ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 88 กับดัก
ขณะที่นางกำนัลกรีดร้อง ฉู่เหลียนยังคงยืนถือผลท้อสดใหม่ชุ่มฉ่ำด้วยมือซ้าย มือขวาถือมีด นางเม้มปากพร้อมโคลงหัวไปด้านหนึ่งเพื่อมองสตรีผู้นั้น
เสียงร้องของนางกำนัลแหลมเล็กด้วยความหวาดกลัวสุดขีดอย่างต่อเนื่อง เมื่อพยายามจะเดินถอยก็กลับเหยียบชายกระโปรงของตนเสียจนล้มก้นจ้ำเบ้า ทันใดนั้นเอง ตำหนักทิงอวี่ก็เงียบกริบราวป่าช้า ไม่นานนักนางกำนัลก็รู้สึกตัวรีบหันมองรอบกาย จากนั้นใบหน้าก็พลันซีดเผือด ก่อนจะคุกเข่าลงกระแทกพื้นเสียงดัง และเอาหัวโขกพื้นไม่หยุดต่อหน้าสามผู้ยิ่งใหญ่ ขอความเมตตา
“หม่อมฉัน…หม่อมฉันสมควรตาย! หม่อมฉันสมควรตายที่มิอาจรักษากิริยาเบื้องหน้าฝ่าบาทได้! ขอได้โปรดเมตตาหม่อมฉันด้วยเพคะ โปรดเมตตาด้วย! ”
ดวงตาฉู่เหลียนตวัดมองสาวใช้ที่คุกเข่าขอร้องอยู่ ยามนี้นางผู้นั้นแทบจะตัวแนบติดพื้น ดวงตาฉู่เหลียนพลันเย็นชาวูบหนึ่ง จากนั้นจึงวางทั้งผลท้อและมีดลงบนโต๊ะ
เสียงกรี๊ดนั้นดังราวกับเสียงร้องของผีแบนชี ฉู่เหลียนก้มหน้าลงขยับไปยืนข้างหนึ่ง หากนางไม่มีประสบการณ์ในการรับมือกับความริษยาของสตรีในยุคนี้มาก่อน นางคงต้องกรีดร้องและเป็นคนที่คุกเข่าขอความเมตตาเบื้องหน้าฮ่องเต้ยามนี้เป็นแน่!
เฉิงผิงฮ่องเต้ที่ก่อนหน้านี้อารมณ์เปี่ยมไปด้วยความยินดี ยามนี้กลับถูกขัดขึ้นด้วยเสียงกรีดร้องแหลมสูง สีหน้าเขากลับกลายเป็นโกรธเกรี้ยวที่แม้แต่เสิ่นฮองเฮาและเว่ยกุ้ยเฟยก็ยังหวั่นเกรง
สายตาของเฉิงผิงฮ่องเต้ตวัดมองเว่ยกุ้ยเฟย “กุ้ยเฟย นี่คือวิธีอบรมนางกำนัลจากตำหนักเจ้าหรือ? ”
สีหน้าเว่ยกุ้ยเฟยเปลี่ยนทันควัน นางเห็นรอยยิ้มหยันของเสิ่นฮองเฮาจากหางตา ทันใดนั้นก็อยากจะฆ่านางกำนัลโง่งมผู้นี้เสียซึ่งหน้า ก่อนหน้านี้นางได้สั่งการให้นางกำนัลของตนสร้างปัญหาให้ท่านหญิงจินอี่เป็นการสั่งสอนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่แล้วจินอี่ยังคงยืนได้อย่างสบายใจ! กลับกันนังแพศยาหน้าโง่นี่ไม่เพียงแต่จะลากตัวเองลงหลุม ซ้ำยังจะลากผู้เป็นนายลงไปด้วย
เว่ยกุ้ยเฟยกัดฟันกรอด ฝืนยกยิ้มให้เฉิงผิงฮ่องเต้ “ฝ่าบาทโปรดเย็นพระทัยเถิดเพคะ เป็นความผิดหม่อมฉันที่สอนนางกำนัลไม่ดี ทำให้ฝ่าบาทต้องเสียอารมณ์ นางย่อมสมควรถูกลงโทษเพคะ”
เมื่อเว่ยกุ้ยเฟยกล่าวจบ นางก็โบกแขนเสื้อเรียกขันทีรูปร่างสูงใหญ่สองคนเข้ามา ทั้งคู่ต่างจับแขนนางกำนัลไว้และพยายามจะเอาผ้ายัดปากให้เงียบเสียงเพื่อลากตัวออกไปทำโทษ
นางกำนัลคนนี้รับใช้เว่ยกุ้ยเฟยมาหลายปี นางย่อมรู้ความอดทนของกุ้ยเฟยดี อีกทั้งยังทราบดีว่าหากถูกลากออกไปตอนนี้ย่อมมีเพียงหนทางเดียวที่รออยู่ นั่นก็คือความตาย ดังนั้นนางจึงดิ้นขัดขืนสุดแรง บางทีความปรารถนาที่อยากจะมีชีวิตอาจนำพาเอาพละกำลังที่มีอยู่เข้าขัดขืนได้สำเร็จ
ท้ายที่สุดนางกำนัลร่างบอบบางก็สามารถผลักขันทีร่างสูงออกไปได้ ในตอนนี้นางย่อมทราบดีว่าการร้องขอชีวิตต่อเว่ยกุ้ยเฟยย่อมไร้ประโยชน์แล้ว จึงก้าวไปสองสามก้าว คุกเข่าลงเบื้องหน้าฮ่องเต้และฮองเฮา ก่อนที่สารพัดถ้อยคำจะพรั่งพรูออกมาพร้อมเสียงสะอื้นไห้ “ได้โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะฝ่าบาท! หม่อมฉันมิได้ตั้งใจ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะท่านหญิงจินอี่! เป็นท่านหญิงจินอี่! หากมิใช่เพราะท่านหญิง หม่อมฉันย่อมไม่เสียกิริยาต่อหน้าพระองค์ ให้พระองค์ต้องตกพระทัยเช่นนี้…”
เมื่อนางกำนัลหลุดจากมือขันทีไปได้ เว่ยกุ้ยเฟยก็จ้องเขม็งไปที่ขันทีทั้งคู่ ทว่ายังช้าไป นางกำนัลได้พ่นทุกอย่างออกไปหมดแล้ว เว่ยกุ้ยเฟยโมโหสุดขีดฉายชัดผ่านแววตาทั้งสอง นางมองนางกำนัลผู้นั้นคล้ายมองศัตรูคู่อาฆาตแทนที่จะเป็นนางกำนัลผู้ซื่อสัตย์ภักดี
นี่ช่างเป็นโอกาสที่ดีที่หายากของเสิ่นฮองเฮาในการจัดการกับเว่ยกุ้ยเฟยต่อหน้าฮ่องเต้ แล้วนางจะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไปได้อย่างไรเล่า? นางจงใจยืดกายขึ้นแล้วถาม “โอ? เช่นนั้นแสดงว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังเป็นแน่ ฝ่าบาท ในเมื่อนางกำนัลเอ่ยวาจาเช่นนี้ เราย่อมต้องสืบสวนให้ถี่ถ้วนเสียก่อน มิเช่นนั้นจะเป็นการไม่ยุติธรรมในพระราชวังนี้แน่แล้วเพคะ”
เฉิงผิงฮ่องเต้นวดขมับโบกมือให้เสิ่นฮองเฮาจัดการต่อได้
ด้วยสายพระเนตรของเสิ่นฮองเฮาที่ตวัดมอง ขันทีสองคนที่กำลังจะจับแขนนางกำนัลก็รั้งถอยไป
เว่ยกุ้ยเฟยกำมือแน่นด้วยความโกรธ ดวงตาของนางยังคงจับจ้องร่างที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าราวกับจะฉีกเนื้อออกเป็นชิ้น ๆ
แม้นางกำนัลจะมีโอกาสได้อธิบายเรื่องราวต่อหน้าฮองเฮา แต่ก็ยังมิกล้าเปิดเผยความจริงออกไปได้ มิเช่นนั้นนางคงไม่อาจเดินออกจากตำหนักทิงอวี่ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ได้แล้ว เสิ่นฮองเฮามองสาวใช้ที่แทบจะแหลกสลายเบื้องหน้า สายตาของนางนั้นหนักแน่นด้วยศักดิ์ศรีของผู้ปกครอง “เจ้ากล่าวหาว่าเป็นเพราะท่านหญิงจินอี่ เช่นนั้นจงเล่าให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นตามความเป็นจริง! ”
ดวงตานางกำนัลที่ก้มหน้าทอประกายมุ่งร้ายพยาบาท ในตำหนักทิงอวี่ที่ยามนี้เต็มไปด้วยผู้ยิ่งใหญ่ ในฐานะนางกำนัลต่ำต้อย ผู้เดียวที่นางหมายจะโจมตีมีเพียงท่านหญิงผู้นั้น นางสูดหายใจเข้าลึก พยายามใจเย็น “ทูลฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันเพียงช่วยเหลือท่านหญิงจินอี่ ทว่าอยู่ดี ๆ กลับมีหนอนยักษ์สีดำหล่นลงมาใส่มือหม่อมฉันอย่างกะทันหัน หม่อมฉันกลัวมาก ดังนั้น…ดังนั้น…หม่อมฉันจึงอดมิได้ให้กรีดร้องเพคะ”
สีหน้าเสิ่นฮองเฮามืดครึ้มเพ่งมองหาข้อเท็จจริง “จะมีหนอนเบื้องหน้าเราได้อย่างไร? เจ้าโกหกข้าอยู่หรือไม่? ”
เมื่อเสิ่นฮองเฮาตรัสจบ สายตานางก็ตวัดมองฉู่เหลียนที่ยามนี้ยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ สงบเยือกเย็น คล้ายเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับนางแม้แต่น้อย และนางเป็นเพียงผู้อยู่ในเหตุการณ์คนหนึ่งเท่านั้น
นางกำนัลโขกศีรษะต่อไปอีกหลายครั้ง เกิดเป็นเสียงทึบ ๆ ทุกคราวที่หน้าผากสัมผัสพื้น “หม่อมฉันจะกล้าโกหกต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทได้อย่างไรเพคะ? หนอนนั่นมาจากผลท้อ! ฝ่าบาท หากพระองค์ไม่ทรงเชื่อ ทรงให้คนมาตรวจสอบผลท้อดูก่อนได้นะเพคะ? ”
เสิ่นฮองเฮามองขันทีวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านหนึ่ง ขันทีผู้นั้นไม่รอช้าหยิบเอาผลท้อที่ฉู่เหลียนหั่นครึ่งวางไว้บนโต๊ะมาตรวจสอบ ดังคาด เขาพบรูใหญ่ที่ตรงกลางผลท้อ หลังจากที่ขันทีรายงานสิ่งที่พบ ไม่นานนักก็พบตัวปัญหาเป็นหนอนสีดำกำลังดีดดิ้นอยู่บนโต๊ะ…
เมื่อนางกำนัลเห็นว่าพบหลักฐานแล้ว ใจหน่วง ๆ ก็คลายลงและแทบจะทรุดลงพื้น “เป็นท่านหญิงจินอี่ที่โยนหนอนใส่มือหม่อมฉัน ทำให้หม่อมฉันพลั้งเผลอเสียกิริยาเบื้องหน้าฝ่าบาทเพคะ ฝ่าบาท ขอได้โปรดคืนความยุติธรรมให้หม่อมฉันด้วย”
ฉู่เหลียนเหลือบมองนางกำนัลที่ยามนี้กลายเป็นเหยื่อไป มุมปากนางกระดกขึ้น แม่เด็กโง่นี่ นางคิดว่าคนที่นี่โง่งมไปหมดหรืออย่างไร?
ดังคาด เสิ่นฮองเฮาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนั้นเจ้ากำลังจะบอกว่า ท่านหญิงจินอี่จงใจวางกับดักเจ้าหรือ? เจ้าเป็นเพียงนางกำนัลต่ำต้อยผู้หนึ่ง ท่านหญิงจินอี่จะทำร้ายเจ้าไปเพื่ออะไรกัน? ”
นางกำนัลที่เพิ่งจะรู้สึกผ่อนคลายไปไม่ทันไร ใจก็พลันร่วงหล่นอีกครา ดวงตานางเบิกกว้าง พูดไม่ออกอยู่นานสองนาน
“หม่อม…หม่อมฉัน..มะ..ไม่ทราบ…”
ฉู่เหลียนทำซิ่วท้อถวายเฉิงผิงฮ่องเต้ตามที่พระองค์รับสั่งด้วยวัตถุดิบที่ล้วนแต่เป็นคนของสำนักพระราชวังจัดเตรียมให้ นอกจากนั้นนางกำนัลผู้นี้ยังเป็นคนของเว่ยกุ้ยเฟย ผู้ล้างผลท้อ จัดแจงทุกอย่าง ก่อนส่งต่อให้ฉู่เหลียน ทว่าหนอนน่าขยะแขยงกลับปรากฏขึ้นในผลท้อที่ควรจะสดใหม่..เพียงเท่านี้ก็ย่อมเห็นได้ชัดแล้วว่าสิ่งใดกันที่เกิดขึ้น
เหตุที่เว่ยกุ้ยเฟยพยายามจะกำจัดนางกำนัลก่อนหน้านี้ เนื่องจากนางไม่ต้องการให้เจ้าบ่าวรับใช้ผู้โง่งมกระทำสิ่งใดผิดพลาดและเผยเอาทุกอย่างออกมาเช่นนี้ คราวนี้แม้กระทั่งคนที่สมองน้อยที่สุดก็คงเดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าเสิ่นฮองเฮากลับหยุดยั้งทุกอย่างไว้ด้วยความตั้งใจที่จะเล่นงานเว่ยกุ้ยเฟย
เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงตรงนี้ ก็เหมือนเว่ยกุ้ยเฟยถูกเสิ่นฮองเฮาตบหน้าต่อหน้าฮ่องเต้ สีหน้านางโกรธกร้าวราวกับไฟที่โชติช่วง
ไม่รอให้เสิ่นฮองเฮาเอ่ยปากต่อ ฮ่องเต้ก็สั่งเสียงต่ำ “เอานางออกไป! เฆี่ยนให้ตาย!”
คำตรัสฮ่องเต้หนักแน่นกว่าเสิ่นฮองเฮาหรือเว่ยกุ้ยเฟย นางกำนัลไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรต่อก็ถูกองครักษ์ในชุดดำสองคนลากออกไป
ต่อมา เฉิงผิงฮ่องเต้ทอดพระเนตรฉู่เหลียนที่ยังคงยืนก้มหน้าโดยมิเอ่ยคำใดอยู่ข้างหนึ่ง หากนางเงยหน้าขึ้นมาในยามนี้ ย่อมได้เห็นสายพระเนตรแปลกประหลาดของฮ่องเต้แล้ว
“กุ้ยเฟย เจ้าสั่งสอนบ่าวไพร่ล้มเหลว เมื่องานเลี้ยงกลางฤดูใบไม้ร่วงจบสิ้น ข้าขอสั่งกักบริเวณเจ้าให้อยู่แต่เพียงในตำหนักตนเองครึ่งเดือน” สุรเสียงของเฉิงผิงฮ่องเต้นั้นเยือกเย็นเสียจนชวนให้ทุกคนหนาวสันหลัง
เว่ยกุ้ยเฟยมองฮ่องเต้อย่างไม่เชื่อสายตา ทว่ายามนี้ฮ่องเต้ดูเย็นชาเสียจนไม่อาจเอื้อม ต่างจากชายที่รักผู้ตระกองกอดนางก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
เว่ยกุ้ยเฟยมองฮ่องเต้ด้วยความเสียใจ หวังว่าพระองค์จะถอนรับสั่ง ทว่าฮ่องเต้กลับทอดพระเนตรไปทางอื่น ในขณะนี้เสิ่นฮองเฮาดูมีความสุขยิ่ง ในยามปกติมีเพียงผู้เดียวในวังหลังที่รังแต่จะสะเทือนสถานะนางได้ นั่นคือเว่ยกุ้ยเฟย สนมผู้นี้มักใช้แผนการเล็ก ๆ น้อย ๆ ลอบกัดพระองค์ลับหลังอยู่เสมอ แต่ใครจะคาดว่าเรื่องเล็กเช่นนี้จะทำให้เว่ยกุ้ยเฟยร่วงหล่นจากความโปรดปรานได้? เสิ่นฮองเฮาจะไม่ดีใจได้อย่างไร?
คิดดังนั้นแล้ว เสิ่นฮองเฮาก็ทอดพระเนตรไปที่ฉู่เหลียน แย้มรอยสรวลพอใจบนพระพักตร์ นางยังประเมินท่านหญิงจินอี่ผู้นี้ต่ำเกินไปนัก
เว่ยกุ้ยเฟยไม่มีทางเลือก ได้แต่ยอมรับการลงโทษ
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรทั่วตำหนักทิงอวี่ ก่อนจะเอ่ย “ข้าไม่สนใจเรื่องการทำซิ่วท้อนี้อีกแล้ว จินอี่ ไปหาย่าของเจ้าที่ตำหนักไทเฮาเถิด”
ฉู่เหลียนยอบกายคารวะ ตอบรับด้วยความนอบน้อมเช่นเคย
ทว่าก่อนฝูงชนจะจากไป เสียงใสราวกระดิ่งก็ดังขึ้นจากหน้าตำหนัก “เสด็จพ่อ เสด็จพ่อ! เหยาเอ๋อร์มาคารวะท่านแล้วเพคะ! ”
เมื่อได้ยินเสียงนั้น สีหน้ามืดครึ้มของฮ่องเต้ก็คลายลงเล็กน้อย พระองค์หันไปยังประตู ไม่นานนักก็มีเด็กสาวตัวน้อยในชุดพิธีการสีชมพูวิ่งเข้ามาราวกับผีเสื้อตัวน้อย จากนั้นก็โผกระโดดเข้าสู่อ้อมกอดของฮ่องเต้ที่อ้าแขนรับ
ฮ่องเต้ย่อกายลงเล็กน้อย พระพักตร์เต็มไปด้วยความรัก ความอ่อนโยนขณะลูบผมบุตรีของตน ตรัสถาม “เล่อเหยา เหตุใดจึงมาที่นี่ได้? ”
องค์หญิงเล่อเหยาบิดกายไปมา “เหยาเอ๋อร์คิดถึงเสด็จพ่อจึงได้ไปถามต่อกงกงแล้วมาที่นี่! เหยาเอ๋อร์ไม่เจอเสด็จพ่อมาสองวันเต็มแล้วนะเพคะ! พระองค์ไม่คิดถึงเหยาเอ๋อร์หรือเพคะ? ”
ฮ่องเต้ทรงพระสรวลอย่างปีติ ตรัสตอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “พ่อก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน”
องค์หญิงเล่อเหยายิ้มสดใส “เหยาเอ๋อร์รู้ว่าเสด็จพ่อรักเหยาเอ๋อร์ที่สุด! ”
ฮ่องเต้บีบแก้มธิดาของตนด้วยความเอ็นดู
เว่ยกุ้ยเฟยยังคุกเข่าอยู่อีกทางหนึ่ง เมื่อเห็นบุตรีของตนเข้ามาในตำหนัก สีหน้าก็ผ่อนคลายลง ลอบถอนใจอย่างโล่งอก
องค์หญิงเล่อเหยามองไปรอบตำหนักทิงอวี่ ก่อนจะวิ่งเข้าสู่อ้อมกอดเว่ยกุ้ยเฟยเป็นลำดับต่อมา “ท่านแม่ เป็นอะไรไปเพคะ? เหตุใดจึงต้องคุกเข่าที่พื้นด้วยเล่า? ”
เว่ยกุ้ยเฟยเผยรอยยิ้มอ่อนล้า ใช้มือสางผมที่ยุ่งน้อย ๆ ขององค์หญิงเล่อเหยา “เหยาเอ๋อร์ แม่ทำผิด แม่จึงต้องคุกเข่ารับโทษ”
องค์หญิงเล่อเหยาเบิกตากว้างขณะพยายามดึงตัวมารดาตนขึ้นจากพื้น ทว่าเว่ยกุ้ยเฟยไม่ยอมขยับ องค์หญิงเล่อเหยาจึงวิ่งไปหาฮ่องเต้ กอดแขนของพระองค์แล้วเขย่า “เสด็จพ่อ ท่านแม่ไม่ได้ตั้งใจ! ได้โปรดยกโทษให้ท่านแม่ในครั้งนี้ได้หรือไม่เพคะ? ”
เฉิงผิงฮ่องเต้มองดวงตาเว้าวอนของบุตรี สุดท้ายจึงได้แต่ยอมแพ้ “เอาล่ะ กุ้ยเฟยลุกขึ้น หากมีคราวหน้าอีก เจ้าย่อมไม่ได้รับการให้อภัย แม้เล่อเหยาจะออกปากขอร้องแทนเจ้าอีก”
สีหน้ายินดีปรากฏขึ้นบนใบหน้าเว่ยกุ้ยเฟย นางรีบตอบ “ขอบพระทัยฮ่องเต้ หม่อมฉันมิกล้า ไม่มีคราวหน้าแล้วเพคะ”
เสิ่นฮองเฮากัดฟันจนแทบแตกด้วยความโมโห นางไม่อยากเชื่อเลยว่าฮ่องเต้จะยอมละทิ้งความโกรธและให้อภัยต่อความผิดของเว่ยกุ้ยเฟย เพียงแค่องค์หญิงเล่อเหยาออกปากขอร้องเท่านั้น!