ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 81 มอบของขวัญเป็นกำไลหยก
ผู้ดูแลหญิงตอบรับคำขอจากฉู่เหลียน และให้บ่าวนำเครื่องประดับอีกหลายชุดออกมาวางลงตรงหน้าทีละชุด โดยเครื่องประดับทุกชิ้นที่ผู้ดูแลนำออกมาล้วนแต่มีราคาถูกกว่าสามอันก่อนหน้า
ทันทีที่ฉู่เหลียนหยิบแหวนทองวงหนึ่งขึ้นมาดู ก็ทราบได้ทันทีว่าเครื่องประดับชุดใหม่นี้เทียบไม่ได้เลยกับของสามอย่างที่พี่น้องจวนอิ้งเลือกก่อนหน้านี้ ถึงกระนั้นนางก็ไม่ได้เปิดเผยการกระทำของตนให้ใครล่วงรู้ ก่อนจะวางลงอย่างนุ่มนวล และมิได้ดูหรือเลือกต่อ
ครู่หนึ่ง นางก็ลุกขึ้นเดินไปยังโต๊ะยาว บรรดาคุณหนูและผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นต่างมองหน้ากัน แม้แต่ผู้ดูแลเองก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าท่านหญิงจินอี่ ผู้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่แสนจะเรียบง่ายนี้กำลังคิดอะไรอยู่ จนกระทั่งเสียงนุ่มนวลของฉู่เหลียนดึงสติตนให้กลับมา
“ท่านผู้ดูแล ข้าอยากดูแหวนหยกพวกนี้ ช่วยนำมันออกมาให้ข้าดูเถิด”
ผู้ดูแลรีบเดินไปยังโต๊ะยาว ก้มลงมองตามปลายนิ้วเรียวที่กำลังชี้อยู่ เมื่อเห็นว่าสิ่งนั้นคืออะไร นางก็ถึงกับพูดไม่ออก และรีบนำกล่องไม้งดงามประณีตอันนั้นออกมาวางตรงหน้าฉู่เหลียน
สิ่งที่ฉู่เหลียนชี้ไปนั้นเป็นแหวนนิ้วโป้งหยกเหอเถียนคู่ วงหนึ่งมีขนาดใหญ่ อีกวงหนึ่งมีขนาดเล็กกว่า เห็นได้ชัดว่าถูกทำออกมาเพื่อคู่กัน
หยกเขียวเหอเถียนเป็นหยกที่มีมูลค่าสูงที่สุด เมื่อขึ้นรูปแล้วยิ่งทำให้ดูราคาแพง ในราชวงศ์อู่นี้ผู้คนไม่นิยมสวมแหวนที่นิ้วโป้งกัน ในราชสำนักก็มีเพียงขุนนางฝ่ายบู๊ที่นิยมสวมใส่ไว้ ซึ่งช่วยได้ดีในการรั้งสายธนู
ตอนที่หอจิ้นฉือได้รับหยกเหอเถียนมา พวกเขามิได้ตั้งใจจะนำมาทำเป็นแหวน ทว่าโชคไม่ดีนักที่หยกกลับมีรอยตำหนิ หัวหน้าช่างฝีมือจึงตัดสินใจทำเป็นแหวนคู่ ซึ่งนับว่าเป็นการประยุกต์ใช้หยกที่มีได้อย่างคุ้มค่าที่สุด ทว่าคนส่วนมากมิได้สนใจแหวนนิ้วโป้งเช่นนี้นัก ลูกค้าที่ผ่านไปผ่านมาจึงมองข้ามแหวนคู่นี้มาโดยตลอด…จนกระทั่งวันนี้
ฉุ่เหลียนเพียงมองปราดเดียวก็คิดแล้วว่าแหวนนี้เป็นแหวนหยกเหอเถียนคู่อันเดียวกับที่ปรากฏในนิยายแน่นอน ‘ฉู่เหลียน’ คนนั้นก็มีโอกาสได้แหวนชุดนี้ไป แม้จะไม่ใช่จากหอจิ้นฉือ ทว่านางก็ซื้อมันมา โดยแหวนวงใหญ่นั้นมีไว้สำหรับผู้ชาย ซึ่งแน่นอนเลยว่าเซียวป๋อเจี้ยนเป็นผู้ที่ได้ครอบครองไป
เซียวป๋อเจี้ยนในตอนนั้นได้กลายมาเป็นขุนนางเต็มตัว หลังจากที่เขาได้สวมแหวนหยกเขียวที่นิ้วโป้ง นั่นก็ทำให้การสวมแหวนหยกที่นิ้วโป้งนี้เปรียบเสมือนเป็นเครื่องบอกสถานะและกลายเป็นที่นิยมไปในเวลาต่อมา
เมื่อฉู่เหลียนถือหยกเหอเถียนไว้ในมือ หยกนั้นก็อุ่นขึ้นเล็กน้อย ความมันเงาและสีของตัวหยกที่ปรากฏนั้นจัดว่ามีคุณภาพสูงทีเดียว อีกทั้งแหวนวงเล็กที่คู่กันดูราวกับถูกสร้างมาเพื่อฉู่เหลียนโดยเฉพาะ เมื่อนางสวมมันเข้าที่นิ้วโป้ง สีเขียวเจิดจ้าของหยกก็เติมเต็มนิ้วขาวผ่อง ดูงดงามยิ่ง
กระทั่งเหล่าคุณหนูจากจวนอิ้งยังเผลอเหม่อลอยไปเมื่อได้เห็น พวกนางไม่เคยคิดเลยว่าเครื่องประดับหยาบ ๆ ที่มีแต่นายทหารสวมใส่กัน จะดูดีได้เมื่ออยู่บนมือสตรีเช่นกัน หากนางสวมใส่พร้อมชุดขี่ม้าเต็มตัวด้วยแล้ว ย่อมต้องงดงามจับตาเป็นแน่
ฉู่เหลียนพอใจมาก นางเหลือบมองไปยังผู้ดูแล สั่งการด้วยสายตา ว่านางต้องการคำอธิบายเรื่องแหวนคู่นี้
ผู้ดูแลตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะพยายามใจเย็นลงและเริ่มอธิบาย “ฮูหยิน ข้าผู้น้อยมิกล้าปิดบังท่าน ที่ท่านถืออยู่นี้คือแหวนหยกนิ้วโป้งคู่ ทำจากหยกเหอเถียนเขียวคุณภาพชั้นดี ทว่าจำนวนหยกที่ได้มามีจำกัด เราจึงทำออกมาได้เพียงเท่านี้ ทว่าผู้คนส่วนใหญ่มิได้สนใจซื้อแหวนเพื่อสวมใส่ที่นิ้วโป้งกัน แหวนคู่นี้จึงถูกวางแสดงไว้เช่นนี้มานานพอสมควรเจ้าค่ะ หากฮูหยินต้องการจริง ๆ ข้าให้ราคาสามร้อยตำลึงสำหรับแหวนคู่วงนี้ ท่านตกลงหรือไม่เจ้าคะ?”
ฉู่เหลียนฟังไปพยักหน้าไป นี่เหมือนกับในนิยายที่นางได้อ่านจริง ๆ แหวนคู่นี้ราคาถูกกว่าเครื่องประดับหยกเหอเถียนอื่น ๆ มาก และผู้ดูแลหอจิ้นฉือเองก็เป็นคนซื่อสัตย์และให้ราคายุติธรรม
ทว่าเงินสามร้อยตำลึงก็ไม่ใช่น้อยเลย
ฉู่เหลียนไม่ได้ออกปากว่าจะซื้อ ทว่าก็ไม่มีทีท่าจะยอมคืนแหวนให้ผู้ดูแลไปเช่นกัน นางยังดูเครื่องประดับอื่นต่อ
คุณหนูฟู่ยืนอยู่ด้านหลังฉู่เหลียนจากมุมที่ไม่มีใครเห็น นางแค่นยิ้มขณะคิด ‘หากเจ้าไม่มีปัญญาซื้อ เช่นนั้นจะถามไปเพื่ออะไร? หรือทำไปเพียงจะซื้อเวลารอคนมาจ่ายแทนหรือ?’
คุณหนูหยวนเริ่มหมดความอดทนแล้วเช่นกัน “พี่หญิงหก ท่านเลือกดูเครื่องประดับตั้งมากมายเช่นนี้ ดูเสร็จแล้วหรือไม่?”
ฉู่เหลียนหันไปมอง วางปิ่นหยกรูปดอกกล้วยไม้ในมือลง และยิ้มให้คุณหนูหยวน
“มีเรื่องสำคัญอะไรหรือ? เหตุใดน้องแปดจึงดูเป็นกังวลเสียยิ่งกว่าข้าอีกเล่า”
ไม่รอให้คุณหนูหยวนได้โมโห คุณหนูฟู่ก็พูดต่อพร้อมทั้งยิ้มอย่างมีเลศนัย “พี่หก ท่านคงมิได้เร่งรีบออกจากบ้านเสียจนลืมนำเงินติดตัวมาด้วยกระมัง? เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร เราเพียงแค่ต้องปล่อยวางจากเครื่องประดับที่งดงามเหล่านี้ไปเสีย”
คุณหนูซูโมโห “น้องแปด น้องเก้า! พวกเจ้าทั้งสองพอได้แล้ว!”
คุณหนูฟู่ยังคงมองหน้าฉู่เหลียน แม้หญิงสาวเบื้องหน้าจะดูใจเย็น ทว่าในดวงตาคู่นั้นกลับแฝงแววแตกตื่นเป็นไปดั่งที่นางคาดหวังไว้ นางจึงพอใจกับผลงานนี้แล้ว และยังคิดต่อในใจ ‘ดูเอาเถิดว่านางจะแก้ตัวอย่างไร!’
ผู้ดูแลยังคงลอบมองฉู่เหลียนเงียบๆ นางไม่คิดว่าฉู่เหลียนที่แต่งตัวเรียบง่ายจะมีเงินมากกว่าหนึ่งพันตำลึงเพื่อใช้จ่ายไปกับเครื่องประดับเหล่านี้
ฉู่เหลียนมองคุณหนูซู ปลอบใจนาง “พี่ห้าอย่าได้กังวลไป ข้าคิดว่ากำไลหยกเป็นตัวเลือกที่ดี และต้องเหมาะสมกับท่านมากแน่”
จากนั้น นางจึงหันไปมองคุณหนูหยวนและคุณหนูฟู่ ประกายเจิดจ้าทอแสงในดวงตาดำสนิท สีหน้าแปรเปลี่ยนรวดเร็ว ทำให้คุณหนูทั้งสองอึดอัดไปชั่วขณะจนไม่กล้าเอ่ยถ้อยคำใด ๆ
ร่องรอยอึดอัดใจและกังวลหายวับไปจากแววตาฉู่เหลียน และถูกแทนที่ด้วยประกายเจิดจ้าขบขันปนเจ้าเล่ห์
นางหันหน้าหาผู้ดูแลที่ยืนตกตะลึงอยู่ก่อนจะกล่าว “ท่านผู้ดูแล โปรดห่อเครื่องประดับสามชิ้นที่คุณหนูทั้งสามเลือก และแหวนคู่นี้ให้ข้าด้วย เวิ่นฉิง เจ้าตามผู้ดูแลไปจ่ายเงินให้เรียบร้อย”
ฉู่เหลียนดูเครื่องประดับของหอจิ้นฉือจนทั่ว แม้ฝีมือของช่างจะประณีต วัสดุของเครื่องประดับจะมีคุณภาพสูง แต่การออกแบบเหล่านั้นยังดูโบราณและเรียบง่ายเกินไป ไม่มีรูปแบบใหม่ ๆ ให้เห็นมากนัก หากนางออกแบบเองแล้วส่งให้หัวหน้าช่างฝีมือของหอจิ้นฉือทำให้ นางมั่นใจว่ามันจะต้องออกมาดีกว่ามากเป็นแน่
ผู้ดูแลผู้นั้นเผลอคิดไปเองว่าท่านหญิงจินอี่คงจะซื้อเครื่องประดับสักชิ้นในร้านนี้ไม่ได้เสียด้วยซ้ำ แต่ใครจะคาดได้ว่าท่านหญิงจะใจกว้างกับเหล่าพี่น้องได้เพียงนี้เล่า? นางซื้อทั้งแหวนคู่ที่นางชอบ พร้อมทั้งเครื่องประดับที่คุณหนูทั้งสามเลือกอีก ทั้งหมดรวมกันราคาหกร้อยกว่าตำลึง นี่ถือเป็นการค้าครั้งใหญ่เลยเชียว
ผู้ดูแลยิ้มกว้าง “ในเมื่อฮูหยินตั้งใจซื้อเครื่องประดับทั้งหมดนี้ ข้าผู้น้อยขอเสนอราคาให้เพียงหกร้อยตำลึง และแน่นอนว่าต่างหูหยกคู่ที่ข้าเสนอให้คุณหนูผู้นั้นไปย่อมรวมอยู่ด้วยโดยไม่คิดเงินเพิ่มเจ้าค่ะ”
ได้ยินดังนี้ เวิ่นฉิงก็ดึงเอาตั๋วแลกเงินออกมาจากถุงจำนวนหกร้อยตำลึงและส่งต่อให้ผู้ดูแล เมื่อผู้ดูแลตรวจสอบตั๋วแลกเงินแล้ว นางก็ห่อของลงในกล่องไม้ที่เหมาะสม ก่อนจะส่งให้สองสาวใช้
ฉู่เหลียนหันยิ้มให้คุณหนูทั้งสามเสียจนดวงตาดูคล้ายจันทร์คว่ำ
คุณหนูทั้งสามจากจวนอิ้งตกตะลึงนิ่งงันโดยไม่ปิดบัง ทว่าความรู้สึกภายในกลับแตกต่างกันออกไป ใบหน้าคุณหนูซูดูกังวลใจเล็กน้อยที่เห็นเป็นเช่นนั้น ขณะที่คุณหนูหยวนยิ้มด้วยความดีใจสมดั่งที่ใจตนปรารถนา ส่วนคุณหนูฟู่นั้นกลับดูผิดหวัง ไม่พอใจที่แผนของตนไม่สำเร็จ
คุณหนูฟู่เอ่ยปากอย่างฝืนใจ “พี่หญิงหกช่างโชคดีจริง ๆ ที่ได้รับบรรดาศักดิ์เช่นนี้! ยามนี้ข้าได้ประจักษ์ด้วยตาตนเองแล้ว!”
คราวนี้ ฉู่เหลียนไม่นิ่งเงียบอีกต่อไป นางมองคุณหนูฟู่ด้วยรอยยิ้มกว้าง “ขอบคุณน้องเก้าที่ชม”
คุณหนูฟู่ได้ยินคำพูดของฉู่เหลียนก็แทบจะกระอักเสียจนไม่อาจปั้นหน้าเสแสร้งต่อไปได้ ความไม่พอใจเผยออกให้เห็นชัดเจน
สายตาคุณหนูหยวนจับจ้องเพียงกล่องที่เวิ่นหลานถืออยู่ นางเกลียดนักที่ไม่อาจคว้าเอาปิ่นมรกตที่อยากได้มาในทันที และตอนนี้มีเพียงคุณหนูซูที่เดินตามหลังฉู่เหลียนออกมาด้วยความกังวลใจ เกรงว่าจะทำให้น้องสาวผู้นี้จะต้องใช้จ่ายเงินมากเกินไปด้วยเพราะการท้าทายในครั้งนี้
เมื่อซื้อของเสร็จ ฉู่เหลียนก็ไม่อยากอยู่หอจิ้นฉืออีกต่อไปแล้ว ผู้ดูแลจึงเดินไปส่งสตรีทั้งสี่แห่งจวนอิ้งที่หน้าประตูร้าน และเมื่อมาถึงจุดที่รถม้าของฉู่เหลียนจอดอยู่ นางก็หยุด หันหน้าไป หยิบหนึ่งในกล่องที่เวิ่นหลานถืออยู่ส่งให้คุณหนูซูที่อยู่ด้านหลัง
“พี่หญิงห้า นี่กำไลหยกที่ท่านต้องการ รับไปสิ”
คุณหนูซูปฏิเสธ ส่ายหน้า “น้องหญิงหก กำไลนี้แพงเกินไป ข้ารับไว้ไม่ได้!”
คุณหนูซูไม่เคยคาดหวังหรือต้องการให้ฉู่เหลียนมอบกำไลหยกให้ตนแม้แต่น้อย ฉู่เหลียนมองนางอย่างขี้เล่น สวมกำไลหยกเข้าที่ข้อมือของอีกฝ่าย “พี่ห้า กำไลหยกนี้ไม่เหมาะกับข้าแม้แต่น้อย ข้านำกลับไปก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี” นางยกข้อมือของตนให้คุณหนูซูดู
ข้อมือฉู่เหลียนบอบบางกว่าคุณหนูซูมาก ดังนั้นกำไลหยกจึงไม่เหมาะกับนางจริง ๆ
ดวงตาของคุณหนูหยวนเบิกกว้าง ในใจเต็มไปด้วยความวิตกเมื่อเห็นทั้งสองผลักกล่องน้อยในมือไปมา นางอยากให้คุณหนูซูรับของขวัญไว้จริง ๆ เพื่อที่จะได้ไม่ส่งผลต่อปิ่นทองของนาง ในที่สุดเมื่อคุณหนูซูยอมรับกำไลไว้ นางก็ลอบถอนใจด้วยความโล่งอก สายตาคุณหนูหยวนตรึงแน่นที่ฉู่เหลียนทันที
คุณหนูซูไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรับกำไลไว้ นางทั้งรู้สึกผิดทั้งรู้สึกยินดี ฉู่เหลียนต้องการมอบสิ่งนี้ให้นางจริง ๆ นั่นหมายความว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางยังคงดีอยู่ “เช่นนั้นข้าคงต้องของคุณน้องหกไว้ ณ ที่นี้ คราวหน้าหากข้ามีของดีในมือ ย่อมต้องคิดถึงน้องหกเป็นคนแรก”
ฉู่เหลียนส่งยิ้มและตบหลังมืออีกฝ่ายเบา ๆ จากนั้นจึงหันมองคุณหนูหยวนและคุณหนูฟู่
คุณหนูหยวนจ้องนางด้วยสายตาที่แทบจะเรียกได้ว่าบ้าคลั่ง ส่วนคุณหนูฟู่เองก็มีสีหน้าน่าเกลียดไม่แพ้กันตั้งแต่ถูกตบหน้าด้วยการกระทำของฉู่เหลียนในหอจิ้นฉือ ยามนี้กระทั่งรอยยิ้มมารยาทก็ทำไม่ได้ และเอาแต่เม้มปากไม่เอ่ยคำใด
ฉู่เหลียนลอบกลอกตา ขนาดนี้แล้ว คุณหนูทั้งสองยังหวังจะได้ของขวัญจากนางอีกหรือ? คิดว่านางเป็นนักบุญหรืออย่างไร?
ฉู่เหลียนละสายตาจากคนทั้งสอง หันไปมองคุณหนูซูแทน จากนั้นเอ่ยด้วยสีหน้าอบอุ่น “พี่ห้า ตอนนี้ก็สายมากแล้ว ข้าคงต้องขอกลับจวนก่อน เช่นนั้นกล่าวลากันตรงนี้เลยเถิด ประเดี๋ยววันหลังข้าจะส่งเทียบเชิญให้ท่านมาร่วมงานชมบุปผาด้วยกัน”
คุณหนูซูยิ้มและพยักหน้า เมื่อกล่าวลาเสร็จ ฉู่เหลียนก็หันกลับไปยังรถม้าทันที
คุณหนูหยวนตกตะลึงไปชั่วครู่ ไม่ทันได้คิดให้มากความ นางเอื้อมมือไปหาฉู่เหลียนคล้ายต้องการให้กลับมา เมื่อนางได้สติรู้ตัวก็ต้องรีบไล่ตามฉู่เหลียนไปอย่างช่วยไม่ได้
“พี่หก รอเดี๋ยว!”
ฉู่เหลียนหยุด หันไปมอง นางกะพริบตาราวกับเด็กไร้เดียงสา เอียงคอไปด้านหนึ่งด้วยทีท่าแสร้งสับสน “น้องแปด มีอะไรหรือ?”
คุณหนูหยวนเม้มปาก ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ ฉู่เหลียนลืมปิ่นของตนจริง ๆ ด้วย! ทำเช่นนั้นได้อย่างไร? ปิ่นทองนั่นนางเป็นผู้เลือกคนแรก! และมันสมควรเป็นของนาง!
คุณหนูหยวนพยายามอดกลั้นข่มความไม่พอใจและเกรี้ยวกราดลง ฝืนเค้นยิ้มทื่อ ๆ ออกมา “พี่หก ท่านลืมอะไรไปหรือไม่?”
ดวงตาฉู่เหลียนกรอกขึ้นด้านบนคล้ายพยายามคิดอย่างจริงจัง ทว่าผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ส่งยิ้มให้คุณหนูหยวนที่ส่งสายตาคาดหวังมาอย่างท่วมท้น และส่ายหน้า “ความจำข้ายังดีอยู่! ข้าจำเรื่องสำคัญได้ทุกเรื่อง ไม่ได้ลืมอะไรทั้งนั้น”
อะไรนะ!
คุณหนูหยวนเบิกตากว้าง มือกำหมัดแน่นใต้แขนเสื้อ นางเอ่ยออกมาด้วยความไร้สติอย่างคนโง่งม “ในเมื่อพี่หญิงหกจำไม่ได้ เช่นนั้นให้ข้าเป็นคนเตือนเองก็แล้วกัน ปิ่นทองของข้าเล่า!”