ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 87 เข้าเฝ้าฮ่องเต้
เมื่อฉู่เหลียนค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้นอย่างทุลักทุเลโดยได้ความช่วยเหลือจากซุนกงกง นางก็หันไปเห็นจิ่นอ๋องที่ยังยืนมองจากบนบันไดขั้นบนสุด สีหน้าของเขายังคงเรียบนิ่งเช่นเดิม ทว่าดวงตาสีฟ้าคู่นั้นจ้องมองมากลับแฝงแววขบขันอยู่เนือง ๆ ราวกับเขากำลังหัวเราะนาง
ฉู่เหลียนใช้มือปัดตบชุดหรูหราก่อนจะกระทืบเท้าด้วยความโมโห แต่นางก็ไม่กล้าหันกลับไป เกรงว่าจะล้มให้ต้องอับอายอีกรอบหนึ่ง คราวนี้นางจึงได้แต่เดินตามหลังซุนกงกงไปอย่างเชื่อฟัง ระวังทุกฝีก้าว
จิ่นอ๋องหันกลับไปและแย้มเผยให้เห็นรอยยิ้มบางจากมุมที่ฉู่เหลียนมองไม่เห็น ยามนี้เมื่อเขาได้เห็นท่าทางแก่นใสไร้เดียงสาของฉู่เหลียน เขายิ่งไม่อยากเชื่อเลยว่าเด็กสาวผู้นี้จะกล้าลอบพบเซียวป๋อเจี้ยนได้
เพื่อนรักของเขาเข้าใจนางผิดไปหรือไม่?
ซุนกงกงนำฉู่เหลียนเข้าสู่สวนหลวงในตำหนักทิงอวี่
เขาประกาศเสียงดังก้องกังวาน “ฝ่าบาท ท่านหญิงจินอี่มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อรายงานเสร็จ เขาก็หลีกกายไปด้านข้าง เผยให้เห็นฉู่เหลียนที่คุกเข่า ก้มหน้าอยู่ด้านหลังเพื่อทำความเคารพเฉิงผิงฮ่องเต้
“หม่อมฉันขอถวายบังคมเพคะฝ่าบาท”
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะใสราวกระดิ่งของสาวใหญ่ผู้หนึ่งก็ดังขึ้น “ฝ่าบาท ท่านหญิงจินอี่ผู้นี้เป็นเด็กสาวที่มีกิริยามารยาทดียิ่ง”
เฉิงผิงฮ่องเต้ทรงร่วมสรวลไปพร้อมนาง ก่อนจะเปล่งสุรเสียงที่ทุ้มต่ำน่าดึงดูดผู้ฟังให้เข้าหา ฉู่เหลียนตั้งใจฟังที่พระองค์ตรัส “เอาล่ะกุ้ยเฟย อย่าได้เย้าแหย่นางเลย”
ฉู่เหลียนยังคงก้มหัวต่ำ ทว่าในดวงตากลับวูบไหว กุ้ยเฟยหรือ? เว่ยกุ้ยเฟยใช่หรือไม่?
สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนเป็นระทมทุกข์ขึ้นมาทันที ยิ่งนางไม่อยากพบเจอใครหรือเหตุการณ์ใดก็ตาม กลับยิ่งต้องเจอหรืออย่างไร? ก่อนหน้านี้นางเคยปะทะกับองค์หญิงเล่อเหยาที่จวนติ้งหยวน แล้วมาตอนนี้ ทันทีที่นางก้าวเข้าวังมาก็ยังต้องเจอกับมารดาขององค์หญิงเล่อเหยา เว่ยกุ้ยเฟยเลยเนี่ยนะ? สวรรค์เห็นนางเป็นอะไร?
“ลุกขึ้นได้ ให้เราได้มองเจ้าชัด ๆ เสียหน่อยเถิด”
น้ำเสียงนั่นแลดูสบาย ๆ เหมือนว่าวันนี้เฉิงผิงฮ่องเต้คงจะกำลังอารมณ์ดีอยู่ทีเดียว
ฉู่เหลียนลุกและเงยหน้าขึ้นช้า ๆ นางลอบมองคนสองคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เหนือตนเอง
เฉิงผิงฮ่องเต้สวมฉลองพระองค์สีเหลืองทอง แม้ยามนี้จะย่างเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว ทว่ายังดูหุ่นดี แต่นัยน์ตาล้ำลึกคู่นั้นกลับอ่านไม่ออกนอกจากนั้นที่ด้านข้างของฮ่องเต้ยังปรากฏเป็นสตรีงดงามที่แต่งกายด้วยชุดพิธีการสีม่วง ดูเหมือนนางจะมีอายุราวยี่สิบกว่าปี รูปร่างผอมสูง และด้วยผ้าคาดที่รัดอยู่ใต้อก ยิ่งทำให้เรือนร่างอันอวบอิ่มของนางเผยให้เห็นได้อย่างชัดเจน ทั้งยังเปล่งรัศมีแห่งความเย่อหยิ่งทระนงตน เครื่องหน้าถูกแต่งแต้มเสริมเสน่ห์ด้วยเครื่องสำอาง ผิวขาวผ่องถูกขับด้วยเรียวปากสีแดงสด ยิ่งทำให้นางดูสูงส่งและมิอาจเอือมถึง สตรีผู้นี้คือสนมที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานที่สุดในยามนี้ เว่ยกุ้ยเฟย นางหรี่มองฉู่เหลียนจากหางตาราวกับพญาเสือ
ฉู่เหลียนเพียงมองสองผู้ยิ่งใหญ่เบื้องหน้าอย่างเร็ว ๆ ก่อนจะก้มลงมองพื้นอีกครั้ง จึงไม่ทันเห็นสีหน้าของคนทั้งคู่ชัดเจนนัก
เมื่อเฉิงผิงฮ่องเต้เห็นใบหน้าของฉู่เหลียน สีหน้านั้นก็แปรเปลี่ยนไปชั่วขณะ ดวงตาลึกล้ำทอประกายขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนจะกลับไปเป็นเช่นเดิม
เว่ยกุ้ยเฟยจับแขนเฉิงผิงฮ่องเต้ และจงใจใช้ทรวงอกเบียดชิดแขนเขา ยิ้มอย่างอ่อนหวาน “ตายจริง…ดูท่าความเป็นแม่พันธุ์คงมิใช่เพียงสิ่งเดียวที่สตรีจวนอิ้งมีกระมัง ดูความงดงามของนางสิเพคะ บุตรชายคนที่สามแห่งสกุลเฮ่อนับว่าเป็นผู้โชคดีแล้ว”
เมื่อกล่าวจบ นางก็หัวเราะเบา ๆ
ฉู่เหลียนนิ่วหน้าทั้งที่ยังก้มหัวต่ำ สำหรับคนอื่น คำกล่าวของเว่ยกุ้ยเฟยดูเหมือนไม่มีอะไรไปมากกว่ามุกตลกไร้พิษภัย ทว่าฉู่เหลียนกลับสัมผัสได้จากน้ำเสียงเหยียดหยันนั่น ในฐานะบุตรสาวขุนนางผู้หนึ่ง ใครจะไปอยากมีความสามารถในด้านการตั้งครรภ์กันเล่า? ซึ่งนั่นควรจะเป็นสิ่งที่เก็บงำไว้ หาใช่นำมาเป็นจุดขาย ถ้าไม่ใช่ว่าจวนอิ้งกำลังถึงคราวตกต่ำขั้นสุด ก็คงไม่มีใครหน้าไหนในเมืองหลวงกล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อหน้าสตรีสกุลฉู่แล้ว
เฉิงผิงฮ่องเต้จ้องมองเด็กสาวเบื้องหน้า ทันใดนั้นคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน
“จินอี่ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าทราบวิธีทำซิ่วท้ออายุยืนที่แตกต่างจากปกติราวกับเป็นผลท้อจริง ๆ เหตุใดจึงไม่ทำมาสักถาดเพื่อขึ้นโต๊ะในงานวันนี้เล่า? ”
ฉู่เหลียนไม่คิดว่าจะได้ยินคำร้องขอเช่นนี้จากเฉิงผิงฮ่องเต้ ทว่าเมื่อคิดต่ออีกนิดกลับไม่รู้สึกแปลกใจ เพราะในงานวันเกิดที่จวนติ้งหยวน ถาดซิ่วท้อที่มอบให้หวงฮูหยินนั้นนับเป็นเสมือนการตบหน้านางฉาดใหญ่ทีเดียว ซ้ำยังได้รับคำชมจากติ้งหยวนโหวผู้เฒ่าอีกด้วย เรื่องนี้คงเล่าลือกันไปทั่ววงสังคมในเมืองหลวงแล้ว
เมื่อได้ยินดังนั้นฉู่เหลียนก็ตอบตกลงทันทีโดยไม่ต้องคิด ซุนกงกงจึงรีบก้าวมาข้างหน้า ถามไถ่วัตถุดิบจากฉู่เหลียน
เฉิงผิงฮ่องเต้ตกตะลึงไปครู่ใหญ่ มิคาดว่านางจะตกลงอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ เพราะผู้คนในยุคสมัยนี้ต่างปกป้องสูตรลับของตนยิ่งชีพ
การตกปากรับคำทำซิ่วท้อที่ตำหนักทิงอวี่แห่งนี้ย่อมหมายความถึงการยินยอมเผยสูตรลับให้เหล่านางกำนัล ขันที และผู้คนทั้งหลายได้เห็นทั้งสิ้น เด็กสาวผู้นี้ไม่ใส่ใจสักนิดเลยหรือ?
ความประทับใจที่เฉิงผิงฮ่องเต้มีต่อเด็กสาวพุ่งขึ้นสูงถึงขีดสุด แต่หากฉู่เหลียนรู้ว่าเฉิงผิงฮ่องเต้เพียงตรัสเพื่อต้องการทดสอบนิสัยของนาง นางย่อมกลอกตาด้วยความระอาเป็นแน่ แม้แต่ซิ่วท้อง่าย ๆ แค่นี้ก็นับเป็นสูตรลับได้เหรอ? ตอนนี้ชีวิตนางยังถือว่าขาดอยู่หลายสิ่ง โดยเฉพาะเงิน! แต่สิ่งหนึ่งที่ฉู่เหลียนมีแน่ ๆ ก็คือสูตรลับนั่นเอง
ถ้าเฉิงผิงฮ่องเต้อยากได้สูตรลับสักสิบสูตร นางก็พร้อมเขียนทั้งหมดให้เขาได้ทันทีด้วยความเต็มใจ
ดวงตาของเว่ยกุ้ยเฟยแปรเป็นเย็นเยียบสุขุม นางมองนางกำนัลของตนและใช้นิ้วเคาะที่นั่งของตนเบา ๆ เมื่อนางกำนัลเห็นเช่นนั้นก็ก้มหน้าลง ลอบถอยออกจากบริเวณนั้น
ไม่นานนักซุนกงกงก็นำเอาวัตถุดิบทั้งหมดที่ฉู่เหลียนต้องการมาให้ วางพวกมันลงบนโต๊ะใหญ่ที่ย้ายมาตั้งในตำหนักเพื่อการนี้โดยเฉพาะ และที่อยู่ติดกันคือเตาที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ พร้อมทั้งมีหม้อนึ่งแบบที่ใช้ในพระราชวังตั้งวางอยู่
นางกำนัลผู้นั้นที่ลอบถอยไปได้เคลื่อนย้ายสารร่างไปยืนอยู่เบื้องหลังฉู่เหลียนเพื่อช่วยเหลือนาง
เมื่อเฉิงผิงฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปยังกลางตำหนัก สายตาก็ตกไปอยู่ที่นางกำนัลผู้นั้น “กุ้ยเฟย ไม่รู้เหตุใด นางกำนัลเบื้องหลังจินอี่จึงดูคุ้นตายิ่งนัก…”
เว่ยกุ้ยเฟยตกใจเสียจนนิ่งงันไปชั่วครู่ ไม่คิดว่าเฉิงผิงฮ่องเต้จะทรงมีความจำล้ำเลิศ และจดจำได้ว่านางกำนัลผู้นั้นทำหน้าที่ดูแลรับใช้อยู่ในตำหนักของนาง ทว่าสีหน้าของนางยังคงไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อยยามอธิบาย “นางกำนัลผู้นั้นมาจากตำหนักของหม่อมฉันเองเพคะ นางมักจะต้มน้ำแกงให้หม่อมฉันเป็นประจำ ดังนั้นจึงมีฝีมือการครัวอยู่ไม่น้อย ครานี้จึงได้ตั้งใจเรียกนางมาเพื่อช่วยจินอี่เป็นพิเศษ”
เฉิงผิงฮ่องเต้บีบนวดมือบอบบางของเว่ยกุ้ยเฟย “สนมรัก ช่างใจกว้างเหลือเกินนะเจ้า จินอี่ เช่นนั้นจงอย่าทำให้นางผิดหวังล่ะ”
“รับทราบเพคะฝ่าบาท!”
ฉู่เหลียนเริ่มเตรียมวัตถุดิบเบื้องหน้าอย่างใจเย็น ไม่รีบร้อน โดยมีนางกำนัลผู้นั้นเข้าให้การช่วยเหลือ
แม้ฉู่เหลียนจะสงสัยว่าเว่ยกุ้ยเฟยน่าจะมีแผนการร้ายอะไรสักอย่าง ทว่ายามนี้ทุกการกระทำล้วนอยู่เบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ เว่ยกุ้ยเฟยย่อมทำอะไรไม่ได้มาก ดังนั้นฉู่เหลียนจึงใส่ใจเพียงวัตถุดิบแต่ละชนิดที่เบื้องหน้าเท่านั้น
มุมปากเว่ยกุ้ยเฟยยกขึ้นยามมองฉู่เหลียนที่ยุ่งวุ่นวายอยู่เบื้องล่าง นางกะพริบตาเร็ว ๆ ทีหนึ่ง นางกำนัลที่ช่วยฉู่เหลียนผู้นั้นก็มองเห็นได้ก่อนจะกล่าว “ช่างน่าแปลกใจเหลือเกิน ดูท่าจินอี่จะคุ้นเคยกับการทำอาหารยิ่งนัก ข้ากุ้ยเฟยได้ยินว่าเจ้ายังทราบวิธีทำของว่างอีกหลายชนิด เหตุใดไม่รั้งอยู่ครัวหลวงสอนความรู้ที่เจ้ามีให้แก่พ่อครัวหลวงเสียหน่อยเล่า? เช่นนี้ก็อาจนับได้ว่าทำคุณประโยชน์ให้แก่ราชวงศ์แล้ว”
ฉู่เหลียนไม่ทันได้โต้ตอบกลับ เสียงสตรีผู้หนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านนอก “เว่ยกุ้ยเฟย คิดว่าคำพูดของเจ้าดูไม่เหมาะสมไปเสียหน่อยหรือไม่? ไม่ว่าอย่างไรจินอี่ก็เป็นถึงท่านหญิงตราตั้ง ทั้งยังได้รับพระราชทานราชทินนามจากฝ่าบาท แล้วเจ้าจะให้นางรั้งอยู่สอนพ่อครัวหลวง มิใช่ว่าจะเป็นการทำลายเกียรติของราชวงศ์หรอกหรือ? ”
ความสนใจของเว่ยกุ้ยเฟยพลันเปลี่ยนไปจับจ้องร่างสตรีที่เพิ่งเข้ามา ผู้สวมชุดสีเหลืองราชวงศ์ ยามนี้ดวงตานางเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด
เว่ยกุ้ยเฟยเหยียดยิ้มขณะกล่าว “คารวะฮองเฮาเพคะ ฮองเฮาได้พบจินอี่เพียงครั้งแรกก็ทรงตรัสเพื่อนางแล้ว เช่นนั้นจินอี่ย่อมต้องขอบคุณฮองเฮาให้เหมาะสมในภายหลังแล้ว”
ริมพระโอษฐ์ของเสิ่นฮองเฮาบิดขึ้นเป็นรอยสรวล นางหันไปหาเฉิงผิงฮ่องเต้ทำการคารวะ ในขณะเดียวกันนั้นฉู่เหลียนก็ต้องหยุดทุกการกระทำเพื่อคารวะฮองเฮา
รอยสรวลบนพระพักตร์ฮ่องเต้หายไป “ฮองเฮา เหตุใดจึงมาที่นี่ได้เล่า? ”
“ได้ยินว่าฝ่าบาททรงเรียกจินอี่มาพบ หม่อมฉันจึงอยากมาพบนางบ้าง ดูซิเพคะ หม่อมฉันมาได้ถูกเวลาพอดีเลยหรือไม่เพคะ? ไม่เช่นนั้นคงต้องพลาดความน่าตื่นเต้นนี่ไปเสียแล้ว”
“ในเมื่อมาแล้วก็นั่งลงเถิด! ”
แม้เว่ยกุ้ยเฟยจะไม่พึงพอใจ ทว่าตำแหน่งฮองเฮาอยู่สูงส่งกว่า นางจึงต้องยอมมอบที่นั่งเคียงข้างฮ่องเต้ให้แก่ฮองเฮา แล้วนั่งลงในลำดับที่ต่ำกว่าแทน
เมื่อสายตาของสตรีทั้งสองประสานกัน ในดวงตาทั้งสี่นั้นกลับเต็มไปด้วยการแลกเปลี่ยนมีดดาบนับพันนับหมื่นเล่ม
เฉิงผิงฮ่องเต้นวดขมับ ก่อนจะโบกพระหัตถ์เป็นสัญญาณให้ฉู่เหลียนทำต่อ
เว่ยกุ้ยเฟยส่งยิ้มท้าทายให้ฮองเฮา จากนั้นจึงหันดูฉู่เหลียนต่อ
ฉู่เหลียนให้ความสนใจกับวัตถุดิบเบื้องหน้าอีกครั้ง ถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้เกรงกลัวในอำนาจราชวงศ์จนเกินไป และแม้ว่าทั้งสามผู้ยิ่งใหญ่จะจับจ้องนางอยู่ก็ตาม แต่นางก็ยังคงปฏิบัติต่อทุกคนราวกับเป็นเพียงแขกเหรื่อธรรมดาเท่านั้น ไม่รู้สึกกดดันแม้แต่น้อย นางเป็นคนที่จริงจังกับทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องอาหาร อีกทั้งคุณยายที่สอนนางทำอาหารยังเคยกล่าวไว้ว่า ‘อาหารจะรสชาติดีที่สุด เมื่อผู้ทำตั้งใจจริง’ ดังนั้นในตอนนี้นางจึงหลอมรวมตนเองเข้าสู่การทำอาหารด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง ความมุ่งมั่นที่แสนน่าประทับใจนั้นทำให้ความหงุดหงิดในใจฮ่องเต้ยามฮองเฮาปรากฏกายได้มลายหายไปในพริบตา
เขามองฉู่เหลียนที่ตั้งอกตั้งใจด้วยความพึงพอใจ กระทั่งยังชื่นชมในความรับผิดชอบของนาง
เมื่อฉู่เหลียนเตรียมแป้งโดเสร็จ นางกำนัลก็นำผลท้องดงามสดใหม่ที่เพิ่งล้างมาวางลงตรงหน้าฉู่เหลียน
เนื่องจากนางไม่มีน้ำท้อเข้มข้นเตรียมไว้ ฉู่เหลียนจึงทำได้เพียงพยายามคั้นเอาน้ำจากผลท้อออกมาด้วยตนเองและผสมมันลงในแป้ง นี่จึงเป็นสูตรลับที่ทำให้ซิ่วท้อมีกลิ่นสดชื่นหอมหวานเหมือนท้อสดใหม่
นางหยิบมีดขึ้นมาปอกเปลือกท้อออก และตั้งใจหั่นพวกมันออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ
ในขณะนั้นเอง เมื่อเว่ยกุ้ยเฟยเห็นการกระทำของฉู่เหลียน รอยยิ้มร้ายกาจก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก
“อ๊า!!! ”
ในวินาทีต่อมา เสียงกรีดร้องของเด็กสาวก็ดังลั่นทั่วตำหนักทิงอวี่…