ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 82 ใครว่าจะให้เจ้า
ฉู่เหลียนทำท่าเหมือนเพิ่งนึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น “โอ น้องแปด เจ้าหมายถึงปิ่นทองที่ข้าเพิ่งซื้อมาจากหอจิ้นฉือหรอกหรือ? มันมีปัญหาตรงไหนหรือไม่? ”
คุณหนูหยวนเห็นฉู่เหลียนยังแสร้งทำเป็นลืม นางโมโหเสียจนอยากพุ่งตัวใส่เวิ่นหลานแล้วยื้อแย่งปิ่นทองมา
“ข้าเป็นผู้เลือกปิ่นนั่น!”
ฉู่เหลียนพยักหน้า “ใช่ น้องแปดเป็นผู้เลือกปิ่นปักผมทองคำนั่น”
สำหรับคุณหนูหยวนแล้ว เมื่อฉู่เหลียนยอมรับในเรื่องนี้ก็เท่ากับว่ายอมรับเรื่องที่จะยกปิ่นให้นาง ประกายไฟแห่งความคาดหวังปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง ทว่าเมื่อฉู่เหลียนกล่าวต่อ คุณหนูหยวนก็ถึงกับโง่งมไป
“ทว่าข้าเป็นคนจ่ายเงิน น้องแปดคิดว่าของทุกสิ่งที่เจ้าชอบจะกลายมาเป็นของเจ้าโดยไม่ต้องเสียอะไรเลยหรือ? ช่างเป็นเด็กน้อยที่ดูจะไร้เดียงสาเกินไปหน่อยหรือไม่? ”
ประโยคนี้ทำให้นางหมดหวัง แม้คุณหนูหยวนพอจะรู้อยู่แก่ใจตัวเองว่าฉู่เหลียนคงไม่ยกปิ่นทองให้ ถึงอย่างนั้นนางก็ยังโวยวายต่ออยู่ดี “แต่เจ้ามอบกำไลหยกนั่นให้พี่หญิงห้า! ”
“ใช่ ข้าเป็นคนให้นางเอง แต่ข้าไม่เคยคิดจะมอบปิ่นทองให้เจ้าเลยสักนิด หรือเจ้าเคยได้ยินข้าพูดอะไรเช่นนั้นหรือ?” ฉู่เหลียนโยนประโยคสุดท้ายใส่หน้าน้องแปดและหันหลังมุ่งตรงไปยังรถม้าทันที
เบื้องหลังนางยามนี้คือสามพี่น้องจวนอิ้ง นางอดมิได้เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ชั่วร้าย เวิ่นฉิงเวิ่นหลานเห็นดังนี้ก็รู้สึกโล่งใจยิ่ง พร้อมทั้งคิดชื่นชมนายของตนอย่างลึกล้ำ นายหญิงทั้งเฉลียวฉลาดและมีฝีมือในการเล่นละครตบตาผู้อื่นได้ดีเหลือเกิน! ดีจริง ๆ!
คุณหนูฟู่ที่พ่ายแพ้ต่อฉู่เหลียนอย่างราบคาบยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับถูกยึดตรึงด้วยรากที่ฝังดิน มึนงงและสับสนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนไม่อาจขยับได้
ดวงตาคุณหนูหยวนเอ่อล้นไปด้วยน้ำ ฉู่เหลียนทำเช่นนี้กับนางได้อย่างไร? เหตุใดฉู่เหลียนจึงไร้ยางอายถึงเพียงนี้! ปิ่นทองนั่นควรเป็นของนาง!
กับดักของสองพี่น้องจวนอิ้งนั้นชัดเจนเกินไป ตั้งแต่แรกเริ่ม ฉู่เหลียนก็รู้ตัวและไม่คิดปล่อยให้แผนร้ายนี้สำเร็จโดยง่าย เหตุที่นางยอมซื้อเครื่องประดับทุกชิ้นที่เหล่าคุณหนูเลือกน่ะหรือ? นั่นเป็นส่วนหนึ่งของแผน มอบกำไลหยกให้คุณหนูซูน่ะหรือ? ก็ส่วนหนึ่งของแผนอีกเหมือนกัน เพื่อทำให้อีกสองคนตายใจและคิดว่าว่านางยอมซื้อเครื่องประดับพวกนั้นให้พวกตนจริง ๆ ทว่าฉู่เหลียนไม่เคยออกปากแม้แต่ครั้งเดียวว่าจะยกให้!
ซื้อเครื่องประดับก็เรื่องหนึ่ง ทว่าจะมอบของให้คนพวกนั้นหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง
ชั่วขณะหนึ่ง คุณหนูซูมองตามแผ่นหลังฉู่เหลียนที่จากไป จากนั้นหันกลับมามองคุณหนูหยวนและคุณหนูฟู่ นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “สายมากแล้ว เราก็ควรกลับจวนได้แล้วเช่นกัน”
“กลับจวนหรือ? ข้าไม่อยากกลับจวน! ข้าอยากได้ปิ่นทองนั่น! ” ด้วยความเกรี้ยวกราด คุณหนูหยวนเริ่มอาละวาดคล้ายเด็ก ๆ
“หากเจ้าอยากได้มันมากขนาดนั้น ก็กลับเข้าไปในหอจิ้นฉือพร้อมเงินหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงเถิด แล้วเจ้าก็จะได้มันมาครอบครองโดยง่าย” คุณหนูซูเอ่ยตอบ แม้นางจะดูใจดีทว่าก็มิใช่คนที่ยอมให้ใครมารังแกได้ ถึงอย่างไรคุณหนูหยวนก็มาจากคนละบ้าน นางยิ่งไม่มีเหตุผลให้ต้องอดทนต่อคำคร่ำครวญเหล่านั้น
คุณหนูหยวนรู้สึกย่ำแย่ หยาดน้ำตาหลั่งไหลส่องประกายราวไข่มุก นางถูกฮูหยินสองตามใจจนเสียคน แม้ปีนี้อายุสิบสี่แล้ว แต่นิสัยก็ยังเอาแต่ใจและไม่มีความอดทน เมื่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ นางก็จะทำตัวไร้เหตุผลทันที กระทั่งสาวใช้ของนางก็ยังรู้สึกอับอายแทน
คุณหนูหยวนมองไปรอบ ๆ เพื่อหาใครสักคนที่นางจะงอแงใส่ได้และยอมจำนนให้กับนางเหมือนยามอยู่ที่จวน ทว่าคุณหนูซูและคุณหนูฟู่กลับมองนางด้วยสายตาดูถูก หยามเหยียด
ทว่าเมื่อมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง นางก็พบกับชายวัยกลางคนที่กำลังมุ่งหน้ามาทางพวกนางพร้อมบ่าวรับใช้ที่ด้านหลัง จะเป็นใครได้อีกนอกจากนายท่านสองแห่งจวนอิ้ง ฉู่ฉีเจิ้ง!
ทันทีที่คุณหนูหยวนเห็นฉู่ฉีเจิ้ง นางก็พุ่งเข้าไปกอด “ท่านพ่อ!”
ตอนออกมาจากจวนสกุลผาน ฉู่ฉีเจิ้งบังเอิญพบกับคุณชายทั้งสองของจวนบนถนนพอดี และได้ยินจากพวกเขาว่าคุณหนูทั้งสามอยู่ที่หอจิ้นฉือ จากนั้นจึงรีบมา
เมื่อก้มมองลงไปก็เห็นจมูกของบุตรสาวแดงก่ำ อีกทั้งใบหน้านวลยังอาบด้วยคราบน้ำตา ฉู่ฉีเจิ้งนิ่วหน้า ใครกล้าทำร้ายลูกสาวของเขา? เขาลูบหัวนางเบา ๆ “หยวนเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นหรือ? เหตุใดเจ้าจึงเสียใจเพียงนี้? ”
“ท่านพ่อ! พี่หกขโมยปิ่นปักผมทองคำของข้าไป! ข้าเป็นคนเลือกมันมาก่อน! ” เสียงคุณหนูหยวนอ่อนลงเมื่ออุทธรณ์ให้บิดาฟัง
หัวคิ้วฉู่ฉีเจิ้งขมวดเข้าหากันมากกว่าเดิม ฉู่เหลียนน่ะหรือ?
คุณหนูซูกำลังจะอธิบาย แต่คุณหนูฟู่กลับดึงนางไว้ก่อน ลดเสียงลงกระซิบข้างหู “พี่หญิงห้า ท่านอย่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องของบ้านสองจะดีกว่า”
คุณหนูซูนิ่งคิดชั่วครู่ สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ ท่านอาสองผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องความหัวแข็ง ต่อให้พยายามเข้าไปแทรกก็ใช่ว่าเขาจะฟังนาง
ทางด้านคุณหนูหยวนยังคงมองฉู่ฉีเจิ้งด้วยดวงตาปริ่มน้ำ พร้อมทั้งชี้นิ้วไปยังทางที่ฉู่เหลียนจากไป
ในขณะนั้น เวิ่นหลานเพิ่งจะรับเอาเก้าอี้เตี้ยจากด้านในรถม้ามาวางที่พื้นถนนเพื่อเตรียมช่วยฉู่เหลียนขึ้นรถ
ฉู่ฉีเจิ้งไม่มีบุตรชาย ที่จวนอิ้งเขาก็เหลือเพียงบุตรสาวอย่างฉู่หยวนแค่คนเดียว จึงตามใจเด็กสาวผู้นี้ราวกับไข่มุกในอุ้งมือมาตั้งแต่นางยังเล็ก และแน่นอนว่าเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาย่อมต้องช่วยนางทวงความยุติธรรมคืน แม้เขาจะได้ยินถ้อยคำเพียงไม่กี่คำจากปากของบุตรี เขาก็หลวมตัวเชื่อและมุ่งตรงไปหาฉู่เหลียนทันที
ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่นางจะเข้าสู่รถม้า หางตาของฉู่เหลียนกลับเหลือบเห็นเงาร่างของบิดาที่กำลังเดินตรงมา ดังนั้นนางจึงหยุดทุกการเคลื่อนไหว และยืนอยู่ข้างรถม้า หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
เมื่อฉู่ฉีเจิ้งเข้ามาใกล้มากพอ ฉู่เหลียนก็ก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อเป็นการทักทายบิดาด้วยกิริยามารยาทที่อ่อนน้อม
“ท่านพ่อมีเหตุด่วนอันใดกับข้าหรือเจ้าคะ? ”
ใบหน้าฉู่ฉีเจิ้งนับว่ายังดูดีนักสำหรับคนวัยเท่านี้ อาจเรียกว่าเป็นคุณลุงวัยกลางคนผู้อ่อนโยนคนหนึ่งได้เลย แต่แย่หน่อยที่ตอนนี้เขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างเคร่งเครียด ไม่สบอารมณ์เสียจนทำลายความดูดีที่มีไปจนหมดสิ้น
เขาไม่เสียเวลาพูดจาอ้อมค้อมกับฉู่เหลียนแม้เสี้ยววินาที เอ่ยปากตรง ๆ ทันทีที่มาถึง “คืนปิ่นทองนั่นให้แก่น้องสาวเจ้าเสีย นางบอกว่านั่นเป็นของนาง เจ้าเป็นพี่สาวก็ไม่ควรแย่งชิงของของน้องมาเป็นของตนเช่นนี้”
หากฉู่เหลียนไม่ได้มั่นใจว่าตนเป็นบุตรสาวของภรรยาหลวงแห่งจวนอิ้งแน่แล้ว นางก็อาจสงสัยว่าตนไม่ใช่สายเลือดที่แท้จริงของเขาหรือไม่ เขาเป็นพ่อของพวกนางทั้งคู่ แต่ใจฉู่ฉีเจิ้งกลับเอนเอียงเข้าข้างเพียงฉู่หยวน!
โชคดีที่นางไม่ใช่ ‘ฉู่เหลียน’ คนเดิมในต้นฉบับ และฉู่ฉีเจิ้งก็เป็นแค่คนแปลกหน้าวัยกลางคนที่นางจำต้องพบเจอเพียงไม่กี่ครั้ง หากนับเขาเป็นพ่อจริง ๆ ป่านนี้นางคงโกรธจนตายแค่เพราะคำพูดที่ออกมาจากปากของเขาไปแล้วกระมัง
ตอนนี้คุณหนูหยวนที่มีคนคอยให้ท้ายอยู่จ้องมองฉู่เหลียนด้วยท่าทางยโส
ฉู่เหลียนขี้เกียจเสวนากับคู่พ่อลูกสมองกลวงสองคนนี้เต็มทน นางกลอกตาด้วยความเอือมระอา จากนั้นจึงแค่นเสียงกล่าว “ท่านพ่อ มาคาดคั้นเอาความจากข้าโดยไม่ตรวจสอบความจริงก่อนหรอกหรือเจ้าคะ? คนไม่รู้คงคิดว่าข้าไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของท่านเป็นแน่! ”
ฉู่ฉีเจิ้งเบิกตามโพลงมองนางอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าบุตรีของตนจะเอ่ยถ้อยคำเช่นนั้น ความโมโหของเขาจึงปะทุขึ้น และตั้งท่าจะตวาดด่าเพื่อข่มขู่นาง ทว่าฉู่เหลียนกลับไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ทำสิ่งที่มุ่งหมายไว้
“คราวหน้าข้าหวังว่าท่านพ่อจะสืบหาความจริงให้ดีเสียก่อน ไม่ใช่ว่าจะมาใส่ร้ายบุตรสาวของท่านโดยไร้ซึ่งหลักฐานเช่นนี้ อย่าได้มากล่าวโทษข้าอีก ข้าย่อมทนกับการถูกกล่าวหาพล่อย ๆ มิได้ ปิ่นทองคำที่ท่านเอ่ยถึงนั่นเป็นข้าที่ซื้อมาด้วยเงินหนึ่งร้อยกับห้าสิบตำลึง ไม่มาก ไม่น้อยไปกว่านั้น หากท่านยังไม่เชื่อก็ลองไปถามผู้ดูแลที่หอจิ้นฉือได้ และหากน้องแปดอยากได้นัก ท่านก็ซื้อให้นางเสียอันหนึ่งก็ได้ ข้าคิดว่าท่านพ่อคงไม่เดือดร้อนอะไรกระมังกับเงินจำนวนเพียงเท่านี้ เพราะท่านเป็นถึงบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ใจกว้าง”
ฉู่เหลียนกล่าวจบ นางก็ปีนกลับขึ้นรถม้าด้วยตัวเอง เสียงคนขับฟาดแส้หวดลงที่หลังม้า ก่อนที่รถม้าของฉู่เหลียนจะค่อย ๆ เคลื่อนย้ายจากไปและหายลับพ้นสายตาของฉู่ฉีเจิ้ง
ฉู่ฉีเจิ้งรู้จักเพียงฉู่เหลียน บุตรสาวที่บางคราวก็ปรารถนาให้เขายอมรับ แต่กลับไม่คาดว่านางจะเอ่ยวาจามุทะลุ ทำให้เขาต้องอับอายขายหน้าโดยไม่แม้แต่จะคิด! ใบหน้าเขามืดหม่นเต็มไปด้วยความโกรธ ทว่ากลับไม่อาจกล่าวโทษหรือหาความผิดจากถ้อยคำของฉู่เหลียนได้เช่นกัน
สุดท้ายจึงทำได้เพียงสะกดกลั้นความโกรธ หันไปถามคุณหนูหยวน “พี่สาวเจ้าพูดความจริงหรือไม่? ”
คุณหนูหยวนทราบว่าแผนการของนางล้มเหลวอีกครั้ง จึงส่งเสียงฮึ่มฮั่ม ตอบ “พี่หกซื้อปิ่นทองนั่นเจ้าค่ะ ทว่าข้าเป็นคนเลือกมันก่อนคนแรก! ” ขณะเอ่ย นางก็เริ่มร้องไห้ เงยหน้ามองฉู่ฉีเจิ้งด้วยด้วยสายตาเว้าวอน “ท่านพ่อเจ้าขา ลูกอยากได้ปิ่นทองนั่นจริง ๆ บางที…ท่านพ่อจะกรุณาซื้อปิ่นให้หยวนเอ๋อร์สักอันหนึ่งได้หรือไม่เจ้าคะ? ”
ซื้อปิ่นให้อันหนึ่ง?
ใบหน้าฉู่ฉีเจิ้งแข็งทื่อ ฮูหยินสองดูแลการเงินที่เรือนอย่างเข้มงวด เขาเองก็ไม่มีเงินส่วนตัวมากนัก ทั้งยังลอบออกไปเที่ยวเล่น ดื่มกิน และทำเรื่องสนุกอยู่บ่อยครั้ง แล้วเขาจะมีเงินถึงหนึ่งร้อยตำลึงเพื่อไปซื้อปิ่นได้อย่างไร?
“ไร้สาระ! หยุดคิดเรื่องซื้อนี่ซื้อนั่นได้แล้ว! เจ้าใช้เงินไปกับเครื่องประดับมากมาย! เด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าล้วนแต่ทำสิ่งที่มีประโยชน์มากกว่าซื้อของพวกนี้ทั้งนั้น หัดใส่ใจเรื่องการเรียนเสียบ้าง” ฉู่ฉีเจิ้งสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป ในอกยังคงคุกรุ่นด้วยถ้อยคำของฉู่เหลียน
เมื่อคุณหนูหยวนเห็นว่าแผนของนางไม่เป็นผล นางก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาตัวเอง ก้มหน้าตาแดงก่ำ ในใจเปี่ยมด้วยความเกลียดชังที่มีต่อฉู่เหลียน
คุณหนูฟู่และคุณหนูซูยืนมองอยู่จากที่ไกล ๆ ริมฝีปากคุณหนูฟู่โค้งขึ้น “ตั้งแต่พี่หญิงหกแต่งออกไป นางก็ดูจะรับมือได้ยากขึ้นทุกที”
ทว่าคุณหนูซูมิได้คิดเช่นเดียวกัน และกลับคิดว่าหากนางตรงไปตรงมาได้เช่นน้องหกก็คงจะดี!
ระหว่างทางกลับจวนจิ่งอัน ฉู่เหลียนเอนกายพิงผนัง หลับตาพัก เวิ่นฉิงและเวิ่นหลานนั่งอยู่ตรงข้างเฝ้ามองสีหน้าของผู้เป็นนาย ในที่สุดเวิ่นฉิงก็อดมิได้ พยายามพูดปลอบโยนนาง “นายหญิงสามเจ้าคะ โปรดอย่าได้คิดถึงเรื่องนั้นมากไปเลยเจ้าค่ะ ยามนี้ท่านเป็นคนของจวนจิ่งอันแล้ว ท่านยังมีคุณชายสาม มีฮูหยิน และมีเหล่าไท่จวินอยู่นะเจ้าคะ! ”
ได้ยินดังนั้น ฉู่เหลียนก็ลืมตาขึ้นมองเวิ่นฉิง นางพลันยิ้ม เอื้อมมือไปหยิกจมูกเวิ่นฉิง “เด็กโง่ เจ้าคิดอะไรกัน? ข้าไม่ได้โมโห”
ทั้งแม่สามีและย่าสามีต่างดูแลนางดีมากมาโดยตลอด แค่นั้นฉู่เหลียนก็พอใจแล้ว ส่วนเจ้าสามีบ้า ๆ ที่หายตัวไปนั่นก็ลืม ๆ ไปเถอะ นางไม่คิดคาดหวังอะไรจากเขาอยู่แล้ว
เมื่อเวิ่นฉิงเห็นฉู่เหลียนยิ้มจากใจ ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ นางก็ถอนใจด้วยความโล่งอกพร้อม ๆ กันกับเวิ่นหลาน จากนั้นจึงพยายามทำให้นายหญิงของตนอารมณ์ดีขึ้นด้วยเรื่องเล่าตลก ๆ สองสามเรื่อง
ฉู่เหลียนกลอกตา “เอาล่ะ พอแล้ว เรื่องตลกเจ้าไม่เห็นตลกเลย! ”
เวิ่นฉิงยกมือปิดรอยยิ้ม “หากนายหญิงสามมีเรื่องตลกกว่านี้ เหตุใดไม่ลองเล่าให้บ่าวฟังล่ะเจ้าคะ”
ฉู่เหลียนกระแอมครั้งหนึ่ง “เช่นนั้นฟังให้ดี”
เวิ่นฉิงและเวิ่นหลานพยักหน้าจริงจัง ฉู่เหลียนกระแอมใส่กำปั้นอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นส่งสายตาเจ้าเล่ห์ให้ทั้งสองด้วยดวงตากลมโตฉ่ำน้ำ “หากคนอ้วนกระโดดลงจากเจดีย์เก้าชั้น เขาจะกลายเป็นอะไร? ”
เวิ่นฉิงและเวิ่นหลานพยายามครุ่นคิดอย่างยากลำบากอยู่นานสองนาน ทายทุกอย่างเท่าที่จะทายได้ กระทั่ง ‘พระพุทธองค์’ ก็ยังลอง ทว่าฉู่เหลียนก็ยังคงส่ายหน้า
ความสงสัยในใจเวิ่นฉิงท่วมท้นจนอกแทบแตก นางเดาคำตอบเช่นไรก็ไม่ถูกเสียที สุดท้ายจึงออดอ้อน “นายหญิงสามเจ้าขา บอกคำตอบที่แท้จริงแก่พวกบ่าวเถิดนะเจ้าคะ~! เขาจะกลายเป็นอะไรหรือเจ้าคะ? ”
ฉู่เหลียนทำหน้าจริงจัง และตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “จะเป็นอะไรไปได้เล่า? เขาก็กลายเป็นคนตายที่ตัวอ้วนน่ะสิ! มนุษย์ที่ไหนจะรอดได้หากตกจากเจดีย์เก้าชั้นกัน? ”
ได้ยินคำตอบสุดท้าย เวิ่นฉิงและเวิ่นหลานก็ทำปากพะยับพะเยิบคล้ายจะพูดบางสิ่ง ทว่าสุดท้ายกลับไม่อาจพูดอะไรได้ นับจากนั้นมา สาวใช้ทั้งสองก็ไม่เคยขอให้นายหญิงสามเล่าเรื่องตลกอีกเลย เรื่องตลกของท่านหยาบโลนเกินไปแล้ว! ไม่ตลกเลยสักนิด ฮือ ๆ
เมื่อเห็นสีหน้าของสาวใช้ทั้งสอง ฉู่เหลียนก็อดไม่ได้ หัวเราะจนแทบจะหงายหลังอยู่ในรถม้านั่นเอง
แม้ครอบครัวเดิมของนางจะไม่รักนาง และสามีของนางก็ไม่สนใจไยดีนาง ทว่าอย่างน้อยสาวใช้ทุกคนก็น่ารักและดีต่อนางมากจริง ๆ มีสองพี่น้องคู่นี้อยู่ข้างกาย ทำให้นางไม่รู้สึกเหงาเลยแม้แต่น้อย