ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่124 แผนร้ายของเย้ซินเอ๋อร์
ในคืนเดียวกันพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายและแม่มดชราพากันไปจวนติง ทว่าลูกสะใภ้ใหญ่ยังคงไม่ยอมกลับมาด้วย หลี่หมิงเจ๋อผู้กระทำความผิดมหันต์ถูกพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายกักบริเวณให้อยู่ในห้องโถงบรรพบุรุษด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างมาก จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นหลินหลันและหลี่หมิงอวินออกไปบ้านของตระกูลเยี่ย หลี่หมิงเจ๋อผู้น่าสงสารก็ยังคงถูกลงทัณฑ์ด้วยการให้คุกเข่าอยู่เช่นเดิม
หลินหลันมาเยือนเป็นครั้งแรก นางรีบเข้าไปทักทายอย่างนอบน้อมและกล่าวแสดงความยินดี
สีหน้าของนางหวังป้าสะใภ้ใหญ่เต็มไปด้วยความชื่นมื่น เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “รอคอยเจ้ามาตั้งเนิ่นนาน ได้ยินซินเอ๋อร์เอ่ยว่าการเดินทางมายังเมืองหลวงครานี้ต้องขอบคุณเจ้าที่คอยช่วยดูแล”
หลินหลันกล่าวอย่างอ่อนหวาน “เรื่องนี้เป็นสิ่งที่พึงกระทำเจ้าค่ะ”
นางหวังกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินว่าเจ้าเป็นคนหมู่บ้านเจี้ยนซี หลายปีก่อนท่านลุงของเจ้าก็ไปที่นั่นอยู่บ่อยครั้ง ข้าเองก็เคยไปมาสามสี่ครา และจะว่าไปแล้วป้าจินที่อยู่ในหมู่บ้านพวกเจ้าก็เป็นญาติของแม่บ้านผู้ดูแลท่านหนึ่งในจวนของข้าด้วย”
ตัวจากมาไกลถึงเมืองหลวง เมื่อได้ยินคนเอ่ยถึงหมู่บ้านเจี้ยนซี เอ่ยถึงป้าจิน จึงทำให้รู้สึกเป็นกันเองอย่างมาก “ป้าจินเป็นคนดีมากเจ้าคะ อีกทั้งยังมีน้ำจิตน้ำใจมากด้วย ตอนที่ข้าอยู่ในหมู่บ้านเจี้ยนซี ป้าจินเอาใจใส่ข้าอย่างมากเลยเจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หากรู้แต่แรกว่าน้องสะใภ้อยู่ที่หมู่บ้านเจี้ยนซี ท่านแม่ก็คงพาเจ้ากลับบ้านตระกูลเยี่ยมาตั้งนานแล้วกระมัง” ลูกสะใภ้คนโตของตระกูลซึ่งยืนอยู่ข้างๆ กล่าวติดตลก
นางหวังยิ้มปนตำหนิ “นี่เป็นเรื่องของวาสนาทั้งนั้น หากข้าพานางกลับบ้านตระกูลเยี่ยตั้งแต่เนิ่นๆ เปี่ยวเกอของเจ้าอาจไม่มีโอกาสนี้ก็เป็นได้”
หลินหลันชายตาไปยังหลี่หมิงอวินด้วยความเขินอาย ปรากฏว่าเขากำลังดื่มน้ำชาอย่างใจเย็นภายใต้สภาวะสงบนิ่ง ราวกับไม่สะทกสะท้านใดๆ ซึ่งส่งผลให้นางรู้สึกสงสัยว่าทุกครั้งที่เขาหน้าแดงมันคือการเสแสร้งหรือไม่
ท่านลุงเยี่ยเต๋อฮ๋วยส่งเสียงหัวเราะก่อนจะกล่าวขึ้น “หลานสะใภ้ ถือว่าวันนี้ได้รู้แล้วว่าบ้านช่องลุงอยู่แห่งหนใด วันหน้าวันหลังมีเวลาว่างก็แวะมานั่งคุยเป็นเพื่อนท่านป้าสะใภ้บ่อยๆ ถือเสียว่าเป็นบ้านของท่านแม่ตนเองแล้วกัน มิจำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจไป”
หลินหลันรำพึงรำพันในใจ หากเยี่ยซินเอ๋อร์ไม่อยู่นางยินดีมาเยือนอย่างยิ่งอยู่แล้ว และเป็นการดีเสียอีกที่จะได้เรียนรู้เรื่องทักษะการค้ากับท่านลุงด้วย
“ขอบพระคุณท่านลุงเจ้าค่ะ วันหลังคงได้มารบกวนอยู่เรื่อยๆ แน่นอนเจ้าค่ะ” หลินหลันลุกขึ้นยืนน้อมคาราวะ “รบกวนอะไรกัน ข้าไม่คุ้นชินกับเมืองหลวงนี่เท่าไหร่นัก ท่านลุงและพี่ชายใหญ่ของเจ้าก็ยุ่งตัวเป็นเกลียวอยู่ข้างนอกทั้งวัน ในบ้านก็มีแค่ข้ากับพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้านี่ล่ะ อยากจะร่วมพลมาเล่นไพ่นกระจอกด้วยกันแต่ก็ไม่มีคู่ต่อสู้ เจ้ามาก็เป็นอันพอดิบพอดีเชียวล่ะ” นางหวังกล่าวด้วยรอยยิ้ม
นางหรงพี่สะใภ้ใหญ่มีสีหน้าเศร้าสร้อยเล็กน้อย “เหม่ยเหมยออกเรือนแล้ว ในบ้านก็คงเงียบเหงาขึ้นมาเล็กน้อยอีกแล้วนะเจ้าคะ”
นางหวังกล่าวโดยยังคงเผยรอยยิ้มไว้บนใบหน้า “นั่นสิ! คงกลับมาเงียบเหงาอีกแล้ว”
เยี่ยเต๋อฮ๋วยกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “ซินเอ๋อร์มิได้แต่งออกไปไกลเสียหน่อย หากเจ้าคิดถึงนางก็ให้นางกลับมาหาได้ทุกเมื่อ”
นางหวังอดรู้สึกสะเทือนใจไม่ได้ “แต่งงานออกเรือนเสียแล้ว ก็ไม่ต่างจากกลายเป็นคนของตระกูลอื่น เบื้องบนมีพ่อแม่สามี เบื้องล่างมีลูกๆ จะเอาเวลาจากไหนกลับมาได้ตามอำเภอใจล่ะเจ้าคะ”
บรรยากาศเศร้าหมองลงไปชั่วขณะ เยี่ยเต๋อฮ๋วยจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีทันใด “ไหนๆ หลานสะใภ้ก็เรียกท่านลุงท่านป้าแล้ว ของขวัญที่เจ้าเตรียมไว้ล่ะ ยังไม่รีบไปหยิบออกมาอีก”
นางหวังกลับมากระตือรือร้นอีกครั้ง “อู่เอ๋อร์ รีบหยิบของขวัญออกมาเร็วเข้า”
สาวใช้นามว่าอู่เอ๋อร์ขานรับด้วยรอยยิ้มระรื่น ก่อนจะเข้าไปยังห้องโถงด้านหลัง ชั่วครู่ถัดนางออกมาพร้อมกับถาดในมือ ซึ่งด้านบนห่อหุ้มด้วยผ้าไหมสีแดงสดและดูท่าทางมีน้ำหนักไม่เบาทีเดียว
“ปีนี้เป็นปีกระต่าย ในนี้มีกระต่ายทองคำยี่สิบคู่ แล้วยังมีถุงปลาทองคำจำนวนหนึ่งร้อยแปดตัว สิ่งของเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้เจ้ารับไว้ดูเล่นแล้วกันนะ” นางหวังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หลินหลันถึงกับสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ กระต่ายทองคำนั่นมองดูแล้วอย่างน้อยๆ ก็คงห้าเหลี่ยงเห็นจะได้ แล้วยังปลาทองคำอีกหนึ่งถุงที่นูนโป่งขึ้นมาขนาดนั้น ช่างร่ำรวยอะไรปานนี้! ขนาดทองคำยังกลายเป็นสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ไปเสียแล้ว
“ในนี้ยังมีโฉนดห้องอีกหนึ่งฉบับ ซึ่งอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของร้านผ้าไหมตระกูลเยี่ย เป็นร้านขายของร้านหนึ่ง ท่านลุงเจ้าตั้งใจซื้อไว้มอบเป็นของขวัญแสดงความยินดีให้แด่พวกเจ้าโดยเฉพาะ”
หลินหลันเผยสีหน้าตกตะลึงอย่างยิ่ง ของขวัญชิ้นนี้มันเกินความคาดหมายของนางไปไกลมาก เท่าที่รู้ร้านผ้าไหมของตระกูลเยี่ยในเมืองหลวงตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ทำเลทองซึ่งรุ่งเรืองมากที่สุด โดยร้านค้าที่นั่นมีราคาสูงกว่าร้านค้าแถวตงจื๋อเหมิน อย่างต่ำๆ ก็ต้องหนึ่งแสนเหลี่ยงเงิน แล้วจะให้รับไว้ได้อย่างไรกัน ในท้ายที่สุดหลินหลันถึงได้เข้าใจเสียทีว่าเหตุใดท่านป้าสะใภ้ถึงเอ่ยว่ากระต่ายและปลาทองคำเป็นเพียงสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ
หลินหลันลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน “ท่านลุงเจ้าคะ ท่านป้าเจ้าคะ ของขวัญชิ้นนี้มันมากเกินไปเจ้าค่ะ หลานละอายแก่ใจเกินกว่าจะรับไว้ได้เจ้าค่ะ…”
“รับไว้เถอะๆ หมิงอวินได้แต่งงานกับผู้หญิงที่เก่งกาจและดีงามเฉกเช่นเจ้าถือว่าเป็นโชคดีของเขา อีกอย่างข้าก็มีหลานชายเพียงผู้เดียว ไม่เอ็นดูเขาแล้วจะไปเอ็นดูใครได้หรือ” เยี่ยเต๋อฮ๋วยเอ่ยและตามมาด้วยเสียงหัวเราะร่า
หลินหลันรำพึงรำพันในใจ ท่านไม่คิดจะเหลืออะไรให้บุตรชายของตนเองเลยหรือ แต่จะว่าไป สมบัติของตระกูลเยี่ยคงมีมากล้นฟ้า มิแน่ว่านี่อาจเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวเล็กๆ ของทั้งหมดที่มีก็เป็นได้
“นั่นสิ ครั้งนี้หากมิใช่เจ้า มีหรือหมิงอวินจะสามารถสอบติดจอหงวนได้อย่างราบรื่น และไม่แน่ว่าคงถูกคนเขาทำร้ายไปตั้งนานแล้ว” นางหวังเอ่ยถึงนางฮานด้วยน้ำเสียงซึ่งแฝงความเกลียดชัดเอาไว้อย่างชัดเจน
หลินหลันมองไปยังหลี่หมิงอวิน หลี่หมิงอวินวางฝาถ้วยน้ำชาลง ลุกขึ้นแล้วเดินมาหยุดด้านข้างหลินหลัน เขายกสองมือขึ้นประกบกันระดับหน้าอกในท่าทางคาราวะ “หลานขอขอบพระคุณท่านลุงท่านป้าสำหรับความรักและความเอ็นดูที่ใหญ่หลวงเช่นนี้ขอรับ”
หลี่หมิงอวินถึงขั้นแสดงท่าทีเช่นนี้แล้ว หลินหลันจึงรีบกล่าวออกไปเช่นกัน “หลานขอขอบคุณท่านลุงและท่านป้าอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
นางหวังกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นคนครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น จะมัวเกรงใจไปใย”
หลังจากส่งมอบของขวัญเนื่องในโอกาสพบหน้ากันครั้งแรกเป็นที่เรียบร้อย เยี่ยเต๋อฮ๋วยจึงออกไปต้อนรับแขกเรื่อ หลี่หมิงอวินในฐานะจอหงวนคนใหม่แห่งสำนักฮานหลิน แน่นอนว่าจะต้องไปเป็นหน้าเป็นตาให้แด่ท่านลุงของเขาด้วยเช่นกัน เขาจึงเดินตามออกไปทันที หลินหลันพูดคุยเป็นเพื่อนนางหวังอยู่สักพัก นางหรงก็เอ่ยเสนอตัวพานางไปพบเยี่ยซินเอ๋อร์
เยี่ยซินเอ๋อร์ที่กำลังอยู่ที่อาคารซิ่วโหรว [1] เดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายใจ
“หลิงอวิ้น เจ้ามั่นใจใช่หรือไม่ว่าเปี่ยวเส้าเหยียกับเปี่ยวซ่าวมาแล้ว”
หลิงอวิ้นพยักหน้าแล้วกล่าวขึ้น “ข้าน้อยเห็นมากับตาเจ้าค่ะ กำลังพูดคุยกับเหล่าเหยียและฮูหยินอยู่ที่ห้องรับแขกเจ้าค่ะ!”
เยี่ยซินเอ๋อร์ยังไม่ทันได้หายใจให้ทั่วท้องก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาอีกระรอก จะสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับวันนี้แล้ว หากพลาดโอกาสนี้ไปก็คงเป็นการยากที่จะทวงคืน ท่านพ่อ ท่านแม่ ผิดที่ลูกไม่รักดี ทว่าในใจของลูกมิอาจมีผู้ใดอื่นได้อีกจริงๆ แทนที่จะต้องเจ็บปวดไปชั่วชีวิต มิสู้ทำตามปรารถนาของตนเองจะดีเสียกว่า
“เจ้าไปไปคอยดูไว้ หากต้าเส้าหน่ายนายพาเปี่ยวซ่าวมา เจ้าก็รีบกลับมารายงานข้า” เยี่ยซินเอ๋อร์สั่งการ
หลิงอวิ้นใจเต้นแรงอย่างไม่เป็นสุข ต่อให้นางโง่เขลาเพียงใด ทว่าทุกวันที่คอยปรนนิบัติคุณหนูใหญ่ นางก็พอมองออกอย่างชัดแจ้ง คุณหนูของนางเป็นตายร้ายดีก็ไม่ยินยอมแต่งงาน ด้วยเหตุอันใดน่ะหรือ จะเป็นไรไปได้หากมิใช่ยังคงตัดใจจากคุณชายหมิงอวินไม่ได้ หากนายท่านไม่เล่นไม้โหดด้วยการเอ่ยว่าหากคุณหนูใหญ่ไม่แต่งงาน เช่นนั้นก็ไปบวชเป็นแม่ชีเสีย จะเป็นหรือตายก็ตามสบาย… คุณหนูใหญ่ไม่อาจทัดทานได้ จึงทำได้เพียงตอบรับ เดิมทีนางยังคิดว่าคุณหนูของตนตัดใจไปแล้วด้วยซ้ำ ทว่าเมื่อวานคุณหนูใหญ่มีพูดคุยลับๆ ล่อๆ กับสะใภ้ใหญ่อยู่เนิ่นนานพอตัว พอมาวันนี้ก็ให้ข้ารับใช้ออกไปจนหมดอีก ห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาที่ซิ่วโหรวทั้งสิ้น นี่คุณหนูใหญ่ต้องการกระทำการอันใดกันแน่ ขอร้องเปี่ยวเส้าหน่ายนายเช่นนั้นหรือ ขอร้องด้วยเรื่องอันใดกัน จะเป็นอนุภรรยาเขา? คุณหนูก็ไม่น่าจะดูถูกตนเองถึงเพียงนั้นมิใช่หรือ หลิงอวินไม่อาจทำความเข้าใจได้เลยว่าคุณหนูใหญ่ของตนกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ และหากให้นายท่านรับรู้เข้า ผลลัพธ์ที่ตามมาคงร้ายแรงอย่างมาก
หลินหลันตามนางหรงมายังอาคารซิ่วโหรว ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่อาคารซิ่วโหรวแห่งนี้ เป็นอาคารซิ่วโหรวที่ใหญ่โตมาก แต่มีเพียงหลิงอวิ้นสาวใช้ผู้เดียวที่คอยให้การปรนนิบัติ มันไม่เหมือนกับห้องส่วนตัวของสตรีที่รอส่งไปเป็นเจ้าสาวเลยสักนิด กลิ่นอายแห่งความสุขแม้เพียงเล็กน้อยก็สัมผัสไม่ได้
หลิงอวิ้นเรียนเชิญทั้งสองคนขึ้นมาด้านบน
นางหรงกล่าวภายใต้สีหน้ายิ้มแย้ม “น้องซินเอ๋อร์ รีบมาดูสิว่าผู้ใดมาหาเจ้าแล้ว”
เยี่ยซินเอ๋อร์นั่งนิ่งอยู่หน้ากระจกโดยไม่ส่งเสียงขานรับใดๆ ทั้งสิ้น นางมองเรือนร่างผ่านเงาสะท้อนในกระจกที่ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ฝ่ามือภายใต้แขนเสื้อกำแน่นจนเป็นหมัด มันแน่นจนปลายเล็บสัมผัสเข้ากับใจกลางฝ่ามือจนรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างยิ่ง แต่นั่นก็ไม่เจ็บปวดเท่ากับหัวใจของนางที่กำลังรู้สึก ทั้งๆ ที่ท่านพ่อเกือบจะใจอ่อนแล้ว ทว่าเมื่อแม่โจวมาที่จวน ท่านพ่อก็เปลี่ยนใจกระทันกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นฝีมือของหลินหลัน ช่วงเวลาที่อยู่บนเรือ หลินหลันขัดขวางนางทุกวิถีทาง ไม่เปิดช่องว่างให้นางเลยแม้แต่น้อย เมื่อมาถึงเมืองหลวง นางไม่ได้ทำตัวเป็นอุปสรรอันใดต่อหลินหลันสักนิด เรื่องที่นางไม่อยากแต่งงานไม่เกี่ยวข้องกับหลินหลันแต่อย่างใด ทว่านางดันแส่เข้ามาจนได้ ต้องการบังคับให้นางแต่งงานออกไปถึงจะวางใจได้เช่นนั้นหรือ เป็นเจ้าเองที่บีบบังคับข้าก่อน ก็อย่าหาว่าข้ามิเกรงใจแล้วกัน
นางหรงมองไปยังเยี่ยซินเอ๋อร์ที่ไร้การตอบสนอง จึงยิ้มออกมาอย่างเก้ๆ กังๆ “น้องซินเอ๋อร์ พี่สะใภ้เจ้ามาเยี่ยมเจ้าน่ะ”
เยี่ยซินเอ๋อร์แสยะยิ้มแล้วหันตัวมาอย่างช้าๆ นางมองไปที่หลินหลันแล้วเผยรอยยิ้มอย่างไม่เต็มใจ “เปี่ยวซ่าวช่างมีน้ำใจเสียเหลือเกิน”
หลินหลันได้ยินคำพูดซึ่งดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย “วันนี้เป็นวันดีของน้องสาวอย่างเจ้า ในฐานะพี่สะใภ้ก็ต้องมาแสดงความยินดีเป็นธรรมดา” นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“กล่าวแสดงความยินดีคงไม่ต้องกระมัง! งานแต่งนี้คงสมดั่งปรารถนาของเจ้า มิใช่ความปรารถนาของข้า” เยี่ยซินเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาภายใต้สีหน้าเหยียดหยัน นัยน์ตาของนางฉายให้เห็นความโกรธแค้น ท่าทีทั้งหมดแตกต่างออกไปจากในอดีตที่ดูอ่อนโยนเรียบร้อย ในที่สุดก็เผยธาตุแท้ออกมาเสียแล้ว
หลินหลันฉีกยิ้มอย่างไม่แยแส “เปี่ยวเหม่ยรู้จักพูดจาตลกกับเขาก็เป็นด้วย ท่านลุงทุ่มเทแรงใจเพื่อหาคู่ครองที่ดีเช่นนี้ให้แก่เจ้า ถือเป็นเรื่องดีที่ทุกคนต่างมีความสุขไปด้วย ในฐานพี่สะใภ้ก็ควรดีใจกับเจ้าซึ่งถือเป็นเรื่องอันสมควรอยู่แล้ว ส่วนภายในใจของเปี่ยวเหม่ยรู้สึกไม่มีดีใจ…เปี่ยวเหม่ยอย่าโทษว่าพี่สะใภ้พูดจาตรงไปตรงมาเลยนะ คนเราเมื่อจมปลักอยู่กับบางเรื่องที่มิอาจเป็นไปได้ มีแต่จะทำให้วุ่นวายจิตใจและมิได้ประโยชน์อันใด อย่างไรก็คิดไตร่ตรองให้ดีหน่อยเถิด มีคำกล่าวที่ว่าเรื่องบางเรื่องต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามทางที่ควรจะเป็น อย่าฝืนสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจในสิ่งที่มิอาจเป็นไปได้อยู่เลย บางที สามีของเปี่ยวเหม่ยอาจเป็นคู่ครองที่สมบูรณ์แบบของเปี่ยวเหม่ยก็ได้” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
นางหรงซึ่งอยู่ข้างๆ กล่าวเสริมทันควัน “น้องซินเอ๋อร์ ข้าได้ยินพี่ชายเจ้าเอ่ยว่าสามีของน้องเป็นผู้มีความสามารถผู้หนึ่ง! อีกทั้งยังเป็นตระกูลเชื้อพระวงศ์ น้องเขยเช่นนี้มิใช่จะหากันได้ง่ายๆ เจ้าก็อย่าได้ปฏิเสธไปเลย”
เยี่ยซินเอ๋อร์มีสีหน้าเคร่งขรึม “พวกเจ้าเอ่ยว่าดีพวกเจ้าก็ไปแต่งเองสิ อย่ามาผลักใสให้ข้า” นางหันกลับไปทันทีที่สิ้นประโยคและไม่สนใจทั้งสองอีก
นางหรงถึงกับทำสีหน้าไม่ถูกและส่งสายตาให้หลินหลันก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้ายังต้องไปช่วยท่านแม่ต้อนรับแขก น้องสะใภ้ เจ้าก็มาช่วยกันเถอะ!”
หลินหลันเป็นอันเข้าใจว่ามันคือข้ออ้างที่นางหรงให้เพื่อปลีกออกไปจากตรงนี้ นางเองก็ไม่อยากพูดจากับเยี่ยซินเอ๋อร์ให้มากความเช่นกัน ถึงอย่างไรสิ่งที่ควรจะพูดก็ได้พูดไปหมดแล้ว ไว้รอนางแต่งงานออกไปแล้ว ความนึกคิดนั้นคงค่อยๆ เลือนหายไป “ก็ดีเจ้าค่ะ เช่นนั้นก็ไม่รบกวนเปี่ยวเหม่ยแล้ว” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
เมื่อลงมาจากอาคารซิ่วโหรว นางหรงได้แต่กล่าวเสียงเศร้าสร้อย “เดิมทีตั้งใจพาเจ้ามาหาซินเอ๋อร์อย่างดิบดี แต่คาดไม่ถึงว่านางยังดื้อดึง น้องสะใภ้ เจ้าก็อย่าได้เก็บเอามาใส่ใจเลยนะ ซินเอ๋อร์นางไม่ถูกใจการแต่งงานครั้งนี้มาโดยตลอด แต่ก็มิรู้ว่านางดื้อดึงเช่นนี้ไปด้วยเหตุอันใด…”
หลินหลันอมยิ้ม “สักวันเปี่ยวเหม่ยจะคิดได้เจ้าค่ะ”
นางหรงถอนหายใจ “ช่างเถอะ ปล่อยนางไปเถอะ เราไปห้องรับแขกกันดีกว่า! วันนี้คงมีคนมาจำนวนมาก ท่านแม่ผู้เดียวคงต้อนรับมิไวแล้วกระมัง!”
เยี่ยซินเอ๋อร์มองดูแผ่นหลังของคนทั้งสองที่กำลังเดินห่างออกไปผ่านบานหน้าต่าง ก่อนจะร้องเรียกขึ้นทันที “หลิงอวิ้น เจ้าไปที่ลานบ้านเรียนเชิญเปี่ยวเส้าเหยียมาที บอกว่าเปี่ยวเส้าหน่ายนายเกิดปวดท้องกะทันหัน”
หลิงอวิ้นมองไปที่คุณหนูอย่างกล้าๆ กลัวๆ ตอนนี้นางพอจะคาดเดาแผนการความคิดของคุณหนูใหญ่ได้แล้ว “คุณหนู…เรื่องนี้…เกรงว่าจะไม่เหมาะกระมัง”
เยี่ยซินเอ๋อร์จ้องเขม็งใส่นางด้วยสายตาดุดัน “เจ้าพูดจาไร้สาระอันใด แค่ทำตามที่ข้าสั่งก็พอ เจ้าเองก็ระมัดระวังให้ดีๆ อย่าทำให้คนข้างๆ แตกตื่นไปด้วย”
หลิงอวิ้นรู้สึกเกรงกลัวจนเกือบร้องไห้ออกมา นางจึงกล่าวอ้อนวอนอย่างด้วยความหวาดกลัว “คุณหนูเจ้าคะ ข้าน้อยไม่….”
เยี่ยซินเอ๋อร์มองไปที่นางด้วยสายตาเย็นชา “หากเจ้ามิกล้า พรุ่งนี้ข้าก็จะขายหลิงอินออกไปเสีย ทำให้เจ้าไม่ได้พบเจอพี่สาวของเจ้าอีก”
หลิงอวิ้นตัวสั่นสะท้าน หลังจากนั้นจึงหันหลังเดินลงอาคารไปแต่โดยดี
เยี่ยซินเอ๋อร์เผยรอยยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ ไม่เคยมีสิ่งใดที่นางอยากได้แต่มิอาจได้
——
[1] อาคารซิ่วโหรว (绣楼) คือสถานที่ในสมัยโบราณ ที่สตรีมักนั่งเล่น ทำงานเย็บปักถักร้อยต่างๆ และเรียนรู้ทักษะทางด้านงานศิลปะ