ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 312-1 หนีเอาชีวิตรอด
หลินหลันใส่ยาให้หมิงอวินอย่างพิถีพิถัน ดีที่ทั้งหมดเป็นบาดแผลภายนอกเล็กน้อยเท่านั้น ไม่กี่วันก็หายดีได้
“วันหน้าวันหลังต้องระมัดระวังหน่อย ไม่ว่าจะด้วยสถานการณ์การอันใด ล้วนต้องเห็นความปลอดภัยของตนเองมาเป็นอันดับแรก ต่อให้เพื่อคนที่เจ้าห่วงใยเหล่านั้นก็ตาม เจ้าก็ต้องรักษาตนเองให้ดีๆ เข้าไว้” หลินหลันกล่าวเสียงแผ่วเบา
หลี่หมิงอวินอมยิ้ม “เข้าใจแล้ว ข้าก็แค่ร้อนรนใจเท่านั้นเอง”
“ต่อให้ร้อนรนใจเพียงใด ก็จะลืมคำนึงถึงตนเองมิได้” หลินหลันชายตามอง และกล่าวอย่างจริงจัง
“ขอรับๆ ครั้งหน้าจะระมัดระวังอย่างแน่นอน” หลี่หมิงอวินรับปากอย่างดิบดี หลันเอ๋อร์ไม่โกรธเคืองกันแล้ว ให้เขาล้มกลิ้งอีกกี่ตลบก็คุ้มค่าทั้งนั้น
“คืนนี้เจ้าไปนอนที่ห้องปีกตะวันตกเถอะ!” หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยขณะเก็บกล่องยา
“ทำไมล่ะ หลันเอ๋อร์ เจ้ายังไม่อาจให้อภัยข้าได้หรือ ข้ามิได้ตั้งใจที่จะพูดเช่นนั้นจริงๆ…” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยความร้อนใจ
หลินหลันครุ่นคิดชั่วครู่ แล้วกล่าว “เจ้ายังไม่ชอบให้ข้าพูดจาไม่ดีใส่เลย แล้วไยไม่คิดเสียบ้างว่าคำพูดของตนเองมันทำร้ายจิตใจคนเขามากเพียงใด รู้สึกผิดแล้วอย่างไรหรือ การพูดคำพูดประเภทนี้มันไม่ต่างจากไร้หัวจิตหัวใจ รู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจ มิเช่นนั้นยามนี้เจ้าจะนั่งอยู่ตรงนี้ได้อีกหรือ แต่ต่อให้เจ้ามิได้ตั้งใจก็ตาม หากมีครั้งหน้าข้าไม่ให้อภัยเจ้าแน่นอน”
หลี่หมิงอวินยิ้มเจื่อนทันที “ขอรับๆ เป็นข้าเองที่ทำผิดไป”
“ส่วนความกังวลใจของเจ้า ข้าขอบอกเจ้าอีกครั้ง ว่านั่นไม่มีความจำเป็นต้องกังวลเลยสักนิด เจ้าบอกข้ามาตามจริง นอกจากเหตุผลนี้ ยังมีเหตุผลอื่นอีกหรือไม่” หลินหลันใช้แววตาคาดคั้นจ้องมองเขา
หลี่หมิงอวินส่ายหน้าอย่างจริงจัง “ข้าสาบานได้ ไม่มีความคิดอื่นอย่างแน่นอน จริงๆ นะ”
หลินหลันสูดลมหายใจเข้าลึก “เช่นนั้นก็ดี เจ้าไปนอนเถอะ ข้าเองก็เหนื่อยมากแล้วเช่นกัน”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ระทม “จะไล่ข้าไปจริงๆ หรือ”
หลินหลันจ้องเขม็งใส่เขา “เจ้าดูตัวเจ้าที่ทายาเต็มไปหมดสิ ข้าไม่เป็นอันเมากลิ่นยาแย่เลยหรือ”
หลี่หมิงอวินยกท่อนแขนขึ้นแล้วสูดดม เป็นกลิ่นยาที่ไม่น่าดมเอาเสียเลย เขากวาดสายตามอง แล้วชี้นิ้วไปยังเก้าอี้นวมตัวยาวซึ่งตั้งอยู่ริมหน้าต่าง “เช่นนั้นคืนนี้ข้านอนบนเก้าอี้เอนกายเป็นอันสิ้นเรื่อง”
หลินหลันทำได้เพียงปล่อยไปเลยตามเลย
เห็นว่าคุณชายรองได้พักผ่อนอยู่ด้านในห้องแล้ว กุ้ยซ่าวและคนอื่นๆ จึงเป็นอันโล่งใจ บนโลกนี้ไม่มีคู่สามีภรรยาใดที่ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ พอเป็นกระษัย แต่หากทะเลาะกันใหญ่โตก็คงไม่ดีแน่
ด้วยความเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง หลังล้มตัวลงนอนเพียงชั่วครู่หลี่หมิงอวินก็นอนหลับไป หลินหลันรู้สึกอ่อนล้ามากเช่นกัน ทว่าจะทำอย่างไรก็นอนไม่หลับเสียที อาจเพราะลึกๆ แล้วในใจยังมีความโกรธเคืองอยู่ ซึ่งบอกไม่ถูกเช่นกันว่าทำไม นางไม่อาจควบคุมสมองไม่ให้ครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยได้ วันนี้ทะเลาะกันเช่นนี้ ช่างรู้สึกที่แย่จริงๆ ทว่าการใช้ชีวิตร่วมกันสองสามีภรรยา ต้องอยู่ด้วยกัน เห็นหน้าค่าตากันเสมอ จึงอดไม่ได้ที่จะมีความขัดแย้งกันบ้าง ขนาดลิ้นกับฟันในบางครั้งยังขบกันเลย! นางและหมิงอวินจะเป็นเสมือนคู่สามีภรรยาอื่นๆ หรือไม่ ที่ตกสู่สถานการณ์จากคนรักกัน กลายเป็นคนเกลียดชังกัน หรือไปถึงขั้นเป็นเสมือนคนแปลกหน้า
ทันใดนั้นได้ยินเสียงดังกรอบแกรบจากด้านนอก หลินหลันคิดว่าเป็นหรูอี้ตื่นขึ้นมากลางดึก หรือเป็นเสียงของต้นไห่ถางลู่ไปตามสายลมพัด ทว่าพอฟังๆ ดูแล้วกลับรู้สึกไม่เหมือนอย่างที่คิดในตอนแรก จึงตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ คงไม่ใช่สัตว์ป่าอะไรบุกรุกเข้ามาแล้วกระมัง ในภูเขายิ่งมีแมวป่าเยอะอยู่ด้วย
หลังเงี่ยหูฟังใจจดจ่อเช่นนี้อยู่พักหนึ่ง จู่ๆ นางก็ได้กลิ่นหอมๆ ที่แปลกชอบกลอย่างหนึ่ง หลินหลันตระหนักถึงการระแวดระวังขึ้นภายในใจ รีบคว้าผ้ามาปิดปากและจมูก จากนั้นเดินลงจากเตียงไปเขย่าตัวหมิงอวินอย่างเงียบๆ แล้วกล่าวเสียงกระซิบ “หมิงอวิน ตื่นเร็วเข้า ดูเหมือนมีสถานการณ์บางอย่างไม่ชอบมาพากล”
หลี่หมิงอวินสะลึมสะลือ กึ่งหลับตากึ่งลืมตา ขณะกำลังจะเอ่ยปากถามไถ่ หลินหลันกลับยื่นมือไปปิดปากของเขา แล้วกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาอย่างยิ่ง “มีคนรมควันธูปหอมที่ก่อให้เกิดการหมดสติเข้ามาในห้องเรา”
หลี่หมิงอวินตื่นตกใจ ทันใดนั้นความงัวเงียก็หายเป็นปลิดทิ้ง ดวงตาเบิกกว้างขณะจ้องมองหลินหลัน ขณะเดียวกันก็เงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหว ไม่นานนัก เห็นเพียงแสงสีแดงด้านนอกที่ค่อยๆ พวยพุ่งขึ้น ตามด้วยควันโขมงที่ลอยเข้ามา
นัยน์ตาของทั้งสองต่างแสดงให้เห็นถึงความตื่นตระหนกปนประหลาดใจ นี่มีคนจงใจวางเพลิงสินะ
“รีบลุกขึ้นมาเร็วเข้า!” หลินหลันโยนเสื้อผ้าให้เขา พลางมองสำรวจทิศทางไฟ บริเวณประตู และด้านนอกหน้าต่างเต็มไปด้วยเปลวเพลิง เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ตั้งใจเล่นงานพวกเขาให้ถึงแก่ความตายเลยทีเดียว
หลี่หมิงอวินสวมใส่เสื้อผ้าอย่างลุกลี้ลุกลน พลางมองสำรวจทั่วสารทิศว่าจะหนีเอาชีวิตรอดจากทางไหนดี หลินหลันคว้าเอาผ้านวมจากเตียงนอนมาวางแผ่บนพื้น แล้วจึงไปห้องน้ำเพื่อถือถังน้ำออกมาหนึ่งถัง จากนั้นสาดมันลงไปบนผ้านวม ก่อนยื่นผ้าขนหนูที่เปียกหมาดผืนหนึ่งให้หลี่หมิงอวิน เพื่อให้เขาใช้ปิดปากปิดจมูก และแสดงท่าทางให้เขาคลุมผ้านวมที่เปียกชื้นไว้ เพื่อไปเปิดประตูห้อง
ประตูห้องกลับถูกคนลงกลอนไว้จากด้านนอก หลี่หมิงอวินจึงกระโดดถีบด้วยเท้าเดียว เกิดเสียงดังโครมพร้อมกับบานประตูที่หลุดออก จากนั้นดึงหลินหลันมาห่อหุ้มอยู่ในผ้านวม และทั้งสองคนก็พากันวิ่งหน้าตั้งฝ่ากำแพงไฟไปจนกระทั่งถึงลานบ้าน
ภายในลานบ้านปราศจากเงาคน เห็นทีว่าคนที่วางเพลิงคงจะหนีไปแล้ว
“เร็วเข้า ไปหาพวกหรูอี้เร็วเข้า” หลินหลันนึกถึงพวกหรูอี้ทันทีที่หลุดพ้นจากอันตรายมาได้ เพราะยามราตรีมีสายลมพัดโชย บ้านทั้งหมดเป็นโครงสร้างไม้ เปลวเพลิงลุกลามชั่วครู่เดียวก็แผดเผาห้องกลางแทบทั้งหมดแล้ว เสียงเปาะแปะจากการเผาไหม้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มเพลิงที่รุนแรงขึ้นและความเคลื่อนไหวที่ดังสนั่นเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่กุ้ยซ่าวและคนอื่นๆ จะไม่มีการตอบสนอง นอกเสียจากว่าพวกเขาล้วนถูกรมธูปหอมที่ออกฤทธิ์ให้หมดสติไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ข้าจะไปเรียกตงจึ เจ้าไปหาพวกหรูอี้แล้วกัน” หลี่หมิงอวินและหลินหลันแยกกันไปทำหน้าที่ของตน
ยามนี้ทั้งสองล้วนไม่กล้าตะโกนเสียงดัง เกิดคนชั่วร้ายเหล่านั้นยังอยู่ด้านนอก เห็นว่าเพลิงไฟไม่ได้เผาไหม้พวกเขาจนตาย เลยบุกเข้ามาปลิดชีพแล้วจะทำอย่างไรล่ะ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่มีทักษะการต่อสู้ที่ล้ำเลิศเสียด้วย
ไม่นานนัก หลี่หมิงอวินแบกตงจึออกมา หลี่หมิงอวินตักน้ำจากบ่อเก็บน้ำบาดาลในลานบ้าน แล้วสาดเข้าไปที่ใบหน้าของตงจึ
ตงจึรู้สึกตัว ตื่นขึ้นมา เห็นว่าตนเองไม่ได้อยู่บนเตียงนอน แต่มาอยู่ในลานบ้านเสียได้ จากนั้นก็มองเห็นเปลวเพลิงที่ลุกอย่างดุเดือดเบื้องหน้า เขาจึงตะเกียกตะกายยืนขึ้นด้วยความตระหนกตกใจ “เอ้อร์เส้าเหยียขอรับ นี่…นี่มันเรื่องอันใดกันขอรับ”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไว้เดี๋ยวค่อยว่ากัน รีบไปแบกตัวหรูอี้พวกนางออกมาเร็วเข้า”
หลินหลันประคองหรูอี้ออกมา “หมิงอวิน พวกเจ้าเร่งมือหน่อย จิ่นซิ่วและกุ้ยซ่าวยังอยู่ด้านใน”
ดูจากแนวโน้มเพลิงไฟนี่ อีกไม่นานทั่วทั้งบ้านนี่คงได้มอดไหม้จนหมดเป็นแน่
ยามรุ่งอรุณฟ้าสาง หลินหลันและคนอื่นๆ ยื่นอยู่บริเวณพื้นที่โล่งด้านหน้า มองดูบ้านที่ถูกเพลิงแผดเผาจนกลายเป็นขี้เถ้า ภายในใจรู้สึกหนักอึ้งเกินบรรยาย สรุปแล้วเป็นผู้ใดกันที่ต้องการเล่นงานพวกเขาให้ถึงแก่ความตาย
ผู้ดูแลสถานที่แห่งนี้ได้รับข่าวคราวกลางดึก จึงพาผู้คนขึ้นมาอย่างเร่งรีบ และรู้สึกตกตะลึงอย่างยิ่งเมื่อเห็นสภาพการณ์ ผู้ใดกันที่หาญกล้าเพียงนี้ ถึงขั้นวางเพลิงบ้านพักของโหว์เหยีย โชคดีที่ใต้เท้าหลี่และภรรยาปลอดภัยดี มิเช่นนั้น เขาคงไม่รู้ว่าจะชี้แจ้งอย่างไรต่อโหว์เหยียอย่างไรดี!
“ใต้เท้าหลี่ขอรับ ข้อน้อยได้ส่งคนไปรายงานโหว์เหยียให้ทราบแล้ว จะจัดกำลังคนมาอารักขาใต้เท้าและภรรยาลงเขาเป็นอันดับแรกนะขอรับ” ผู้ดูแลกล่าวขณะยกสองมือขึ้นคารวะ
หลี่หมิงอวินมีสีหน้าเยือกเย็น ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเย็นชาและเคลือบแคลงใจ หากไม่ใช่หลันเอ๋อร์ไหวตัวทัน ยามนี้ ทุกคนคงได้กลายเป็นร่างไร้วิญญาณท่ามกลางกองเพลิง ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นขี้เถ้าไปแล้ว ผู้ที่ต้องการทำร้ายเขา ลงมืออย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ หากจับกุมตัวการออกมาไม่ได้ เขาคงกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นแน่
“หมิงอวิน พวกเราลงเขากันก่อนเถอะ! ที่นี่ก็มอบให้ผู้ดูแลเป็นคนจัดการแล้วกัน” หลินหลันกระตุกแขนเสื้อของหมิงอวิน ที่นี่อันตรายเกินไป ออกจากพื้นที่นี่แล้วค่อยวางแผนการกันอีกทีจะดีกว่า
เพราะหนีเอาชีวิตรอดกันกลางดึก ทุกคนจึงอยู่ในชุดลำลอง ตามตัวมีทั้งน้ำ ทั้งเขม่าควันไฟ สภาพไม่เหลือชิ้นดี หลี่หมิงอวินจึงพยักหน้าเห็นด้วย ความปลอดภัยของทุกคนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
หลังเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้านในบ้านบริเวณตีนเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขบวนคนกลุ่มหนึ่งพากันลงจากเขา ผู้ดูแลจึงส่งรถม้าให้พาพวกเขากลับมายังจวนหลี่
เมื่อมาถึงปากประตูจวนหลี่ หลี่หมิงอวินประคองหลินหลันลงจากรถ แล้วกล่าว “เจ้ากลับเข้าไปพักผ่อนก่อน ข้าจะไปจวนโหว์เหยียสักหน่อย”
หลินหลันพยักหน้า “เช่นนั้นเจ้าระมัดระวังตนเองด้วย มีข่าวคราวอันใดก็มาบอกกล่าวข้าด้วย”
หลี่หมิงอวินจับบ่าของนาง “วางใจเถอะ! คนชั่วเหล่านั้นก็กล้าลงมือแค่ตอนที่พวกเราอยู่ตามลำพังเท่านั้น ในเมืองหลวงนี่ พวกมันยังไม่มีความกล้าถึงขั้นนั้นหรอก ข้าจะพยายามกลับมาโดยเร็วที่สุด”
ติงหลั้วเหยียนรีบมาพบทันทีที่ได้ข่าวคราวการกลับมา และเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “พวกเจ้าตั้งใจว่าจะไปพักบนเขาสองสามวันมิใช่หรือ เหตุใดวันนี้ก็กลับมาเสียแล้วล่ะ”
จิ่นซิ่วกล่าว “ต้าเส้าหน่ายนายเจ้าคะ เมื่อคืนมีคนวางเพลิงบ้านพัก พวกเราเกือบถูกไฟคลอกตายแล้วเจ้าค่ะ”
ติงหลั้วเหยียนตระหนกตกใจอย่างยิ่ง นางรีบดึงมือหลินหลันแล้วมองสำรวจดู “เหตุใดถึงเกิดเรื่องน่ากลัวเยี่ยงนี้ได้ น้องสะใภ้ เจ้ากับน้องรองไม่ได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่”
หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนๆ ให้อย่างปลอบประโลมนาง “พี่สะใภ้ พวกเรามิเป็นไรเจ้าค่ะ เพียงแค่เสียดายบ้านพักของโหว์เหยีย สถานที่ซึ่งงดงามโอ่อ่า เป็นอันต้องมอดไหม้ไปทั้งอย่างนี้เสียแล้ว”
ติงหลั้วเหยียนตบหน้าอกอย่างเบามือ พลางถอนหายใจด้วยความโล่งใจ “พวกเจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ลำพังแค่ได้ยินก็ใจคอไม่ดีแล้ว จริงสิ ว่ากันเช่นนี้ ก็หมายความว่ามีคนวางเพลิงหรือ แล้วจับตัวคนชั่วได้แล้วหรือไม่”
หลินหลันส่ายหน้า “ยังจับตัวคนมิได้เลยเจ้าค่ะ ตอนนี้หมิงอวินกำลังไปตรวจสอบอยู่เจ้าค่ะ”
ติงหลั้วเหยียนวิตกกังวลขึ้นมาอีกระลอก “นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว ใครกันที่เคียดแค้นพวกเราถึงขั้นจะเอาชีวิตกันให้ได้ คนผู้นี้หากไม่จับตัวมา นี่…นี่ยังจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกันได้อย่างไร”
นั่นสิ! ใครกันที่เคียดแค้นนางหรือหมิงอวินถึงขั้นนี้ เริ่มจากรมควันธูปให้หมดสติ จากนั้นวางเพลิง ครั้งนี้เอาชีวิตรอดมาได้ ช่างเป็นพระเจ้าคุ้มครองจริงๆ