ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 83 ทานเนื้อในกองทัพ (1)
ยามนี้เมืองหลวงเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วง ส่วนทางชายแดนเหนือนั้น โดยเฉพาะเมืองเหลียงโจวกลับเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวแล้ว
ชนเผ่าเร่ร่อนเริ่มหยุดการล่าสัตว์ และหันไปก่อสร้างตั้งกระโจมแทน รวมถึงเริ่มรวบรวมเสบียงเพื่อกักตุนไว้ใช้ในช่วงฤดูหนาว
ภายในค่ายทหารซึ่งอยู่ห่างจากเหลียงโจวเพียงห้าลี้ เหล่าทหารกล้ายังคงฝึกฝนเพื่อเข้าสู่สนามรบ
ควันขาวพวยพุ่งขึ้นสูงเหนือกระโจมที่ถูกจัดตั้งเป็นโรงครัวประจำค่ายเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว
ดวงอาทิตย์กลมโตค่อย ๆ ลับขอบฟ้าเกิดเป็นแสงสีแดงขยายใหญ่เป็นวงกว้าง ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ถูกอาบย้อมด้วยสีเหลืองอมส้ม ทว่าบรรยากาศเบื้องหน้านี้ที่ดูเหมือนจะอบอุ่นสักเพียงใด แต่กลับไม่อาจลบล้างสายลมหนาวเย็นที่ทิ่มแทงพัดผ่านทุ่งหญ้าในช่วงเวลานี้ของปีไปได้
เสียงสัญญาณดังเตือนไปทั่วค่าย ทั่วทุกซอกทุกมุม
ทันทีที่การฝึกภาคพื้นจบลง ก็มีเสียงของชายหนุ่มผู้เป็นนายกองตะโกนสั่งให้เริ่มพักรับประทานอาหารได้
กระทั่งช่วงต้นฤดูหนาว กองทัพชายแดนเหนือก็ยังต้องเตรียมตัวพร้อมรบอยู่ตลอดเวลา จึงได้ทานอาหารเพียงวันละสองมื้อ ยามเช้าและยามเย็นเท่านั้น
หลังฝึกฝนอย่างหนักตลอดวันจนร่างกายอาบชุ่มด้วยเหงื่อ เหล่าทหารกว่าสามร้อยนายในกองทัพก็หิวเสียจนสามารถทานม้าทั้งตัวได้ เมื่อนายกองสั่งลงมา พวกเขาก็วิ่งกรูไปยังโรงครัวด้วยความไวที่แม้แต่ลูกธนูที่ไวที่สุดของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังไม่อาจเทียบ
ร่างสูงหนาของนายกองกัวเดินตามหลังทหารของตน ใบหน้าสีคล้ำเข้มมีรอยยิ้มคล้ายแสร้งดุดันใส่เหล่าทหารที่วิ่งเร็วรี่ เบื้องหลังเขาปรากฏเป็นชายสองคนที่เดินตามมา คนทางซ้ายรูปร่างสูงตระหง่าน ตัวสูงยิ่งกว่านายกองหนึ่งช่วงศีรษะ ดวงตาดูคล้ายบ่อน้ำลึก จมูกโด่งเป็นสัน ดูอายุราวยี่สิบกว่าปี ทว่าใบหน้าดูดีกลับถูกปกคลุมด้วยหนวดเคราดกหนาเสียหมด น่าเสียดายยิ่ง
คนทางขวาสูงเท่ากับนายกอง เขาโกนหนวดเคราดูสะอาดสะอ้าน ทว่าใบหน้าเหลี่ยมกลับดูเด่นชัด ดวงตาตี่เล็ก และยังมีร่างที่ใหญ่กว่านายกองเป็นเท่าตัว จึงมิได้ดูดีเท่าสหายที่อยู่เคียงข้าง ทว่าชายทั้งสองก็ยังดูเยาว์วัยไม่ต่างกัน
นายกองกัวตบหลังชายทั้งสองข้างกาย “จื่อเสียง หงอวี่ พวกเจ้าคอยเฝ้าดูและจัดการพวกบ้านั่นไว้ให้ดี พวกมันล้วนแต่หยาบโลนเกินไปแล้ว! ”
จื่อเสียงคือชื่อของเฮ่อฉางตี้ ส่วนหงอวี่คือชายหน้าเหลี่ยมผู้นั้น
เนื่องจากอิทธิพลของจิ่งอันป๋อและจิ่นอ๋อง แม้นี่เป็นครั้งแรกที่เฮ่อฉางตี้ได้เข้าร่วมกองทัพชายแดนเหนือภายใต้บัญชาการของนายกองกัว เขาก็สามารถเริ่มต้นได้เหนือกว่าคนอื่นเล็กน้อย ด้วยสถานะสูงส่งเหล่านั้น ในตอนนี้เขาได้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยนายกอง
ในราชวงศ์อู่นี้ ตำแหน่งผู้ช่วยนายกองจะทำให้เขามีทหารกลุ่มเล็กราวหนึ่งร้อยนายอยู่ใต้บัญชาการ
นายกองกัวมีผู้ช่วยทั้งหมดสามนาย นอกจากเฮ่อฉางตี้และหงอวี่แล้ว ยังมีชายอีกคนนามว่าจางไหม่
เฮ่อฉางตี้และเซียวหงอวี่รีบรับคำจากนายกอง
เมื่อนายกองกัวเห็นพวกนายทหารเริ่มทะเลาะกันเพื่อแย่งอาหารในโรงอาหารแล้ว เขาก็เร่งฝีเท้า “รีบเข้า ประเดี๋ยวเจ้าบ้าพวกนั้นจะทานอาหารเราจนหมด”
นายกองกัวเพียงล้อเล่นเท่านั้น ถึงอย่างไรกองทัพก็ได้เตรียมอาหารของเขาและผู้ช่วยทั้งสามไว้อยู่แล้ว ทว่าแม้จะมีอภิสิทธิ์อยู่บ้าง เขากลับปฏิบัติต่อเหล่าทหารของตนดังเช่นพี่น้อง อาหารของเขาไม่ได้ต่างจากที่ทหารทั่วไปล้วนทาน แม้จานอาจจะใหญ่กว่าบ้างเล็กน้อย แต่นับได้ว่าเขาเป็นคนตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์และไม่เคยใช้อำนาจสั่งอาหารมื้อพิเศษแยกต่างหากจากครัวทหารสักครั้ง
มีเพียงครั้งหนึ่งที่เขาได้ทานอาหารต่างจากทหารคนอื่น คือยามที่เขาป่วยทว่ายังดื้อดึงที่จะนำซ้อมรบ พ่อครัวทหารทนเห็นเช่นนั้นมิได้จึงทำซุปไก่ป่าให้เขาทานชูกำลังเป็นพิเศษ แต่นั่นก็เป็นเวลากว่าปีมาแล้ว
ทว่าอย่างไรชายแดนเหนือก็ยังเป็นสถานที่กันดารอยู่ แม้จะได้รับเงินมาบ้าง แต่ด้วยข้อจำกัดด้านสินค้า ทำให้เสบียงอาหารที่มีนับว่าลำบากมาก ยามที่ไร้การศึกก็สงครามก็ยังมีกินแค่พอให้อิ่มท้อง แม้นายกองกัวจะต้องการสิ่งที่ดีกว่านี้ ก็คงไม่มีอะไรให้เลือกทานมากอยู่ดี
เมื่อทั้งสามมาถึงโรงครัว พ่อครัวชราก็นำถ้วยกระเบื้องใบใหญ่ออกมาสามใบ วางลงบนโต๊ะไม้ที่มีเก้าอี้สี่ตัวล้อมรอบ ยามนี้อากาศภายนอกยังเย็นอยู่ แต่กระโจมช่วยปกป้องมิให้ร่างต้องปะทะกับสายลมเย็นโดยตรง และแสงอาทิตย์สลัว ๆ ที่พาดผ่านนั้นช่วยสาดส่องเติมเต็มมื้ออาหารเย็นมื้อนี้ของพวกเขา
นายกองกัวมีผู้ช่วยทั้งสองขนาบข้างนั่งลงก่อน แล้วจึงชี้ไปยังถ้วยทั้งสามบนโต๊ะ “วันนี้เหน็ดเหนื่อยแล้ว เริ่มทานเลยเถอะ! ”
เฮ่อฉางตี้และเซียวหงอวี่ไม่มากพิธี หยิบตะเกียบขึ้นพุ้ยอาหารทันที
อาหารเย็นวันนี้เป็นข้าวต้มหนำเลี้ยบที่ใส่ผักกาดเพียงเล็กน้อยและปราศจากเนื้อสัตว์ ทั้งยังมีแป้งข้าวสาลีวางอยู่ที่ด้านบนของข้าวต้ม ข้าวต้มนี้ปกติจะมีรสเค็มฝาดอยู่แล้ว แต่ ณ ที่แห่งนี้ใช้เกลือที่มีคุณภาพต่ำกว่าจึงยิ่งทำให้รสชาติแปลกประหลาดขึ้น ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่อาจเรื่องมากได้ ทำเพียงเติมท้องให้อิ่มไร้ซึ่งทางเลือกอื่น
เซียวหงอวี่รีบทานแป้งข้าวสาลีจนหมดภายในสองสามคำ เมื่อพยายามจะกลืนลงไปก็ดันติดคอ จำต้องดื่มข้าวต้มตามลงไปเต็มปากเพื่อช่วยดันแป้งที่ติดอยู่ในคอไหลผ่านลงท้องไปได้ ใบหน้าของเขาตอนนี้ขึ้นสีแดงด้วยขาดอากาศ เขาจ้องมองสิ่งที่อยู่ในถ้วยอย่างเหม่อลอย
แม้ร่างกายของเขาจะดูแข็งแกร่งราวกระทิง ทว่าก็ยังอ่อนเยาว์กว่าเฮ่อฉางตี้ปีหนึ่ง เขาเพิ่งจะอายุสิบเก้าเท่านั้น และเพิ่งจะได้เข้าร่วมกองทัพเมื่อปีก่อน ตระกูลของเขาก็เป็นตระกูลทหารเช่นกัน แม้ทางตระกูลจะเข้มงวดด้านการศึกษาเพียงใด แต่เขาก็ไม่เคยต้องขาดแคลนในเรื่องอาหารการกินมาตั้งแต่ยังเล็ก
“พี่กัว พี่เฮ่อ ถึงมื้ออาหารคราใด ข้าก็คิดถึงเนื้อที่ท่านแม่ทำให้ทานทุกคราวไป ยามอยู่บ้าน ข้ากลับคิดว่าเนื้อนั้นมันเยิ้มจนเกินไป ทว่าหากยามนี้ข้ามีเนื้อนั้นอยู่หม้อหนึ่ง ข้าย่อมทานจนหมด ซ้ำยังอาจเลียเสียจนหม้อสะอาดได้…”
นายกองกัวเห็นว่าตลกนัก เขาชี้ไปที่ถ้วยข้าวต้มของหงอวี่ “เป็นอะไรไป เจ้ายังเหลือข้าวต้มอีกครึ่งหนึ่ง หากทานไม่หมดก็ยกให้ข้าเสีย ข้าจะช่วยเจ้าทานเอง! ”
เซียวหงอวี่รีบดึงถ้วยไว้กับตัวคล้ายสุนัขปกป้องอาหาร ทำให้คนเห็นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“ไม่มีทาง! พี่กัว ข้ายังทานไม่เสร็จ! ”
“ฮึ่ม! ไม่ใช่เจ้าอยากทานเนื้อหรอกหรือ? ”
“แต่ที่นี่ไม่มีนี่! หากที่นี่มีเนื้อ ใครจะยอมทานข้าวต้มกับแป้งทอดนี่เล่า? ”
เฮ่อฉางตี้ยกถ้วยขึ้นช้า ๆ แม้จะทานหมดอย่างรวดเร็ว ทว่ามิได้ดูตะกละตะกลามแต่อย่างใด ทุกท่วงท่ายังคงดูสง่างามสูงส่ง มีเพียงหนวดเครารกทึบเท่านั้นที่ดูขัดหูขัดตา ทำให้มีเศษข้าวต้มเปรอะเปื้อนบ้างบางคราว ทว่าเฮ่อฉางตี้ทำเพียงก้มหน้าก้มตาทานอาหาร และทำเป็นหูหนวกต่อบทสนทนาของทั้งสองคน
ทันทีที่นายกองกัวและเซียวหงอวี่คุยเสร็จ ก็มีเสียงชายอีกคนเข้ามาร่วมวงสนทนา เสียงของเขาเบาสบายราวสายลมสดชื่น “ใครว่าไม่มีเนื้อกัน! ”
“อะไรนะ? มีเนื้อด้วยหรือ? ” เซียวหงอวี่ลุกขึ้นทันที ดวงตาส่อแววความกระหายหิวอย่างชัดเจน เขามิได้สัมผัสรสชาติของเนื้อสัตว์มาเป็นเดือนแล้ว เขาตื่นเต้นเสียจนดวงตาเล็ก ๆ เบิกกว้างทีเดียว
ชายผู้พูดเดินเข้ามาพร้อมถ้วยเปล่า เขามีรูปร่างสูงพอ ๆ กับเฮ่อฉางตี้ ทว่าไม่มีหนวดเครา และสวมใส่ชุดผู้ช่วยนายกอง ทว่าดูแล้วแก่กว่าเฮ่อฉางตี้เป็นทศวรรษ เขาผู้นี้ก็คือผู้ช่วยคนที่สามของนายกองกัว จางไหม่
จางไหม่ได้รับการงดเว้นไม่ต้องร่วมฝึกในวันนี้ เนื่องจากแผลเก่าเปิดออก เขาจึงได้พักรักษาตัวอยู่ในกระโจมถึงครึ่งวัน ก่อนจะมายังโรงครัวเพื่อทานข้าวเย็น
ด้วยเหตุบางประการ เฮ่อฉางตี้ที่ก่อนหน้านี้ยังเร่งทานอาหารอย่างเงียบงันก็พลันตัวแข็งทื่อไป
เซียวหงอวี่คิดถึงการได้ทานเนื้อจนน้ำลายไหล เขารีบวิ่งไปหาจางไหม่ ยื่นหน้าไปใกล้คล้ายจะดมกลิ่นเนื้อ ทั้งยังออดอ้อน “พี่จาง ท่านว่ามีเนื้อให้ทานหรือ? ท่านลืมน้องชายผู้นี้ไม่ได้นะ! ”
จางไหม่ยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะชี้นิ้วไปยังเฮ่อฉางตี้ที่ยามนี้ตัวแข็งทื่อไปแล้ว