ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 85 ดาวนำโชค
“ช่วยด้วย มีคนเป็นลม! ตามหมอเร็ว! ”
เสียงโหวกเหวกดังอยู่ภายนอกกระโจมขัดความสำราญในการร่วมสานสัมพันธ์อันดีระหว่างนายกองและลูกน้อง
สถานที่เกิดเหตุนั้นอยู่ไม่ไกลจากกระโจมนัก ทันทีที่ได้ยินเสียง นายกองกัวจึงนำเฮ่อฉางตี้และคนอื่น ๆ เร่งเท้าไปยังบริเวณนั้น
เมื่อแทรกกายผ่านฝูงชนเข้าไปได้ ก็พบนายกองเกาที่นั่งยอง ๆ อยู่ข้างนายทหารที่ไร้สติ ถามเสียงเรียบ “เกิดอะไรขึ้น? ”
“เรียนท่านนายกอง จ้าวฉีดูเหมือนจะมีไข้หนักขอรับ!”
นายกองกัวยื่นมือไปสัมผัสหน้าผากร้อน ๆ ของทหารนายนั้นเพื่อตรวจสอบอาการเบื้องต้น นอกจากนั้นยังพบว่าเขาดูเหม่อลอยด้วยพิษไข้ และเริ่มพูดจาเพ้อ ล่องลอย
ณ ขณะนั้น ฝูงชนรายล้อมมุงดูเหตุการณ์อยู่ชั่วครู่ ทว่าหมอก็ยังมาไม่ถึง นายกองกัวขมวดคิ้วแน่น เขากำลังจะตะโกนสั่งเร่งทหารให้รีบตามหมอมา แต่ทหารผู้หนึ่งกลับเอ่ยขึ้นขัด “ท่านนายกอง ท่านหมอออกจากปีกซ้ายไปแล้ว ยามนี้มิได้อยู่ในค่ายขอรับ”
อะไรนะ! นายกองกัวต่อยพื้นด้วยความโมโห เกิดเสียงทึบ ๆ บนพื้น
นายกองกัวอยู่ประจำส่วนกองทัพปีกขวา แม้ทหารส่วนใหญ่ของทางปีกขวาจะเป็นทหารม้า แต่พวกเขาก็ยังเคยเป็นกองหน้าอีกด้วย ในค่ายชายแดนแห่งนี้เขาไม่ถูกชะตากับนายกองเกาจางเหว่ยแห่งปีกซ้ายเท่าไรนัก
เฮ่อฉางตี้เห็นทหารนายนั้นหน้าแดงด้วยพิษไข้ อดมิได้ให้เห็นใจด้วยสภาพที่น่าสงสารนั้น เขาก้าวไปข้างหน้า และกล่าวต่อนายกองผู้เกรี้ยวกราด “ท่านนายกอง ขอให้ข้าได้ดูอาการเขาหน่อยเถิด”
เฮ่อฉางตี้เคยอ่านตำราแพทย์มาบ้าง ในชาติที่แล้วเขาต้องร่อนเร่ข้ามที่ราบทุ่งหญ้ามามากมาย จึงยังได้เรียนรู้วิธีรักษาพื้นบ้านจากอาหม่าผู้เป็นสตรีชาวเถื่อน อีกทั้งในยามนี้เขาก็ได้พกยาสามัญที่ฉู่เหลียนส่งมาให้ติดกายไว้อยู่เสมอ ซึ่งอาจจะช่วยลดอาการเจ็บปวดของนายทหารผู้นี้ลงได้บ้าง
เขาคุกเข่าลงข้างทหารนายนั้น ตรวจชีพจรเบื้องต้น เปิดดูเปลือกตาอีกฝ่าย ตามด้วยดูลิ้น จากนั้นเฮ่อฉางตี้จึงนำเอากระเป๋าใบน้อยที่มีลวดลายปักประณีตออกมาจากในเสื้อ เขาหยิบเอายาเม็ดสีน้ำผึ้งป้อนให้อีกฝ่าย ทว่าปากทหารผู้นั้นแห้งผากจนกลืนยาลงไปไม่ได้ เฮ่อฉางตี้จึงหยิบเอาน้ำเต้าขวดเล็กที่ข้างเอวขึ้นมา เมื่อเปิดออกก็มีกลิ่นหอมหวานจากสุราฟุ้งกระจายไปในอากาศ ทหารบางคนที่เป็นผีสุราก็รีบสูดหายใจรับเอากลิ่นหอมนั้นเข้าไปเต็มปอด
เฮ่อฉางตี้ไม่ใส่ใจในสีหน้าคนอื่น เขาเพียงหยดสุราเข้าปากทหารผู้นั้นแล้วรีบเก็บน้ำเต้าแขวนไว้ข้างเอวดังเดิม
เมื่อเรียบร้อยแล้ว เฮ่อฉางตี้ก็หันไปมองทหารหลายคนที่อยู่ใกล้ ๆ เอ่ยปาก “ตอนนี้ไม่เป็นอะไรมากแล้ว พาเขากลับไปที่กระโจม ให้ได้นอนพักสักคืนหนึ่ง วันรุ่งก็น่าจะหายแล้ว”
นายกองกัวตบบ่าเฮ่อฉางตี้ “มิคาดว่าจื่อเสียงจะรู้วิธีรักษาอาการป่วยไข้ ทหารนายนั้นต้องขอบคุณเจ้าแล้ว ว่าแต่…สุราที่เจ้าป้อนเขานั้นคืออะไรกัน? คนป่วยบางคนไม่สมควรดื่มสุรามิใช่หรือ?”
เฮ่อฉางตี้ลุกขึ้นคำนับนายกองกัว “ทหารนายนั้นมีไข้เนื่องจากอากาศที่เย็นลงอย่างกะทันหัน ร่างกายไม่อาจปรับสภาพได้ทัน ยาที่ป้อนเป็นยาจากร้านในเมืองหลวง ส่วนสุรานั้นก็มิได้เข้มนัก เป็นเพียงเหล้าองุ่นธรรมดาเท่านั้นขอรับ”
เหล้าองุ่นหรือไวน์มีฤทธิ์ที่ช่วยยับยั้งการติดเชื้อและช่วยปรับสมดุลในร่างกายได้ เฮ่อฉางตี้เคยเห็นหมอชราพเนจรใช้วิธีการรักษาเช่นนี้มาก่อนในชาติที่แล้ว
“ดี ดี ดี เจ้าเด็กบ้านี่ เจ้าล้วนเก็บซ่อนของดีไว้จากพวกเรา!”
ก่อนที่นายกองกัวจะหาวิธีแย่งเหล้าองุ่นจากเฮ่อฉางตี้มา เสียงทุ้มลึกก็ดังขึ้นที่เบื้องหลัง “เหล้าองุ่นหรือ?! ใครมีเหล้าองุ่นกัน? รีบส่งมาเดี๋ยวนี้! ”
นายกองกัวตัวแข็งทื่อ เมื่อรู้สึกตัวก็รีบลุกขึ้นต้อนรับแขกที่ไม่คาดฝัน “ท่านแม่ทัพ! เหตุสำคัญอันใดนำท่านมาถึงที่นี่ขอรับ? ”
แขกผู้นี้กำลังสวมใส่เกราะเงิน ทั้งยังมีหนวดเคราขาวและรูปร่างค่อนข้างผอม ทว่ากลับเต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉง ดวงตาเปล่งประกายมีชีวิตชีวา
ลู่กงเจว๋ หรือแม่ทัพเฉียนส่งเสียงฮึ่ม “ทำไม? ข้ามาไม่ได้หรือ? ไหนใครว่ามีเหล้าองุ่นที่นี่? นำออกมาเสีย! ”
นายกองกัวรีบมองเฮ่อฉางตี้ที่ยืนตัวแข็งทื่อไปชั่วครู่ ก่อนจะก้าวออกมาข้างหน้า ก้มศีรษะคำนับแม่ทัพเฉียนและส่งขวดน้ำเต้าไปให้แม้จะมีทีท่าลังเลใจอยู่บ้าง
แม่ทัพเฉียนไม่ค่อยมีของที่โปรดปรานมากนัก เว้นก็แต่เหล้านี่แหละ
ที่ชายแดนเหนือจะได้รับเสบียงเพียงแค่พอให้อิ่มท้อง ทว่าในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดที่นี่ แม่ทัพเฉียนจึงต่างจากผู้อื่น ทุกมื้อเขาสามารถจิบเหล้าได้บ้างจอกสองจอก แม้จะมิใช่ของดีอะไร
ปีศาจสุราอย่างแม่ทัพเฉียนผู้นี้ไวต่อกลิ่นสุรายิ่งนัก ก่อนหน้านี้เพียงแค่ได้กลิ่นพิเศษของสุราที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ เขาก็ถูกดึงดูดมา ณ ที่แห่งนี้ทันที และบังเอิญผ่านมาได้ยินเข้ากับบทสนทนาระหว่างนายกองกัวกับเฮ่อฉางตี้
ในยุคราชวงศ์อู่นี้เหล้าองุ่นนับเป็นของหายาก เนื่องจากส่วนมากมักใช้ข้าวหมักทำสุรา แต่สำหรับเฮ่อฉางตี้ เขาเคยเห็นเหล้าองุ่นมาก่อนแล้วในชาติก่อน โดยทำมาเพื่อเป็นสุราโอสถ
กระทั่งในเมืองหลวงก็ยังมีคนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่เคยได้ลิ้มลองเหล้าองุ่น จึงไม่ต้องเอ่ยถึงเมืองชายแดนห่างไกลเช่นนี้ หรือแม้แต่คนรักสุราเช่นแม่ทัพเฉียนที่เคยเห็นเหล้ามาแล้วทุกชนิดในชีวิต ทว่านี่กลับเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเหล้าองุ่น
เขารีบดึงฝาน้ำเต้าออกและดมกลิ่นต่อหน้าเหล่านายทหารกล้า กลิ่นหวานหอมของผลไม้หมักกระตุ้นต่อมรับรสแม่ทัพเฉียน เขาไม่รีรอรีบร้อนชิมแล้วจึงปิดฝาน้ำเต้า ก่อนจะนำไปแขวนไว้ที่เอว
แม่ทัพเฉียนชี้ไปยังเฮ่อฉางตี้แล้วหันไปถามนายกองกัว “เจ้าเด็กนี่ใครกัน เข้าร่วมกองทัพตั้งแต่เมื่อไร?”
นายกองกัวมิคาดว่าแม่ทัพเฉียนจะเอ่ยถามถึงรายละเอียดของผู้มอบสุรา เขาตกใจไปขณะหนึ่งแล้วพยักหน้าเป็นเชิงให้เฮ่อฉางตี้แนะนำตัวเอง
แท้จริงแล้ว เฮ่อฉางตี้พยายามหาโอกาสพบปะแม่ทัพเฉียนมาหลายวันแล้ว ย่อมไม่คิดว่าเหล้าองุ่นในน้ำเต้าใบเล็ก ๆ นี้จะทำให้เจอได้ง่ายดายยิ่ง เขาเอ่ยตอบด้วยความเคารพ “เรียนท่านแม่ทัพใหญ่ ผู้น้อยคือบุตรชายลำดับที่สามแห่งจวนจิ่งอันนามเฮ่อฉางตี้ ได้เข้าร่วมกองทัพชายแดนเหนือมาเดือนกว่าแล้ว ยามนี้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยนายกองในปีกขวาขอรับ”
แม่ทัพเฉียนเบิกตากว้างมองเฮ่อฉางตี้แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ครั้งหนึ่งเขาเคยได้สอนวรยุทธ์แก่จิ่นอ๋องและเจ้าเด็กบ้าคนหนึ่งที่ถูกเรียกว่าเฮ่อซานหลาง ซึ่งก็คือเจ้าเฮ่อซานหลางคนนี้นี่แหละ! ทว่าเจ้าบ้านั่นทั้งสูงใหญ่ หล่อเหลามิใช่หรือ? เหตุใดจึงกลายเป็นนักเลงหัวไม้หนวดเครารุงรังเช่นนี้ได้? ทั้งที่ก็เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่ปีเท่านั้นเองมิใช่หรือ? หากจำไม่ผิด ปีนี้เฮ่อซานหลางอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบเสียด้วยซ้ำ
แม่ทัพเฉียนคิดแบบนี้ก็หาได้แปลกไม่ ผู้คนในยุคนี้ต่างชื่นชมความงดงาม กระทั่งผู้ชายในเมืองหลวงยังทัดหรือประดับดอกไม้ไว้บนเส้นผม ชายแทบทุกคนโกนหนวดเคราสม่ำเสมอแม้จะมีอายุสามสิบกว่า คุณชายรองจวนอิ้ง ฉู่ฉีเจิ้งผู้นั้นคือตัวอย่างที่เห็นได้ชัด
บุรุษมีหนวดเคราที่เห็นตามถนนมักมีอายุเกินห้าสิบ บุรุษวัยเยาว์อย่างเฮ่อฉางตี้ไม่นิยมไว้หนวดเครานัก ในยามนี้เฮ่อฉางตี้ถูกหนวดเคราปกคลุมใบหน้าหล่อเหลาไปเกินครึ่ง จึงไม่แปลกเลยที่แม่ทัพเฉียนจะจำเขาไม่ได้แม้แต่น้อย
“เจ้าบ้านี่! เหตุใดจึงมาที่นี่กัน?” ปฏิกิริยาแรกของแม่ทัพเฉียนคือประหลาดใจ ทว่าแปรเปลี่ยนเป็นขึงขัง ไม่พอใจ
เฮ่อฉางตี้กำลังจะตอบ แต่สีหน้าแม่ทัพเฉียนพลันจริงจังขึ้นมา เขาข่มกดความโกรธแล้วกล่าว “มากับข้าเดี๋ยวนี้! ”
นายกองกัวมองร่างผอมสูงของเฮ่อฉางตี้ที่ค่อย ๆ เดินตามหลังแม่ทัพเฉียนไปยังกระโจมหลักของค่าย มุมปากของนายกองโค้งขึ้น เขาถอนใจแล้วกล่าว “เจ้าบ้านั่นโชคดีเสียจริง”
จางไหม่ก็โปรยยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะยืนอยู่ข้างกัน “หากมีโอกาส เราควรต้องไปพบภรรยาน้องชายเสียหน่อยแล้ว”
ตอนนี้นับว่าแผนของเฮ่อฉางตี้สำเร็จไปอีกหนึ่ง เขาได้ใกล้ชิดทั้งนายกองกัวและแม่ทัพเฉียน เพราะสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ภรรยาส่งมาให้ เจ้าของเล็กน้อยสองสิ่งนี้ช่วยเขาได้มากเลยทีเดียว ภรรยาเพิ่งแต่งผู้นั้นเป็นเหมือนดาวนำโชคของเขาจริง ๆ
นายกองกัวมองสหายเก่าแก่ของตนแล้วกล่าว “ถ้าเช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่แต่งภรรยาใหม่เล่าอาไหม่? เรื่องก็ผ่านมากว่าสิบปีแล้ว”
เดิมทีจางไหม่มีภรรยาอยู่คนหนึ่ง ทว่าเขาเกิดในตระกูลทหาร เมื่อมีพระราชโองการเรียกระดมพล เขาจึงจำต้องลาจากภรรยาที่เพิ่งแต่งได้เพียงหกเดือนและบิดาที่ชราภาพ
ก่อนจากมา ภรรยาเขาเพิ่งตั้งครรภ์ ในตอนนั้นเขายังนึกดีใจอยู่ว่าภรรยากำลังจะมีลูกสาวหรือลูกชายให้ได้ดูแลตามใจแล้ว แต่โชคไม่ดีที่หมู่บ้านของเขากลับถูกโจรภูเขาเข้าโจมตียามภรรยามีอายุครรภ์ได้เจ็ดเดือน
บิดาของเขายอมสละชีวิตเพื่อปกป้องภรรยาเขา ทว่าสุดท้ายทั้งคู่กลับเสียชีวิตอย่างน่าอเนจอนาถพร้อมกับบุตรในครรภ์ที่ไม่มีโอกาสแม้สักวินาทีได้ลืมตาดูโลก
เดิมทีชีวิตของจางไหม่นับได้ว่าสมบูรณ์สุขพร้อมหน้าครอบครัว ทว่าผ่านไปไม่ถึงปี เขากลับไม่เหลือใครแม้สักคน นับแต่นั้นมาเขาก็ไม่ออกจากกองทัพอีกเลยแม้จะได้รับบาดเจ็บ
จางไหม่ส่ายหน้าเปลี่ยนเรื่อง “ดูเหมือนเจ้าเด็กนั่นยังซ่อนของดีอย่างอื่นไว้อีก ประเดี๋ยวข้ากลับไปถึงกระโจมเมื่อไรจะเร่งไปค้นหาให้มากกว่าเดิม ที่ซ่อนแห่งนั้นต้องมีของอร่อยยิ่งกว่านี้ให้ได้ทานอีกเป็นแน่! ”
นายกองกัวได้แต่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
……
เมื่อกลับถึงจวนจิ่งอัน ฉู่เหลียนก็ไปยังโถงชิ่งสี่ก่อน เหลียวหมัวมัวออกมาต้อนรับนาง ทั้งยังรายงานข่าวการลงโทษคนสกุลหวั่งให้ฉู่เหลียนฟังก่อนพาเข้าไปพบเฮ่อเหล่าไท่จวิน
เมื่อเข้ามาสู่ห้องรับแขก ท่านย่าก็ปลอบใจหลานสะใภ้สามเล็กน้อย ก่อนจะช่วยเตือนให้ฉู่เหลียนเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการไปร่วมงานเลี้ยงกลางฤดูใบไม้ร่วงซึ่งจะจัดขึ้นในพระราชวัง และนางยังจำต้องไปแสดงความขอบคุณที่ได้รับพระราชทานราชทินนามด้วย โดยปกติแล้วงานเลี้ยงกลางฤดูใบไม้ร่วงมีไว้สำหรับบรรดาฮูหยินตราตั้งทั้งหลายเท่านั้น ส่วนฉู่เหลียนควรได้เลี้ยงฉลองกับเด็กสาวอยู่ภายในจวน ทว่าเมื่อยามนี้นางเป็นถึงท่านหญิงตราตั้งขั้นห้า ‘ท่านหญิงจินอี่’ นางย่อมปฏิเสธงานเลี้ยงแห่งเกียรติยศนี้เสียไม่ได้
ฉู่เหลียนลาเฮ่อเหล่าไท่จวินเพื่อกลับเรือน
เมื่อกลับถึงเรือน กุ้ยหมัวมัวและจงหมัวมัว พร้อมด้วยสาวใช้คนอื่นนำชุดพิธีการสำหรับใส่ไปร่วมงานเลี้ยงออกมาให้ฉู่เหลียนดู แต่นางไม่รู้กฎหรือธรรมเนียมเรื่องเสื้อผ้าพวกนี้สักนิด จึงทำได้แค่บอกให้ทั้งสองหมัวมัวจัดการไปตามเหมาะสม หลังจากนั้นจึงผละตัวเข้าห้องหนังสือฝึกคัดลายมือต่ออีกสองหน้ากระดาษ ก่อนจะเตรียมวางแผนการพัฒนาร้านกุ้ยหลินอีกครั้ง ซึ่งมีทั้งที่ตัดแต่งและเพิ่มเติมส่วนที่ทั้งเหมาะและไม่เหมาะจากภาพภัตตาคารที่ได้เห็นด้วยตัวเองในวันนี้ เมื่อเสร็จสิ้นแล้วก็ได้เวลาพักผ่อนพอดี
สองวันต่อมา ฉู่เหลียนมอบตำลึงเงินส่วนหนึ่งให้แก่เหล่าไท่จวินเพื่อรบกวนท่านย่าช่วยจัดหาคนงานดี ๆ ให้นางจำนวนหลายคน พร้อมทั้งยังต้องการความช่วยเหลืออื่นอีกเพื่อทำการปรับปรุงร้านกุ้ยหลินตามแผนการที่วางไว้
เวลาผ่านไปรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็ถึงวันงานเลี้ยงกลางฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
โดยปกติในราชวงศ์อู่ ในวันนี้ผู้คนมักจะทานขนมตั้นเกากัน เป็นของหวานที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวที่ทั้งนุ่มและหนึบ วิธีการทำนั้นง่ายดายมากเมื่อแป้งข้าวเหนียวสุกแล้ว มันจะม้วนตัวขึ้นเป็นก้อนกลม จากนั้นจึงนำไปคลุกแป้งปิดท้ายก็เป็นอันเสร็จ ลักษณะพิเศษของขนมชนิดนี้จะมีรสชาติที่หลากหลายขึ้นอยู่กับผงแป้งที่โรยไว้ด้านบน ซึ่งส่วนมากมักเป็นงา แป้งถั่วเหลือง หรือแป้งเกาลัด
ของพวกนี้คล้ายกับโมจิในยุคปัจจุบัน…
เมื่อฉู่เหลียนตื่นมา สิ่งแรกที่เห็นคือกุ้ยหมัวมัวกำลังสั่งแม่ครัวทำขนมตั้นเกา นางเห็นแล้วก็ไม่ได้รู้สึกอยากของหวานเหนียว ๆ เช่นนั้นแม้แต่น้อย แต่กลับคิดถึงขนมไหว้พระจันทร์ที่มักทานในงานฉลองกลางฤดูใบไม้ผลิในยุคปัจจุบันมากกว่า
ท้ายที่สุด นางก็ห้ามตัวเองไม่ได้จึงลงมือทำเสียหน่อย แม้จะไม่ได้ทำเพื่อมอบให้ใคร แต่ก็ยังเอาไว้ทานเพียงผู้เดียวเพื่อได้หวนระลึกถึงโลกอันทันสมัยของนาง