ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 79 ขุดหลุมฝังตัวเอง
ฉู่เหลียนเคยมีโอกาสได้เรียนหลักสูตรแพทย์แผนจีนโบราณเมื่อครั้งที่ยังเรียนในมหาวิทยาลัย จึงพอจะรู้จักสมุนไพรบางอย่างบ้าง แต่นางก็ทำได้ไม่ค่อยดีนัก จนกระทั่งได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการเอาตัวรอดในป่า หลังจากนั้นจึงพอจะเข้าใจในพื้นฐานของสมุนไพรแต่ละชนิด
ตอนนี้นางกวาดตามองไปทั่วโถงยา ความทรงจำในสมัยเรียนถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ ฉู่เหลียนหยิบเอาสมุนไพรหนึ่งถึงสองชนิดที่เบื้องหน้าขึ้นมาดมเพื่อตรวจสอบคุณภาพ และนั่นก็คือขีดความสามารถของนาง
ฝั่งตรงข้ามร้านยาเหิงเฉิงคือหอจิ้นฉือ ร้านเครื่องประดับอันโด่งดังของเมืองหลวง ซึ่งในขณะนี้มีคุณหนูหลายคนยืนพูดคุยกันอยู่ที่โต๊ะในหอจิ้นฉือ ดวงตาพวกนางทอประกายตื่นเต้นขณะจับจ้องไปยังเครื่องประดับที่ผู้ดูแลหญิงนำมาแสดงเพื่อให้พวกนางได้ลองสวมใส่
บรรดาคุณหนูเหล่านี้หาใช่คนแปลกหน้าสำหรับฉู่เหลียนไม่ เพราะล้วนเป็นบุตรีสายตรงของจวนอิ้งนั่นเอง
ทีแรกพวกนางออกมาโดยมีพี่ชายคอยดูแล ทว่าเมื่อมาถึงหอจิ้นฉือ คุณชายทั้งสองก็หาข้ออ้างขอตัวจากไป ตอนนี้จึงเหลือเพียงคุณหนูวัยเยาว์อยู่ในร้าน พูดคุยกันแต่เรื่องเครื่องประดับอย่างสนุกสนาน
คุณหนูห้าซูดูจะชอบกำไลหยกเขียวโปร่งแสงมันวาวมาก แม้หยกนี้จะมิใช่ของคุณภาพดีที่สุด ทว่าความงามจากสีเหลือบเหลื่อมเขียวฟ้าคล้ายสายน้ำไหลนั้นกลับทำให้รู้สึกได้ถึงความเย็นและสดชื่น
เมื่อสวมใส่เข้าที่ข้อมือขาวผ่องเรียวบางก็ยิ่งขับเน้นสีผิวนางยิ่งขึ้น
ขณะลองสวมใส่ นางก็เอ่ยถามผู้ดูแลหญิง “ท่านผู้ดูแล กำไลวงนี้ราคาเท่าไรหรือ? ”
ผู้ดูแลยิ้มตอบ “คุณหนูช่างตาถึงเหลือเกินเจ้าค่ะ กำไลหยกนี้เหมาะกับข้อมือขาวบอบบางของท่านยิ่งนัก! ”
เมื่อกล่าวจบ นางก็นำเอากล่องไม้ใต้โต๊ะขึ้นมาเปิด ในนั้นมีต่างหูหยกคู่หนึ่งที่ดูเข้าชุดกัน รูปร่างคล้ายหยาดน้ำดูงดงามยิ่ง
“คุณหนูเจ้าคะ ต่างหูนี้จะยิ่งทำให้ท่านดูโดดเด่นสะดุดตาหากใส่คู่กับกำไลวงนี้เจ้าค่ะ ท่านชอบหรือไม่ หากท่านชอบ ข้าผู้น้อยจะคิดราคากำไลวงนี้เพียงห้าสิบตำลึงเท่านั้น และท่านจะได้รับต่างหูคู่นี้เป็นของแถมกลับไปด้วยเจ้าค่ะ เช่นนั้นท่านคิดว่าอย่างไรเจ้าคะ? ”
ห้าสิบตำลึง…
แม้ราคาจะยังไม่นับว่าแพงมาก ทว่ามันก็ยังแพงเกินไปสำหรับเหล่าคุณหนูเช่นพวกนางที่ได้รับเงินจากทางบ้านเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
บุตรีสายตรงจวนอิ้งได้รับเงินแปดตำลึงเงินต่อเดือน ดังนั้นกำไลหยกของหอจิ้นฉือเพียงชิ้นเดียวก็มีราคาเท่ากับเงินเก็บของพวกนางถึงครึ่งปี…
คุณหนูซูนำเงินติดตัวมาหกสิบตำลึง ซึ่งนั่นคือเงินที่นางเก็บหอมรอมริบมาถึงปีครึ่ง หากจะใช้จ่ายมันไปเพียงเพื่อกำไลหยกชิ้นเดียวนับว่ามากเกินไป เนื่องจากนางยังคิดจะซื้อเครื่องประดับอื่นไปฝากมารดาด้วย
มุมปากคุณหนูซูโค้งคว่ำขณะวางกำไลลง ดวงตาฉายแววไม่พอใจขณะกล่าว “ผู้ดูแล ข้าคงต้องขอดูของอย่างอื่นก่อน”
ผู้ดูแลคล้ายจะสัมผัสความลำบากใจของนางได้จึงไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่ม และหยิบเอาเครื่องประดับชิ้นอื่นมาเสนอขายให้ผู้อื่นแทน
คุณหนูหยวนที่กำลังถือปิ่นทองประดับหยกไว้ในมือหัวเราะขึ้น “พี่หญิงห้า วันนี้ท่านนำเงินติดตัวมามากกว่าห้าสิบตำลึงมิใช่หรือ เหตุใดจึงมิอาจตัดใจซื้อกำไลหยกแค่ชิ้นเดียวได้เล่า? ”
ถ้อยคำคุณหนูหยวนทำให้คุณหนูซูหน้าแดงก่ำ
คุณหนูซูเม้มปาก ทว่าไม่กล่าวตอบ นางก้มหน้าลงเพื่อมองชุดเครื่องประดับอื่น ทำทีเป็นไม่ได้ยิน
คุณหนูหยวนหัวเราะอีกครั้ง ส่งปิ่นทองในมือให้ผู้ดูแล กล่าวอย่างโอหัง “ผู้ดูแล ห่อปิ่นนี้ให้ข้าด้วย”
ผู้ดูแลไม่คาดว่าคุณหนูวัยเยาว์ผู้นี้จะใจป้ำถึงเพียงนี้ นางยกยิ้มไปถึงตา ก่อนจะนำเอากล่องไม้ที่ถูกทำขึ้นเฉพาะมาและบรรจงวางปิ่นลงไป “คุณหนู ท่านตาถึงนัก ปิ่นทองนี้มีมรกตประดับอยู่ถึงสามชิ้น แต่ละชิ้นมีขนาดเท่ากัน อีกทั้งรูปลักษณ์ของดอกไม้สองดอกที่ด้านบนยังดูงดงามเหมาะสมกับท่านยิ่งนักโดยเฉพาะยามท่านสวมใส่ชุดนี้ก็ยิ่งดูรับกันเจ้าค่ะ โดยปิ่นนี้เป็นงานฝีมือของนายท่านหลิว สำหรับคุณหนูผู้ควรค่าแก่ปิ่นทองอันประณีตชิ้นนี้ ข้าผู้น้อยจะคิดราคาเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงเท่านั้นเจ้าค่ะ”
ยามผู้ดูแลกล่าวชม จมูกคุณหนูหยวนก็เชิดสูงขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ นางย่อมมีรสนิยมดีที่เลือกปิ่นปักผมอันงดงามเช่นนี้แทนที่จะเป็นกำไลโง่ ๆ อย่างที่คุณหนูซูเลือก ทว่าเมื่อได้ยินราคา สีหน้านางก็นิ่งงัน
อะไรนะ? หนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง? ราวกับผู้ดูแลกำลังรีดไถเงินซึ่ง ๆ หน้า นี่มันก็เป็นเพียงปิ่นทองธรรมดา ๆ เท่านั้น!
แท้จริงแล้วคุณหนูหยวนเห็นปิ่นทองนั่นดูดีมีราคากว่ากำไลหยกของคุณหนูซูอยู่หลายเท่า แต่ก็คิดว่าอย่างมากก็น่าจะเพียงหนึ่งร้อยตำลึง ก่อนหน้านี้นางอ้อนวอนต่อมารดาขอเงินมาร้อยตำลึงเพื่อจับจ่ายซื้อของในวันนี้ นอกจากนั้นยังมีเงินเก็บที่พกติดตัวอีกเล็กน้อยราวสามสิบตำลึง
กระทั่งบุตรสาวขุนนางระดับหนึ่งก็ยังพกเงินเพียงร้อยตำลึงเป็นอย่างมาก เช่นนั้นนางซึ่งมาจากตระกูลอิ้งที่กำลังตกต่ำ จะมีเงินมากกว่าคนพวกนั้นได้อย่างไร?
หากพวกนางเลือกเข้าร้านเครื่องประดับที่อยู่ติดกัน เงินหนึ่งร้อยสามสิบตำลึงของนางย่อมมากเกินพอ ทว่าพวกนางกลับเลือกเดินเข้ามายังหอจิ้นฉือระดับสูงแห่งนี้แทน
คราวแรกนางยังคิดว่าการออกมาข้างนอกร่วมกับคุณหนูซูครั้งนี้จะทำให้ตนเองต้องอับอายแล้ว เนื่องจากในจวนอิ้งมีเพียงคุณหนูห้าที่ยังไม่ได้ตบแต่งออกเรือนผู้นี้ที่ยังผิดใจกับคุณหนูแปดเช่นนางอยู่ วันนี้นางจึงตั้งใจเป็นอย่างมากที่จะทำให้คุณหนูซูได้ลิ้มรสฝุ่นดินต่อหน้าสาธารณชนเพื่อที่จะได้เกรงกลัวและยอมลดราวาศอกแก่นางบ้าง ทว่ากลับมิคาดว่า นางกำลังจะขุดหลุมฝังตนเองเสียแทน
นางมีเงินติดตัวมาเพียงหนึ่งร้อยสามสิบตำลึงเท่านั้น…
สีหน้าคุณหนูหยวนฉายชัดถึงความสับสน ยามนี้นางอับอายเสียจนหน้าแดง จากนั้นเปลี่ยนเป็นซีดขาว นางอ้าปากกำลังจะเอ่ยยกเลิกคำสั่งซื้อ แต่พอหันไปเห็นสายตาของผู้ดูแลที่มองมา ถ้อยคำทั้งหมดก็ติดอยู่ในลำคอ คุณหนูหยวนมองไปรอบร้านด้วยความกระสับกระส่าย ส่วนสาวใช้ส่วนตัวของนางนั้นกลับมีสีหน้าสับสนและเป็นกังวลจนถึงกับกระตุกแขนเสื้อผู้เป็นนายเบา ๆ
หากคุณหนูแปดซื้อปิ่นทองด้วยเงินหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงจริง ๆ ฮูหยินสองย่อมต้องดุด่าบุตรีของตนวันละหลายรอบแน่ ส่วนสาวใช้ส่วนตัวเช่นนางคงถูกลากออกไปขายนอกจวน เพราะเครื่องประดับส่วนมากของฮูหยินเองก็ยังมีราคาไม่ถึงหนึ่งร้อยตำลึงเลย
คุณหนูห้าและคุณหนูเก้าที่อยู่ในเหตุการณ์ก็อึ้งงันไป ชั่วอึดใจต่อมา พวกนางก็เดาว่าคุณหนูแปดคงตกที่นั่งลำบากแล้ว
คุณหนูเก้าฟู่เป็นผู้หัวเราะขึ้นมาสยบความเงียบ และเริ่มยั่วยุนาง “อา พี่หญิงแปดเหตุที่ไม่กล่าวสิ่งใดเช่นนี้ คงมิใช่ว่าท่านนำเงินติดตัวมาไม่พอใช่หรือไม่? อืม ข้าก็พอจะเข้าใจได้ ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นเพียงคุณหนูที่ยังมิได้แต่งออก ย่อมเป็นธรรมดาที่จะไม่มีเงินมากมายไว้จับจ่ายใช้สอย ซื้อของราคาถูกลงหน่อยก็คงไม่เป็นไรกระมัง ผู้ดูแลไม่หัวเราะเยาะเราหรอกนะเจ้าคะ”
ผู้ดูแลผ่านการดูแลภริยาและบุตรสาวขุนนางคนสำคัญอยู่ทุกวันย่อมเก่งกาจเรื่องการอ่านสีหน้าคน แม้จะดูแคลนกลุ่มเด็กสาวเบื้องหน้า ทว่าก็มิได้แสดงออก และทำเพียงพยักหน้าเออออตามน้ำไปเท่านั้น
ทว่าคุณหนูหยวนกลับมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนกับดักที่ยิ่งทำร้ายนางเสียมากกว่าเดิม ปกติแล้วนางเคยชินกับการทำตัวสูงส่งเย่อหยิ่ง ก่อนฉู่เหลียนจะแต่งออก คนทั้งคู่ก็มักจะแข่งขันกันทุกเรื่องอยู่เสมอ แม้ว่าตอนนี้ฉู่เหลียนจะแต่งออกและมิได้อยู่จวนอิ้งอีกต่อไป นางก็ยังมีบ้านหลักและบ้านสามที่ยังต้องประชันกันอีก นายท่านของบ้านสองอย่างฉู่ฉีเจิ้งนั้นไม่มีความสำเร็จใดให้เอ่ยถึง สตรีบ้านสองจึงด้อยค่ากว่าเล็กน้อยยามบ้านอื่นอยู่ด้วย ด้วยเหตุนี้ฮูหยินสองจึงมอบเงินให้บุตรีหนึ่งร้อยตำลึงเมื่อทราบว่านางจะออกมาซื้อของพร้อมพี่น้องจากบ้านใหญ่และบ้านสาม
ยิ่งตกอับในจวนเท่าใดก็ยิ่งไม่อาจเสียหน้าต่อคนภายนอกเท่านั้น
หน้าอกคุณหนูหยวนกระเพื่อมขึ้นลงด้วยความโมโหในถ้อยคำของคุณหนูเก้า แม้ว่านั่นจะเป็นเรื่องจริง แต่เมื่อขึ้นหลังม้าแล้วก็ย่อมไม่อาจลงได้อีก ทำได้เพียงกัดริมฝีปากจนห้อเลือด และทันใดนั้นเอง ขณะที่คุณหนูหยวนเงยหน้าขึ้นกำลังจะยอมรับว่านำเงินตำลึงมาไม่พอจริง ๆ ที่หางตาของนางก็เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยขึ้นมาเสียก่อน
คุณหนูหยวนประหลาดใจเล็กน้อย ทว่านางคิดหาวิธีหลบหนีออกจากปัญหานี้ได้แล้ว
สีสันบนใบหน้านางเริ่มกลับมาเป็นปกติ นางรีบกลืนคำพูดที่กำลังจะเอ่ยลงคออย่างรวดเร็ว คุณหนูห้าและคุณหนูเก้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดสีหน้านางจึงสามารถเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วราวกับพลิกหน้าหนังสือ
คุณหนูหยวนขยับกายไปด้านข้าง จับแขนคุณหนูซู ทำทีราวกับพวกนางเป็นพี่น้องแท้ ๆ จากบ้านเดียวกัน และเรื่องปิ่นทองที่เกิดก่อนหน้านี้ก็เลือนหายไป “พี่ห้า น้องเก้า ดูที่อีกฝั่งของถนนนั่นซิ! ใช่พี่หกหรือไม่? บังเอิญเสียจริง! ได้โอกาสออกมาข้างนอกเช่นนี้ก็ทำให้ได้เจอนางแล้ว” คุณหนูหยวนชี้ไปยังร้านยาเหิงเฉิง
เป็นจังหวะเดียวกับที่ฉู่เหลียนหันกลับมาและนำสาวใช้ทั้งสองออกจากโถงยาพอดี หนึ่งในสาวใช้โค้งกายลงกระซิบที่ข้างหู ฉู่เหลียนตั้งใจฟังและพยักหน้าตอบรับ
เมื่อฉู่เหลียนเดินออกมาแล้ว คุณหนูซูและคุณหนูฟู่ก็จำนางได้ทันที มิใช่ว่าฉู่เหลียนควรจะมีความสุขกับชีวิตหรูหราหลังแต่งเข้าจวนจิ่งอันหรอกหรือ? พวกนางมองหญิงสาวเบื้องหน้าที่เดินนำสาวใช้สองนางข้ามถนนจูเฉว่ มิใช่ว่ากำลังเดินมาทางหอจิ้นฉือนี่หรอกหรือ?
ไม่มีพนักงานคนใดที่ร้านยาเหิงเฉิงสนใจพวกนางสักคน และฉู่เหลียนเองก็มิได้พบตัวยาล้ำค่าอะไรวางอยู่ นางจึงยอมแพ้ นอกจากนั้นนางยังไม่รู้สภาพร่างกายของฮูหยินจิ่งอันป๋อโดยละเอียด เนื่องจากยาก็มิใช่จะดีต่อร่างกายเสมอไป มอบสิ่งอื่นให้มารดาคงจะดีกว่า
เมื่อฟังเวิ่นฉิงแนะนำแล้ว ฉู่เหลียนก็ตัดสินใจมุ่งหน้าไปหอจิ้นฉือ ขณะที่ข้ามมาถึงกลางถนนจูเฉว่ นางก็มองไปยังหอจิ้นฉือและพบร่างอันคุ้นตา
หากมิใช่ว่าคนในนั้นเห็นนางแล้ว นางย่อมหมุนกายวิ่งจากไปแล้วเป็นแน่ การไปยุ่งเกี่ยวกับพี่น้องบ้านเดิมของนาง โดยเฉพาะน้องสาวต่างมารดายิ่งไม่มีอะไรดีทั้งนั้น
ฉู่เหลียนอดไม่ได้ให้มองขึ้นฟ้า สงสัยจริงว่าวันนี้เป็นวันที่ดวงตกจริงหรือไม่ เจอแต่เรื่องไม่ดีทั้งนั้น และตอนนี้ก็กำลังมาอีกเรื่องแล้ว
ฉู่เหลียนเม้มปากถามเวิ่นฉิง “ช่วยข้าวิ่งหนีตอนนี้ได้หรือไม่? ”
เวิ่นฉิงเห็นคุณหนูแต่งกายหรูหราสามนางกำลังเดินตรงเข้ามา ชัดเจนว่าคงมาต้อนรับนายหญิงสามแน่ จึงรีบตอบ “ไม่ได้เจ้าค่ะนายหญิงสาม พวกนางเดินมุ่งหน้ามาเพื่อต้อนรับท่านแล้ว”
“เวิ่นฉิง เจ้ามีวรยุทธ์มิใช่หรือ? เจ้าบินขึ้นไปบนอากาศ เดินบนกำแพงพาข้าหนีไปไม่ได้หรือ? ข้าไม่อยากเจอคนพวกนั้น”
เวิ่นฉิงมีสีหน้ายุ่งยาก กล่าวตอบ “นายหญิงสาม ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้เจ้าค่ะ กระทั่งมังกรพิทักษ์และพยัคฆ์พิทักษ์ก็ยังไม่อาจบินหรือเดินบนกำแพงได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงบ่าวและเวิ่นหลานเลยเจ้าค่ะ”
ฉู่เหลียนคอตก ถอนใจอย่างผิดหวัง ตัดพ้อต่อโชคชะตาของตน ก่อนจะทำน้ำเสียงน่าสงสาร “เช่นนั้นพวกเจ้าต้องปกป้องข้าให้ดีนะ ไม่เช่นนั้นพวกนางต้องข่มเหงรังแกข้าแน่”
เวิ่นฉิงพูดไม่ออก นางเริ่มคุ้นเคยกับฉู่เหลียนบ้างแล้ว แม้นายหญิงสามจะเป็นคุณหนูร่างกายบอบบางอ่อนแอ ทว่านางเคยถูกรังแกจากใครจริง ๆ ได้ด้วยหรือ? มีเพียงนายหญิงสามที่ทำให้ผู้คิดร้ายต่อนางต้องโกรธเสียจนแทบจะสำลักตาย นางเม้มปากแน่น ไม่ตอบอะไร
ฉู่เหลียนทำได้เพียงส่งเสียงฮึ่มฮั่ม และทำท่าผิดหวัง “พวกเจ้าเริ่มจะน่าเบื่อขึ้นทุกทีแล้วนะ”
เมื่อบทสนทนาจบลง พวกนางก็มาถึงทางเข้าหอจิ้นฉือ โดยมีคุณหนูทั้งสามที่มารอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว
คุณหนูห้ายืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมรอยยิ้มเปื้อนหน้า ทำให้ใบหน้ากลม ๆ ของนางดูยิ่งไร้เดียงสา
“บังเอิญเหลือเกินน้องหญิงหก! ใครจะคิดว่าเราจะได้พบกันที่ถนนจูเฉว่นี้”
คุณหนูหยวนยืนอยู่เบื้องหลังคุณหนูซู มองฉู่เหลียนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า นางสวมใส่เพียงชุดเรียบง่ายสีฟ้าอ่อน ปักปิ่นธรรมดา ๆ บนศีรษะ ข้อมือก็ไม่มีกำไลสักชิ้น แต่งกายเช่นนี้กลับยิ่งดูอัตคัดเสียกว่ายามอยู่จวนอิ้ง!