คำแนะนำใด ๆ แก่นางผู้เป็นลูกสาวแม้แต่คำเดียว นางไม่รู้ว่าบิดาของเจ้าของร่างนี้จะชื่นชอบในตัวลูกเขยคนใหม่อย่างเฮ่อฉางตี้หรือไม่ ทว่า ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาล้วนแต่ถูกผูกโยงกันผ่านสุราคารวะตามธรรมเนียมนั้นแล้ว
ฉู่ฉีเจิ้งแต่งกายด้วยชุดปักประณีตสีเทา ยืนอยู่หน้าจวนแห่งหนึ่งโดยมีบ่าวรับใช้อยู่ข้างกาย เขาย่ำเท้าไปมาคล้ายกำลังกังวลและหมดความอดทนกับบางสิ่ง
อันที่จริง นายท่านสองแห่งจวนอิ้งผู้นี้ก็ยังไม่นับว่าแก่ชรา เขาอายุเพียงสามสิบห้าปี ทั้งยังมิได้ไว้หนวดเครา และสวมมงกุฎหยกประดับไว้บนศีรษะ ผนวกกับรูปร่างเพรียวบางนั้น เขาจึงดูเด็กกว่าอายุจริงถึงหกเจ็ดปี
ดวงตาทรงผลชิ่งของฉู่เหลียนหรี่ลงเล็กน้อย พยายามมองไปที่ป้ายชื่อเหนือจวนที่เขายืนอยู่ ป้ายนั้นถูกเขียนไว้ว่า ‘จวนผาน’
ขณะที่มองอยู่ บ่าวเฝ้าประตูคนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้าไปในจวน ไม่นานนักก็มีบริวารรูปร่างกำยำพกดาบสองคนออกมา บ่าวผู้นั้นชี้ไปยังกลุ่มฉู่ฉีเจิ้ง
เมื่อเห็นดังนั้นบริวารทั้งสองก็ตรงดิ่งเข้าหาฉู่ฉีเจิ้งในไม่กี่ก้าว หนึ่งในสองคนนั้นผลักฉู่ฉีเจิ้งโดยแรง และหากมิใช่ว่าบ่าวของฉู่ฉีเจิ้งไหวตัวได้อย่างรวดเร็วเข้าไปรับตัวไว้ได้ทัน เขาย่อมต้องเซล้มไม่เป็นท่าให้ขายขี้หน้าประชาชนไปทั่วแล้ว
ทันทีหลังจากนั้น ฉู่ฉีเจิ้งก็เริ่มตะโกนใส่บริวารทั้งสอง แต่บ่าวรับใช้ของเขาเห็นว่าคนของจวนผานนั้นมีวรยุทธ์ จึงใช้ตัวกำบังปกป้องฉู่ฉีเจิ้งไว้เบื้องหลัง
บริวารทั้งสองถูกฉู่ฉีเจิ้งข่มขู่จนรำคาญใจ สีหน้าโมโหแสดงออกอย่างชัดเจน มือค่อย ๆ ลดลงจับดาบที่เอว คล้ายจะสามารถดึงออกมาได้ทุกเมื่อ
ฉู่เหลียนเคาะผนังรถม้า สั่งคนบังคับที่ด้านหน้าให้ช้าลงหน่อย นางยกม่านขึ้นเล็กน้อย เฝ้าดูเหตุการณ์ที่หน้าจวนผานต่อ
ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่ ‘ฉู่เหลียน’ ต้นฉบับที่ได้รับการปฏิบัติเย็นชาเช่นนั้นจากบิดาระหว่างยกน้ำชา นางเข้าใจด้วยตัวเองแล้วส่วนหนึ่งว่าเขาไม่รักบุตรีผู้นี้ แต่ฉู่เหลียนก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นนัก นางเป็นคนที่ได้มาเท่าไรก็ตอบแทนไปเท่านั้น ในเมื่อฉู่ฉีเจิ้งไม่ใส่ใจนาง นางก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาออกนอกเส้นทางเพื่อเขา
อีกอย่าง แค่นั่งสบาย ๆ ดูเหตุการณ์เบื้องหน้าก็สนุกกว่าไม่ใช่เหรอ?
เวิ่นฉิงเห็นนายหญิงสามสั่งคนขับชะลอรถ นางก็หันมองออกนอกหน้าต่างยังจุดหมายที่นายหญิงของตนลอบมองอยู่เช่นกัน เมื่อเห็นป้ายนั้น นางก็สูดหายใจเข้าแล้วหลุดพูดเสียงเบา “จวนผาน! ”
เวิ่นหลานเห็นฉู่เหลียนกำลังดูการแสดงเบื้องหน้าด้วยความสงบ นางจึงลอบผลักเวิ่นฉิงเล็กน้อยให้รีบปิดปากเสีย
ฉู่เหลียนไม่มีอารมณ์จะสนใจว่าเวิ่นฉิงตกใจอะไร ดวงตาของนางกำลังติดพันอยู่กับละครที่เกิดขึ้นหน้าจวนผานนั่น
ทันทีที่บริวารร่างกำยำทั้งสองจะใช้กำลัง รถม้าคันหนึ่งก็ออกมาจากซอยข้างจวนผาน และหยุดลงหน้าจวน บ่าวเฝ้าประตูรีบวิ่งไปที่รถม้า เลิกม่านขึ้นด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะช่วยชายผมขาวใบหน้าเรื้อหนวดเคราที่ดูอายุราวห้าสิบหกสิบปีลงจากรถม้า
จากระยะไกลเช่นนี้ ฉู่เหลียนไม่ได้ยินว่าพวกเขาคุยอะไรกัน
ชายผมขาวตั้งท่าจะเข้าจวนทันที ทว่าดูคล้ายจะได้ยินบางสิ่งที่ฉู่ฉีเจิ้งตะโกนขณะพยายามฝืนต้านทานแรงของบริวารร่างยักษ์ ชายชราผู้นั้นหันขวับ ส่งสายตาตกตะลึงที่แฝงไว้ด้วยอันตรายไปยังฉู่ฉีเจิ้ง เขาหยุดอยู่เบื้องหน้าประตูไม้บานใหญ่ สองมือไพล่หลังมองดูฉู่ฉีเจิ้งคล้ายกับจะมองทะลุทะลวงให้เห็นถึงภายใน
ภายใต้สายตาชายชรานั้นราวกับทำให้เวลารอบข้างเดินช้าลง แต่แล้วในที่สุดเขาก็โบกมือไล่บริวารสองนายของตน สีหน้าที่เคยเป็นกังวลของฉู่ฉีเจิ้งก็ดูผ่อนคลายขึ้น ก่อนจะปรากฏเป็นความชั่วร้ายที่ลุกโชนในม่านดวงตา
ฉู่ฉีเจิ้งผลักชายบริวารสองนายที่พันธนาการตัวเขาไว้ หลังจากนั้นก็เตะไปที่คนพวกนั้นอีกทีสองที เมื่อได้ระบายความโมโหแล้ว ฉู่ฉีเจิ้งก็ปัดเสื้อซึ่งยับย่นจากการต่อสู้ให้เรียบร้อย เขายืดตัวยกมือไพล่หลัง เดินตรงเข้าจวนผานพร้อมบ่าวไพร่ของตน
จนกระทั่งร่างของฉู่ฉีเจิ้งหายลับพ้นสายตา ฉู่เหลียนจึงปลดผ้าม่านลง สีหน้าหลากหลายปรากฏขึ้น ความตั้งใจที่จะไปเดินเล่นในเมืองหลวงแต่แรกนั้นถูกลบทิ้งไปเสียหมดแล้ว
ฉู่เหลียนก้มหน้าครุ่นคิด เวิ่นฉิงเวิ่นหลานไม่กล้ารบกวนนาง จึงได้แต่นั่งเงียบอยู่ข้าง ๆ
ผ่านไปพักหนึ่ง ฉู่เหลียนก็เงยหน้าหันไปถามเวิ่นฉิง “เวิ่นฉิง ขุนนางคนใดหรือที่เป็นเจ้าของจวนผาน? ”
นางเพิ่งนึกได้ว่าได้ยินเสียงเวิ่นฉิงสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ด้วยความตกใจยามเห็นป้ายจวน แปลว่าเจ้าของจวนนี้ต้องเป็นคนสำคัญในราชสำนักแน่
เวิ่นฉิงตอบอย่างตรงไปตรงมา “นายหญิงสาม จวนผานแห่งถนนผิงคังเป็นของผานเก๋อเหล่าเจ้าค่ะ”
ในยามนี้มีเจ้ากรมห้าคนทำหน้าที่ปกครองห้ากรม ลำดับศักดิ์ในบรรดาห้าคนนี้ก็ยังมีความแตกต่างกัน ผานเก๋อเหล่าผู้นี้คือผู้ที่ได้รับลำดับศักดิ์สูงสุดในบรรดาเจ้ากรมทั้งห้า ลำดับของเขาต่ำกว่าราชอาลักษณ์เพียงขั้นเดียวเท่านั้น เขาคือขุนนางระดับหนึ่งตัวจริง!
ฉู่เหลียนไม่ได้สนใจเรื่องราชสำนักในราชวงศ์อู่นี้มากนัก ในส่วนนิยายที่นางอ่านก็ไม่ได้มีการกล่าวถึงใต้เท้าผานผู้ยิ่งใหญ่สูงส่งไว้ จึงไม่ทราบเรื่องราวใด ๆ ที่เกี่ยวกับเขา
ฉู่เหลียนพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
แม้เวิ่นฉิงจะสงสัยตัวตนของชายที่นายหญิงสามจ้องมอง ทว่าเมื่อเห็นทีท่าที่ไม่ได้อยากจะเอ่ยถึง นางจึงเก็บคำถามไว้กับตัว
บ่าวรับใช้ทั้งหมดที่มาด้วยในวันนี้ล้วนแต่เป็นบ่าวจากจวนจิ่งอัน จึงไม่มีใครทราบว่าฉู่ฉีเจิ้งเป็นบิดาของนาง
เมื่อฉู่เหลียนได้ยินเวิ่นฉิงตอบ นางก็กลับเข้าสู่ห้วงความคิดอีกครั้ง
ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ใต้เท้าผานผู้นั้นไม่ได้อยากพบหน้าบิดาแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจต้องเป็นสิ่งที่บิดาของนางกล่าวในนาทีสุดท้ายเป็นแน่
ตอนนั้นสีหน้าแววตาของใต้เท้าผานดูหลากหลายอารมณ์ราวกับคนกำลังสับสน
ในจวนอิ้งที่กำลังตกต่ำ ฉู่ฉีเจิ้งไม่ใช่บุตรชายคนโต ทั้งยังไม่ใช่คนฉลาดเฉลียวอะไร เขาต้องอาศัยตระกูลช่วยพยุงให้เอาตัวรอด จนถึงป่านนี้ก็ยังเป็นได้เพียงขุนนางว่างงานระดับล่างในราชสำนัก เรียกได้ว่าเป็นคนที่ไร้ประโยชน์โดยแท้
ขุนนางเช่นเขาโดยมากมักทำแค่พบปะเพื่อนฝูงไม่กี่คนเพื่อฆ่าเวลาไปวัน ๆ และไม่ยุ่งเกี่ยวกับขุนนางที่มีอำนาจในราชสำนัก
ในคราแรกใต้เท้าผานไม่แม้แต่จะปรายตามองฉู่ฉีเจิ้งเสียด้วยซ้ำ ทว่าเมื่อชายหนุ่มเอ่ยบางสิ่งออกไป ใต้เท้าผานถึงกับเชื้อเชิญให้เข้าจวน
หรือบิดานางจะมีเล่ห์กลใดที่เอาไว้รับมือกับใต้เท้าผานได้?
แต่ฉู่เหลียนเห็นว่าความคิดนี้แปลกเกินไป นางส่ายหน้า แค่นเสียง ฮึ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!
คนที่มีตำแหน่งและอำนาจอย่างใต้เท้าผานจะเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่หวังต่อสิ่งใดอีกแล้วจริงหรือ? คนที่ได้ครอบครองอำนาจในยามนี้ย่อมต้องมีเสน่ห์ดึงดูด มีความทะเยอทะยาน หรือมีความกระหายจะไขว่คว้ามาแต่แรก ต่อให้ใต้เท้าผานอาจจะไม่ใช่คนประเภทนั้นทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ต้องมีสักหนึ่งหรือสองอย่างบ้างแหละ
แล้วขุนนางว่างงานที่ไร้ซึ่งสติปัญญาอย่างบิดาที่เอาแต่เที่ยวเล่นไปวัน ๆ จะไปมีสิ่งใดต่อรองต่อใต้เท้าผานผู้มากอำนาจได้อย่างไร น่าขำเกินไปแล้ว แม้ว่าในมือฉู่ฉีเจิ้งจะมีจุดอ่อนของใต้เท้าผานอยู่หรือไม่ก็ตาม นั่นก็นับว่าแปลกประหลาดเกินไปแล้ว! นอกจากนั้น จวนอิ้งก็ไม่เคยมีสัมพันธ์อันใดกับจวนผานมาก่อน ทั้งคู่ไม่เคยพบหน้ากันเสียด้วยซ้ำ
ฉู่เหลียนนิ่วหน้า พยายามนึกถึงเหตุการณ์ในนิยาย ทว่ากลับคิดถึงรายละเอียดที่เกี่ยวโยงกับเหตุการณ์นี้ไม่ออกเลยสักนิด ท้ายที่สุดจึงทำได้แค่ละทิ้งต่อความคิดเหล่านั้นเสีย อีกอย่างต่อให้บิดาวางแผนอะไรไว้ก็ไม่ใช่เรื่องของนางแล้ว บุตรสาวที่แต่งออกก็เหมือนน้ำ เมื่อสาดออกไปแล้วก็ไม่ถือว่ามีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเดิมอีกต่อไป ยามนี้นางคือสมาชิกจวนจิ่งอัน ภริยาของเฮ่อซานหลางเท่านั้น
เมื่อปลอบตัวเองเช่นนั้น ในที่สุดฉู่เหลียนก็ผ่อนคลายลงได้
เวิ่นฉิงเห็นสีหน้าฉู่เหลียนผ่อนคลายแล้ว จึงเอ่ยถามขึ้น “นายหญิงสาม ท่านยังอยากแวะซื้อของอยู่หรือไม่เจ้าคะ? ”
ตอนนี้พวกนางออกมาจากซอยผิงคัง กำลังมุ่งหน้าไปยังถนนหลักจูเฉว่
ฉู่เหลียนหมดความตั้งใจตั้งแต่เห็นเหตุการณ์นั้นแล้ว นางคิดจะสั่งบ่าวไพร่ให้กลับจวน แต่กลับนึกขึ้นได้ว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดฮูหยินจิ่งอันป๋อแล้ว นางยังไม่มีของขวัญใดสำหรับแม่สามีเลย จึงนึกเปลี่ยนใจกะทันหัน
“ลองแวะดูเสียหน่อยก็ได้ ใกล้จะถึงวันเกิดมารดาแล้ว”
แม้นางจะไม่จำเป็นต้องซื้อของมีราคามากมายให้แม่สามีในวันเกิด และฮูหยินจิ่งอันป๋อก็คงไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้นัก ทว่าทั้งจวนต่างทราบดีว่านางได้รับเงินจำนวนหนึ่งจากเว่ยกุ้ยเฟยเพื่อแลกเปลี่ยนกับกิเลนทองคำขององค์หญิงเล่อเหยา อีกทั้งนางยังได้รับการแต่งตั้งเป็นท่านหญิง พร้อมด้วยเงินรางวัลอีกร้อยตำลึงทอง ถ้าไม่ซื้อของที่ดูสมค่า คงต้องโดนพวกคนขี้อิจฉานำไปนินทาเป็นแน่
ฉู่เหลียนทอดถอนใจ หนึ่งในคนเหล่านั้นก็คือโจวซื่อ พี่สะใภ้ของนางที่ยังคงรอให้นางทำเรื่องผิดพลาดอยู่ไง! นางจะปล่อยให้โจวซื่อหาโอกาสว่ากล่าวหรือลงโทษนางได้อย่างไร?
ไม่สำคัญแล้วว่ายามนี้นางจะเลือกอะไรเป็นของขวัญ แค่ต้องมีราคาแพงมากพอให้สมเกียรติที่มี ในอดีตนางอาจกล่าวว่าไม่มีเงินได้ ทว่าตอนนี้คงทำเช่นนั้นไม่ได้อีกแล้ว
ฉู่เหลียนทำแก้มป่อง ในใจรู้สึกโมโห ก็แค่ของรางวัลบ้า ๆ แต่คนรอบตัวก็พากันอิจฉาแล้ว น่ารำคาญจริง ๆ! อีกหน่อยหาเงินได้คงต้องนำไปซ่อนไว้ให้ดีแล้ว ตอนนี้สามีก็ไม่ได้อยู่เคียงข้าง ย่อมต้องมีคนหาสารพัดเหตุผลเพื่อพยายามยึดเงินของนางแน่!
เวิ่นฉิงเลิกม่านขึ้นเล็กน้อย ชี้ไปยังร้านค้าสองฝั่งของถนนจูเฉว่ นางกล่าวแนะนำให้ฉู่เหลียนฟังทีละร้าน “นายหญิงสาม นั่นคือร้านยาเหิงเฉิง ร้านอักษรลั่วเหอ ร้านเสื้อหลันเฉียว และ โอ ตรงนั้นคือหอจิ้นฉือ เป็นร้านชื่อดังในเมืองหลวง ขุนนางขั้นสูงและคุณหนูมากมายต่างก็ชมชอบการมาจับจ่ายสินค้าที่นั่น”
ฉู่เหลียนพยักหน้า นางคิดไม่ออกว่าจะซื้ออะไรดี เลยตัดสินใจดูทุกร้าน
เวิ่นฉิงสั่งคนให้หยุดรถก่อน และช่วยประคองฉู่เหลียนลงจากรถม้าพร้อมเวิ่นหลาน
ผู้คนในถนนจูเฉว่เดินกันขวักไขว่ บุรุษสตรีในชุดหรูหราฟู่ฟ่าเดินสวนไปมา
ฉู่เหลียนมองรอบกาย ความประทับใจต่อยุคราชวงศ์อู่พุ่งสูงปรี๊ด ยุคนี้ไม่จำกัดอิสระของผู้หญิง ไม่เหมือนในยุคราชวงศ์ซ่งหรือหมิง ความเปิดกว้างของยุคนี้ดูคล้ายยุคราชวงศ์ถังตอนต้น
สตรีส่วนมากมิได้ปิดหน้าปิดตายามออกนอกบ้าน กระทั่งในสถาบันการศึกษาหลวงก็ยังมีสตรีที่ไปเล่าเรียน จึงย่อมเป็นเรื่องปกติของเหล่าสตรีในตระกูลขุนนางที่จะออกมาจับจ่ายซื้อของเช่นกัน
ฉู่เหลียนเข้าร้านยาเหิงเฉิงก่อนเป็นอันดับแรก
วันนี้นางตั้งใจมาตรวจสอบภัตตาคารกุ้ยหลินเป็นการเฉพาะจึงแต่งตัวด้วยชุดเรียบง่าย เนื้อผ้าในเครื่องแต่งกายล้วนธรรมดา และมีสาวใช้สองคนอย่างเวิ่นฉิง เวิ่นหลานอยู่ข้างกาย จึงทำให้ดูคล้ายเป็นภริยาที่เพิ่งแต่งเข้าของขุนนางระดับล่าง
เมื่อก้าวเข้าสู่ร้านยาก็ไม่มีแม้แต่พนักงานสักคนเข้ามาให้การต้อนรับ ถึงกระนั้นฉู่เหลียนก็ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย นางและสาวใช้ทั้งสองมองไปรอบกายช้า ๆ