ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่113กฎระเบียบประจำบ้าน
ยังไม่ทันฟ้าสร่าง หลี่หมิงอวินได้ยินเสียงดัง ก๊อกแก๊ก และเมื่อลืมตาขึ้นจึงเห็นว่าหลินหลันตื่นนอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ยังเช้ามืดอยู่เลย! เหตุใดถึงไม่นอนต่ออีกหน่อย” หลี่หมิงอวินขยี้ตาพลางพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง
หลินหลันเคาะรองเท้า แล้วช่วยหยิบเสื้อคลุมผ้าฝ้ายให้หลี่หมิงอวินพลางกล่าวขึ้น “ท่านพ่อเจ้ากำชับไว้ว่าวันนี้จะต้องไปฉิ่งอานแต่เช้าหน่อย ดังนั้นอีกประเดี๋ยวเราไปฉิ่งอานให้เรียบร้อยก่อนแล้วเจ้าค่อยไปสำนักฮ่านหลินนะ”
หลี่หมิงอวินมองดูเวลา “แต่นี่มันก็เช้าเกินไปแล้วกระมัง! ท่านย่าอาจยังไม่ตื่นด้วยซ้ำ!”
“ไม่มีทาง เดิมทีคนชราก็ไม่ได้หลับลึกอะไรอยู่แล้ว บวกกับเพิ่งมาอยู่ในสถานที่แปลกใหม่ ทำให้ไม่คุ้นชินในหลายๆ สิ่ง เช่นนั้นนางจะต้องตื่นแต่เช้าตรู่เป็นแน่ ถ้าเราไปถึงเช้าหน่อยจะได้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจยังไงล่ะ” หลินหลันอธิบายขณะนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
หลี่หมิงอวินมองนางที่กำลังใช้หวีไล่หวีเส้นผมอันยาวสลวยจากบนลงล่าง จึงเกิดแรงกระตุ้นชนิดที่ว่าอยากจะสอดแทรกนิ้วมือลงไปสัมผัสและม้วนมันเป็นช่อเกลียวผ่านนิ้วมือแล้วเคลื่อนลงอย่างเบาๆ
“นี่คงไม่ได้หมายความว่าหลังจากนี้ต้องตื่นเช้าขนาดนี้หรอกใช่ไหม” หลี่หมิงอวินค่อยๆ สวมใส่ชุด
“จะทำไงได้ ใครใช้ให้นางเป็นท่านย่าของเจ้าล่ะ”
“ก็เป็นท่านย่าของเจ้าด้วยเช่นกัน” หลี่หมิงอวินโต้นางขึ้นมาทันควัน
หลินหลันเผยรอยยิ้มภายใต้ริมฝีปากที่เม้มเข้าหากัน “ใช่ ท่านย่าของเรา ข้าลองคิดดูแล้ว ตอนนี้เรายังมองความนึกคิดในใจของนางไม่ทะลุปรุโปร่ง วิธีเดียวที่ทำได้ก็คือทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ทำตามกฎระเบียบเข้าไว้ ธรรมเนียมใดที่ควรปฏิบัติก็ยึดปฏิบัติทั้งหมด ต่อให้ไม่สามารถผูกมิตรกับนางได้แต่จะทำให้นางเอาความผิดกับเราไม่ได้เป็นอันขาด”
หลี่หมิงอวินรู้สึกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “คงได้แต่ลำบากเจ้าอีกแล้วล่ะ”
“นี่มันถือว่าลำบากอะไรที่ไหน ตอนอยู่ที่หมู่บ้านเจี้ยนซี ข้าก็ตื่นนอนแต่เช้ามืดทุกวัน จุดไฟทำกับข้าว ซักผ้า หาบน้ำ และบ่อยครั้งที่ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็ขึ้นภูเขาไปเด็ดสมุนไพร ตอนนี้ตื่นเช้าขึ้นหน่อยแต่ก็เพื่อไปฉิ่งอานเท่านั้น ไม่ต้องไปทำงานเหล่านั้นซึ่งนี่ก็ถือว่าสบายมากแล้ว อีกอย่างนะ ครอบครัวตระกูลใหญ่โตอย่างพวกเจ้า เรื่องการตื่นนอนแต่เช้าตรู่ก็คือขั้นพื้นฐานของมารยาทอย่างหนึ่ง ผู้อื่นเขายังทำได้แล้วใยข้าจะต้องกลัวลำบากอีก”
เมื่อมองผ่านกระจกบานโตทำให้เห็นเขาที่กำลังเดินเข้ามาหานางอย่างใจเย็น หวีที่เคยอยู่ในมือถูกหลี่หมิงอวินคว้าไป เขายืนอยู่ด้านหลังนางจับจ้องไปที่ผมสลวยที่ทั้งนุ่มและเส้นเล็กของนาง
ทันใดนั้นดวงหน้างดงามของหลินหลันกลับถูกเคลือบไว้ด้วยสีแดงระเรื่อ หลังจากสารภาพรัก เขามักจะลงมือทำอะไรที่แนบชิดเคียงใกล้อยู่บ่อยๆ เช่นก่อนที่เขาจะออกไปข้างนอก ทุกครั้งจะต้องกอดนางหลวมๆ เสมอ บางครั้งยังแอบจรดจุมพิษลงไปที่หน้าผากนางเบาๆ หลังจากนั้นก็เอ่ยพูดอย่างนุ่มนวลว่า…ข้าไปล่ะนะ ยามรับประทานอาหาร หากนางดื่มน้ำแกงไม่หมด เขาก็จะหยิบไปแล้วเอ่ยพูดอย่างสุขุม…จะกินทิ้งกินขว้างไม่ได้ แล้วก็ดื่มน้ำแกงนั้นอย่างเอร็ดอร่อย หลังอาบน้ำ ขณะที่ผมของนางยังไม่แห้งสนิท เขาก็จะแย่งงานของหยินหลิ่วด้วยการช่วยขยี้ผมให้นางจนแห้ง เวลาที่เขาเขียนตัวอักษรก็มักจะลากนางเข้าไปร่วมวงด้วย…โดยจับมือของนางสอนเขียนตัวอักษร ในทุกค่ำคืน เขาจะเอนกายบนเตียงนอนของนางเพื่ออ่านหนังสือสักประเดี๋ยว หลักจากนั้นถึงจะลุกออกไปอย่างรู้เวลาโดยทิ้งกลิ่นอายแห่งความอบอุ่นเอาไว้ให้นาง…
หากจะเอ่ยว่าการสารภาพรักของเขาทำให้นางตระหนักได้ว่าหัวใจของตนเองยังคงมีชีวิตอยู่ หรือไม่ วันคืนที่ผ่านมาเหล่านี้ ทุกสิ่งที่เขาทำก็ไม่ต่างไปจากสายฝนเม็ดเล็กๆ ที่ไหลซึมเข้ามาอย่างอ่อนโยนและไร้เสียงซึ่ง ค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในหัวใจดวงน้อยของนาง จนกระทั่งนางรู้สึกตัว เมล็ดพันธุ์ที่อยู่ในหัวใจก็งอกเงยขึ้นอย่างไม่รู้ตัวตลอดจนได้เติบใหญ่เป็นต้นกล้าอันแข็งแรงเสียแล้ว
“ข้าทำเองก็ได้” หลินหลันคว้าหวีกลับคืนและออกแรงผลักเขาเล็กน้อยภายใต้อากับกิริยาเขินอาย “รีบไปอาบล้างหน้าล้างตาเร็วเข้า”
หลี่หมิงอวินคลี่รอยยิ้มเล็กน้อยอย่างรู้ทันก่อนจะยกมือขึ้นลูบศีรษะของนางอย่างเอ็นดูแล้วจึงหันหลังเดินไปยังห้องน้ำ
หลินหลันแยกเคี้ยวใส่แผ่นหลังของเขา นางไม่ใช่หมาน้อยสักหน่อยจะลูบอะไรกันนักกันหนา
หลินหลันและหลี่หมิงอวินไปถึงโถงจาวฮุยเป็นคนแรก แม่จู้ที่คอยให้การปรนนิบัติหญิงชราเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “เอ้อร์เส้าเหยีย เอ้อร์เส้าหน่ายนายมาแต่เช้าเลยนะเจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินเอ่ยถาม “ท่านย่าตื่นแล้วใช่หรือไม่”
แม่จู้กล่าว “ตื่นนานแล้วเจ้าค่ะ เหล่าไท่ไทหลับไม่ค่อยสนิท อีกทั้งยังไม่คุ้นชินเตียงนอนจึงแทบไม่ได้หลับเท่าไหร่หรอกเจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินอดไม่ได้ที่จะชายตามองหลินหลัน นางพูดได้ตรงเผงเลยทีเดียว
หลินหลันเผยรอยยิ้มเล็กน้อยขณะยื่นขวดหนึ่งขวดออกไป “แม่จู้ นี่คือน้ำผึ้งจากเกสรต้นส้มของฤดูใบไม้ผลิ ไว้ให้ท่านย่าดื่มก่อนเข้านอนโดยใช้น้ำอุ่นชง ดื่มวันละแก้วทุกวันจะช่วยให้หลับสนิทยิ่งขึ้น”
แม่จู้รับมาไว้แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายช่างมีน้ำใจเหลือเกินเจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินถึงได้รู้ว่าเหตุใดหลินหลันถึงต้องดื่มน้ำผึ้งทุกวันก่อนนอน ที่แท้ก็มีสรรพคุณเช่นนี้นี่เอง
แม่จู้เชื้อเชิญทั้งสองคนเข้าไปด้านใน ขณะนั้นหญิงชรากำลังพูดคุยอยู่กับสาวใช้วัยชราอีกคน เมื่อเห็นหมิงอวินกับหลินหลันมาถึงจึงโบกมือให้สาวใช้หญิงชราท่านนั้นออกไปก่อน
ทั้งสองเข้าไปเบื้องหน้าเพื่อน้อมคาราวะ
หญิงชรากล่าวด้วยสีหน้าที่มีไมตรีจิต “พอหญิงชราอย่างข้ามา เลยทำให้พวกเจ้านอนหลับไม่สงบเช่นกันสินะ”
หลินหลันได้ฟังประโยคดังกล่าว ก็รู้สึกได้ทันทีว่าในความพูดนั่นแฝงเอาไว้ซึ่งการทิ่มแทง เหมือนกำลังเอ่ยว่า ก่อนหน้าที่นางจะมาพวกเขาต่างนอนตื่นสายอยู่ทุกวัน
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทุกวันหมิงอวินจะตื่นแต่เช้าตรู่เพื่ออ่านตำราและฝึกเขียนตัวอักษรแล้วถึงไปทำงานเจ้าค่ะ ส่วนหลานก็เคยชินกับการตื่นแต่เช้าเช่นกันเจ้าค่ะ อากาศยามเช้าสดชื่อบริสุทธิ์มีประโยชน์ต่อร่างกายเจ้าค่ะ”
หญิงชราพยักหน้าเล็กน้อย “ได้เป็นจอหงวนและได้เข้าสำนักฮ่านหลินแล้ว แต่ยังคงไม่ลืมที่จะขยันขันแข็ง ซึ่งนั่นนับว่าดีเยี่ยมมาก”
“หลานยึดถือในคำสั่งสอนของท่านย่ามาโดยตลอดขอรับ ลำบากตอนนี้จะได้สุขสบายในวันหน้า หลานจึงไม่กล้าทำนิสัยหย่อนยานมาแต่ไหนแต่ไรขอรับ” หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างถ่อมตน
สีหน้าของหญิงชราแอบเผยให้เห็นถึงความปลื้มใจอยู่เล็กน้อย แล้วกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นเรื่องเมื่อตอนที่เจ้าอายุเจ็ดขวบสินะ โชคดีที่เจ้ายังจำได้”
“คำสั่งสอนที่ดีงามของท่านย่า แน่นอนว่าหลานต้องจดจำได้ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากด้วยขอรับ” หลี่หมิงอวินเอ่ยด้วยความจริงใจ
หลินหลันแอบรำพึงรำพันใจ พ่อหนุ่มนี่ ทักษะการผูกมิตรไมตรีไม่ธรรมดาเลยแฮะ!
ไม่ว่าจะเป็นการที่หมิงอวินกล่าวเยินยอเพื่อให้นางดีใจเล่นเท่านั่นหรือไม่ ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันได้ผลเพราะหญิงชรากำลังรู้สึกดีใจจริงๆ คนที่นางชื่นชอบมากที่สุดก็คือผู้ที่ขยันอดทน การที่หมิงอวินประสบความสำเร็จในวันนี้ แน่นอนว่าความฉลาดก็เป็นส่วนหนึ่ง ทว่าที่สำคัญมากที่สุดยังคงเป็นความขยันของเขาเอง และคงปฏิเสธมิได้ว่าในประเด็นนี้ หมิงเจ๋อเทียบหมิงอวินไม่ได้เลยจริงๆ
“การอ่านตำรามิใช่เพื่อเข้าเป็นขุนนางเท่านั้น แต่ต้องมีจิตใจมั่นหมายที่จะปกป้องฮ่องเต้ด้วย ได้ยินท่านพ่อเจ้าว่า ตอนนี้เจ้าถือเป็นอาวุธสำคัญ ดังนั้นจะทำเรื่องอันใดก็ต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจและระมัดระวังเอาไว้ให้มาก อย่าได้หยิ่งผยองและนิ่งนอนใจ” หญิงชราเอ่ยอมรมสั่งสอน
หลี่หมิงอวินน้อมรับคำสอนอย่างถ่อมตน
“เอาล่ะ นี่ก็สายแล้ว รีบไปทำงานเถอะ! ภรรยาของหมิงอวิน เจ้าอยู่ก่อนแล้วกันนะ ข้ามีเรื่องให้เจ้าช่วยเหลือหน่อย” หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
หลี่หมิงอวินยกสองมือขึ้นประสานกันระดับหน้าอกในท่าคารวะแล้วกล่าวลา ก่อนจะชายตามองหลินหลันชั่วขณะด้วยความกังวลใจ
หลินหลันฉีกยิ้มเล็กน้อยเพื่อเป็นการบอกให้เขาวางใจได้
การส่งสายตาให้กันของคู่รักหนุ่มสาวล้วนอยู่ในสายตาของหญิงชราผู้เป็นย่า สีหน้าของหญิงชรายังคงเป็นไปอย่างปกติ ทว่าในใจกลับคิดเล็กคิดน้อยไปทั่ว เห็นทีว่าหมิงอวินจะถูกใจสะใภ้คนนี้เป็นอย่างมาก รักใคร่ภรรยานั่นถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ปัญหาคือหลินหลันคู่ควรที่จะได้รับความรักนี้หรือไม่ หากหลินหลันมีบุคลิกและนิสัยใจคอเพียบพร้อมก็คงไม่เป็นปัญหา แต่หากเป็นหญิงที่ปลิ้นปล้อนสับหลอก มิเท่ากับเป็นการพาลหมิงอวินเหนื่อยไปด้วยหรือ
หลังหมิงอวินเดินออกไป หญิงชราจึงเอ่ยถาม “เจ้ารู้จักตัวหนังสือได้อย่างไร”
หลินหลันเผยรอยยิ้มแสนหวาน “รู้จักเพียงเล็กน้อยเจ้าค่ะ เพราะต้องจ่ายยาดังนั้นจึงเคยเรียนรู้มาบ้างเจ้าค่ะ”
หญิงชรากล่าว “เช่นนั้นก็ดี งั้นเจ้าช่วยข้าร่างกฎระเบียบของบ้านทีสิ โดยเจ้าเขียนตามที่ข้าพูด”
“เจ้าค่ะ…” หลินหลันตอบรับด้วยความยินดี ขณะเดียวกันก็แอบตรึกตรองว่าการที่หญิงชราให้นางช่วยร่างกฎระเบียบของบ้านให้ เกรงว่าจะเป็นการเตือนว่าผู้แรกที่นางต้องการย้ำเตือนก็คือนางกระมัง!
สาวใช้หยิบพู่กันและหมึกมาให้ ก่อนหญิงชราจะให้หลินหลันขึ้นมานั่งบนแท่นทีนั่งด้วยกันเพื่อให้เขียนมันบนนั้น
“การทำตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีในการปกครองบ้าน โดยการลดความปรารถนา ลดความโลภและรู้จักแยกแยะถูกผิด ถือเป็นพื้นฐานแห่งการทำตนเป็นแบบอย่างที่ดีในการปกครองบ้าน วินัยของครอบครัวไม่เคร่งครัด คนในครอบครัวไม่เคารพกฎระเบียบ ต่อให้วงศ์ตระกูลอยู่มาเป็นร้อยปีก็เป็นอันต้องเผชิญความหายนะ ในทางกลับกัน ถึงครอบครัวจะยากจนแร้นแค้นก็มีวันที่จะสว่างรุ่งโรจน์ได้เช่นกันด้วยการ…ปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดี ขึ้นอยู่กับการขยันและมัธยัสถ์ ต้องระลึกถึงเสมอว่ากว่าจะได้ข้าวแต่ละเม็ด มิใช่การได้มาอย่างง่ายๆ หมั่นไตร่ตรอง และควรระลึกถึงความยากลำบากในการจะได้มาซึ่งแต่ละสิ่งอย่าง เป็นเรื่องง่ายที่จะแปรเปลี่ยนจากความมัธยัสถ์ไปสู่ความฟุ่มเฟือย แต่เป็นเรื่องยากที่จะทำให้ความฟุ่มเฟือยแปรเปลี่ยนไปเป็นความมัธยัสถ์ ซึ่งเหล่านี้ความหยิ่งผยองถือเป็นใจความสำคัญ… ลำดับถัดมา การเคารพ ต้องรู้จักระมัดระวัง ผ่อนหนักเป็นเบาและรู้จักอดกลั้น เช่นนี้ถึงจะสามารถออกห่างปัญหาได้…หากต้องการให้บ้านสงบสุข ต้องมีมรรยาทและเคารพธรรมเนียมปฏิบัติอย่างไม่ละเว้น ถึงสามารถเรียกได้ว่าลูกกตัญญู…” หญิงชราเอ่ยอย่างช้าๆ
หลินหลันฟังไปเขียนไป ขณะเดียวกันภายในใจของนางก็ได้รู้อะไรใหม่ๆ เกี่ยวกับหญิงชราท่านนี้ หญิงชราเข้าใจเรื่องการปกครองบ้านเป็นอย่างดีและเข้มงวดในกฎระเบียบ ทว่าเรื่องที่น่าแปลกใจคือ หญิงชราที่ให้ความสำคัญต่ออุปนิสัยใจคอของสตรีและยังยึดมั่นในกฎระเบียบประจำบ้านขนาดนี้ เหตุใดถึงได้สั่งสอนท่านหลี่ผู้ไร้ยางอายออกมาอย่างไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีได้
หญิงชราชายตามองหลินหลันเป็นระยะๆ ระหว่างพูด เห็นนางจิตใจจดจ่อและตวัดปลายพู่กันได้อย่างไหลลื่น จึงรู้สึกชื่นชมขึ้นมาเล็กน้อย
“การปรนนิบัติในยามค่ำและการน้อมทักทายในยามเช้า ยังคงเป็นธรรมเนียมปฏิบัติประจำวันของลูกหลานที่พึงกระทำต่อผู้เป็นบิดามารดา จะให้ขาดตกบกพร่องมิได้ เจ้าจดลงไปที หลังจากนี้ในทุกวันของช่วงเวลาห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่มต้องมาฉิ่งอานบิดามารดา…ต้องไม่ละเมิดคำสั่งของบิดามารดา พี่น้องต้องรักใคร่สามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน…”
หญิงชราพูดจนปากคอแห้ง ในที่สุดหลังจากหลินหลันบรรจงเขียนจนเต็มหน้ากระดาษทั้งแปดแผ่น หญิงชราก็เงียบลง
หลินหลันที่กำลังถือพู่กันอยู่ในมือเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ท่านย่า ยังมีต่อไหมเจ้าคะ”
หญิงชราดื่มชาเข้าไปหนึ่งอึกแล้วจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “หากทำได้ทั้งหมดนี้ถึงจะถือได้ว่าไม่เลวทีเดียว”
หลินหลันเองก็คิดเช่นนั้น ทว่าขณะมองดูกฎระเบียบของบ้านทั้งแปดแผ่น กลับรู้สึกอึดอัดอย่างมาก ด้วยการตีกรอบที่มากมายขนาดนี้ มันไม่ต่างไปจากโซ่ตรวนที่พันธนาการเอาไว้จนเกือบขาดอากาศหายใจ แต่อย่างไรก็ตาม การผูกมัดที่ว่าเหล่านี้มิใช่นางผู้เดียวที่ต้องเผชิญเสียหน่อย หลินหลันจึงเออออไป “ท่านย่าช่างมีความสามารถในการปกครองบ้านจริงๆ เลยนะเจ้าคะ ประเด็นละเอียดยิบย่อยมากมายขนาดนี้ล้วนไม่ขาดตกบกพร่องเลยสักนิด”
หญิงชรามองไปที่นางอย่างมีนัยนะ “เจ้าคงไม่คิดว่ามันเคร่งครัดเกินไปหรอกใช่หรือไม่”
“จะใช่อย่างไรกันเจ้าคะ หลานคิดว่าทุกข้อล้วนมีความจำเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ” การแสดงออกของหลินหลันดูมีความจริงใจเสียยิ่งกว่าเมื่อครู่ที่ให้การอบรมหลี่หมิงอวินเสียอีก
หญิงชราเผยรอยยิ้มจางๆ “เช่นนั้นก็ดี ไหนเอามาให้ข้าดูหน่อยสิ”
หลินหลันใช้สองมือประคองยื่นส่งให้
หญิงชราพลิกเปิดทีละแผ่น แล้วก็พบเรื่องน่าตกใจที่ว่าหลินหลันไม่เพียงแต่ลายมือสวยงามตัวบรรจง และยังเขียนได้ไม่ตกหล่น ไร้ซึ่งที่ติใดๆ นางอดครุ่นคิดมิได้ว่าภูมิหลังของหลินหลันเป็นเพียงสาวชาวบ้าน แต่สามารถเขียนหนังสือได้ลายมือสวยงามถึงเพียงนี้ ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย ทว่าพอนึกไปถึงคำพูดเหล่านั้นที่นางฮานบอกกล่าว ตลอดจนสีหน้าที่พยายามปกปิดความจริงเมื่อคืน หญิงชราจึงอดขมวดคิ้วด้วยความสงสัยมิได้
หญิงชราวางกระดาษกฎระเบียบของบ้านลง ก่อนจะกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ลายมือของเจ้าไม่เลวเลย ความจำก็ดีมากเช่นกัน”
หลินหลันกล่าวอย่างถ่อมตน “ไม่ขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ”
หญิงชรายิ้มกรุ้มกริ่มขณะมองไปที่นางและกล่าวขึ้นกะทันหัน “เมื่อคืนคงดื่มมาไม่น้อยเลยสินะ”
หลินหลันตกตะลึง นางย้ายตัวเองลงจากที่นั่งแล้วคุกเข่าให้หญิงชรา ตามด้วยการสารภาพผิด “ท่านย่าเป็นคนช่างสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลานสะใภ้ไม่ควรโกหกปิดบังท่านย่า ด้วยเมื่อคืนสุขใจเลยดื่มเยอะไปหน่อยเจ้าค่ะ แต่ก็เกรงว่าท่านย่าจะไม่พึงพอใจ จึง…จึง… หลานสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ วันหลังไม่กล้าทำเช่นนั้นอีกแล้วเจ้าค่ะ”
เดิมทีหญิงชราคิดว่าหลินหลันจะเล่นลิ้น คาดไม่ถึงว่า นางจะยอมรับผิดแต่โดยดี
หลินหลันเห็นตัวตนของหญิงชราที่เผยออกมาเล็กน้อยผ่านกฎระเบียบในบ้านแต่ละข้อที่เข้มงวดนั่น หากการกำหนดกฎระเบียบอันเข้มงวดครั้งนี้ของหญิงชรา เป็นเพียงเพื่อต่อกรนาง เช่นนั้นหญิงชราก็คงขึ้นชื่อได้ว่าเป็นแม่มดเฒ่าผู้หลอกลวง แต่หากเป็นความตั้งใจจริงที่เกิดจากความต้องการจัดระเบียบบ้านให้เรียบร้อย เช่นนั้นก็คงต้องเอ่ยว่า หญิงชราผู้นี้มีความนึกคิดที่ลึกลับซับซ้อนและให้ความสำคัญกับกฎระเบียบอย่างยิ่ง ขอเพียงมองทะลุปรุโปร่งได้มากอีกหน่อย การรับมือก็น่าจะเป็นไปได้อย่างง่ายดาย หลินหลันลงพนันไปที่กรณีหลัง การที่หญิงชราเอ่ยถามเช่นนี้ แน่นอนว่านางรู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว หากนางพูดจาเล่นลิ้นคงมีแต่จะเพิ่มความเกลียดชังให้แก่ตัวนางเอง มิสู้เปิดเผยความจริงอย่างตรงไปตรงมาจะดีเสียกว่า