ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่135 ปีแห่งความสลดใจ
หลี่หมิงอวินกลับมาถึงขณะที่หลินหลันกำลังกินบะหมี่กุ้งผักกาดขาวอย่างเอร็ดอร่อย
ป๋ายฮุ่ยเดินตามหลังมาติดๆ เพื่อคอยให้การปรนนิบัติ หลี่หมิงอวินชายตามองบะหมี่น้ำในมือหลินหลันแล้วเอ่ยถามขึ้น “ยังมีอีกหรือไม่ ข้ากำลังหิวอยู่พอดี”
หยินหลิ่วกล่าวขึ้นทันควัน “มีๆ เจ้าค่ะ เอ้อร์เส้าหน่ายนายให้กุ้ยซ่าวเตรียมไว้สองชามเจ้าค่ะ”
“ป๋ายฮุ่ย เจ้าไปช่วยถือมาให้ข้าทีสิ” หลี่หมิงอวินปลดเสื้อคลุมแล้วส่งให้ป๋ายฮุ่ย
ป๋ายฮุ่ยขานรับอย่างอ่อนโยนแล้วนำเสื้อคลุมไปแขวนไว้ที่ตะข้อไม้แกะสลักรูปดอกไม้อันงดงามก่อนจะออกไป
หลี่หมิงอวินม้วนชายแขนเสื้อระหว่างเดินก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้างหลินหลัน หลังจากนั้นก็เอื้อมมือออกไปคว้าชามบะหมี่น้ำของหลินหลัน “ข้าขอดื่มรองท้องสักสองคำแล้วกัน”
หลินหลันไม่ทันได้แย่งก็เห็นเขายกชามขึ้นแล้วซดเข้าไปหนึ่งคำใหญ่ๆ นางเผยสีหน้าตกตะลึงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “นี่…ข้ากินไปแล้วนะ”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้ากินแล้วจะเป็นไรไป ชามนี้เป็นของข้าแล้ว อีกประเดี๋ยวชามใหม่มาค่อยตักของเจ้าแบ่งมานี่อีกสักครั้งหนึ่งแล้วกัน”
หยินหลิ่วหัวเราะคิกคัก ขณะนั้นเองนางจึงหาข้ออ้างเพื่อขอตัวออกไปข้างนอกอย่างรู้งาน
หลินหลันเท้าคางมองดูเขากินบะหมี่ เขาผู้นี้กระทั่งเวลากินเมนูเส้นก็ยังดูสง่างามและดูมีความเป็นสุภาพบุรุษอย่างมาก อาจมีเพียงตอนค่ำคืนเท่านั้นกระมังถึงได้กลายร่างเป็นราชันย์หมาป่าชั่วร้ายไปได้
“หลังจากข้าออกไป แม่มดชราได้ทำอันใดให้เจ้าลำบากใจหรือไม่” หลี่หมิงอวินเอ่ยถาม
แม่มดชราหรือจะก่อปัญญาให้นางลำบากใจได้ ทั้งต้องไปเอาอกเอาใจท่านพ่อผู้ไร้ยางอาย ทั้งต้องปลอบใจบุตรสาวที่เศร้าโศก ยุ่งวุ่นวายเสียขนาดนั้น กลับเป็นหญิงชราที่ปากก็เอ่ยว่าตนเองยึดมั่นในกฎระเบียบเป็นใหญ่เสียยิ่งกว่าท้องนภาและมีความยุติธรรมยิ่งแต่ดันเอ่ยปากช่วยปกป้องเสียอย่างดุเดือด เพียงแต่หลินหลันไม่อยากเอ่ยถึงและก็ขี้เกียจจะเอ่ยถึงด้วย “ไม่หนิ แล้วทางด้านท่านพ่อล่ะ”
“ไม่เป็นอันใดแล้วล่ะ ท่านพ่อให้เจ้าถือโอกาสช่วงปีใหม่ไปทักทายแต่ละบ้าน ส่วนเรื่องของขวัญทางตระกูลจะเป็นผู้ออกเงินให้” หลี่หมิงอวินชะงักไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวเสริม “เจ้าก็ถือเสียว่าออกไปเที่ยวเล่น จะได้ป่าวประกาศเรื่องร้านขายยาไปด้วยในตัว มิจำเป็นต้องไปเอาอกเอาใจเป็นการเฉพาะแต่อย่างใด”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าค่อนข้างชอบเหตุผลที่สอง”
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปหลายๆ บ้านหน่อยแล้วกัน ถึงอย่างไรค่าใช้จ่ายในส่วนของขวัญก็มิใช่พวกเราออก ในเมื่อไปแล้วจะมิให้ของขวัญก็คงไม่ได้” หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มมุมปากอันแสนเจ้าเล่ห์เจ้ากล
“แม่มดชราคงได้โมโหจนคลั่งน่ะสิ ดีไม่ดียังต้องไปกู้ยืมเงินมาจัดงานฉลองปีใหม่อีก” หลินหลันกล่าวด้วยความรู้สึกซะใจ
“ข้ากำลังกังวลว่าจะไม่มีวิธีบีบบังคับให้นางไปกู้หนี้ยืมสินได้ ด้วยแม่มดชราเป็นผู้ที่กลัวขายหน้าเป็นชีวิตจิตใจ คงไม่กล้าไปกู้ยืมผู้อื่นอย่างแน่นอน จะมีก็แต่การไปกู้ยืมพวกปล่อยเงินกู้นอกระบบเท่านั้น”
หลินหลันเข้าใจความนึกคิดของหมิงอวิน เริ่มจากการทำให้แม่มดชรานำเงินในบ้านออกมาใช้จนหมด หลังจากนั้นก็หาโอกาสต่างๆ บีบบังคับให้แม่มดชราต้องไปกู้ยืมเงินในอัตราดอกเบี้ยสูง เมื่อทางดานนั้นไม่มีรายรับ ส่วนทางด้านนี้ก็มีดอกเบี้ยเงินกู้ที่ทวีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั้งแม่มดชราแบกรับไม่ไหวไปโดยปริยาย อย่างไรก็ตาม หลินหลังอดนึกสงสัยมิได้ว่า เงินปล่อยกู้อัตราดอกเบี้ยสูงนี้เป็นเงินของตระกูลเยี่ยหรือไม่
ตอนนี้ทุกครั้งที่นึกถึงนางฮานขึ้นมาหลี้จิ้งเสียนก็ต้องเป็นอันรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก อีกทั้งภายในใจยังคับคั่งไปด้วยอารมณ์โกรธที่ทวีมากขึ้นด้วย ในตอนแรกเป็นเขาเองที่ประเมินนางฮานต่ำไป คาดไม่ถึงว่านางฮานจะแอบใช้กลวิธีลับๆ จนบีบนางเยี่ยหนีจากไป ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่านางเยี่ยเป็นคนดีเพียงใด ทั้งอ่อนโยนทั้งรูปงาม แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยทำให้เขาต้องเป็นกังวลกับเรื่องภายในบ้าน นางเยี่ยมักจะวางแผนได้อย่างละเอียดรอบครอบ หมิงอวินก็ขยันเล่าเรียนปานนี้จนมีความรู้ความสามารถ ตอนนั้นที่ครอบครัวมีกันสามคนมันอบอุ่นมากเสียเหลือเกิน ทว่ามานึกเสียดายในตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว
หลี่จิ้งเสียนเดินดุ่มๆ พร้อมอารมณ์หงุดหงิดไปยังบ้านของอนุภรรยาหลิว ข้ารับใช้ที่เดินตามหลังเอ่ยเตือนผู้เป็นนายด้วยเสียงบางเบา “วันนี้ควรพักผ่อนที่ทางด้านนั้นนะขอรับ”
“เรื่องของข้ายังต้องให้เจ้ามาบงการด้วยหรือ” หลี่จิ้งเสียนเอ่ยถามภายใต้สีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงอันเย็นชานั่น ส่งผลให้ข้ารับใช้ใจหายวาบและไม่กล้าเอื้อนเอ่ยใดๆ อีก
อนุภรรยาหลิวคาดไม่ถึงว่านายท่านจะมาเยือนในวันนี้ จึงกล่าวขึ้นด้วยความดีใจปนประหลาดใจ “เหล่าเหยียมาได้อย่างไรเจ้าคะ”
เมื่อเห็นอนุภรรยาหลิวเผยสีหน้าอารมณ์สุขใจอย่างเด่นชัด ภายในใจของหลี้จิ้งเสียนก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย “คิดถึงเจ้าแล้วน่ะสิ”
สาวใช้ถือน้ำชาเข้ามาให้ หลังจากนั้นอนุภรรยาหลิวก็ให้คนออกไปจนหมด นางเข้าไปนั่งในอ้อมกอดของผู้เป็นนายแล้วกล่าวด้วยเสียงออดอ้อน “ข้าน้อยเฝ้าคิดถึงเหล่าเหยียทุกวันทุกคืนเลยเจ้าค่ะ ว่าแต่…ท่านมาหาข้าน้อยที่นี่ ทางด้านนั้นจะไม่พึงพอใจหรือไม่เจ้าคะ”
หลี่จิ้งเสียนฟอนเฟ้นหน้าอกอันอวบอิ่มของนางอย่างนุ่มนวลพลางแสยะยิ้ม “จะไปสนใจนางทำไม”
“ยังมีกฎระเบียบของเหล่าไท่ไทนะเจ้าคะ” อนุภรรยาหลิวทำทีปฏิเสธ ทว่าจงใจสัมผัสไปยังตำแหน่งความเป็นชายที่กำลังแข็งแกร่งขึ้น
“วันนี้ข้ามีความหงุดหงิดใจมากพอแล้ว อย่าทำลายความสนุกของข้าเลย” หลี่จิ้งเสียนโอบอุ้มนางแล้วทั้งสองก็พากันล้มตัวลงบนเตียงนอน
หลังจากบทสวาทสิ้นสุดลง หลี่จิ้งเสียนโอบกอดเรือนร่างอันอวบอั๋นและนุ่มมือของอนุภรรยาหลิวเอาไว้อย่างเนื้อแนบเนื้อ ระหว่างนั้นเขาเลื่อนมือไปลูบคลำที่หน้าที่ของหว่านอวี้อย่างเบามือ “กำเนิดบุตรให้ข้าสักคนเถอะ”
อนุภรรยาหลิวเขยิบเรือนร่างเข้าไปแนบชิดผู้เป็นนายมากยิ่งขึ้นก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยเสียงนุ่มนวล “ข้าน้อยยังเคยฝันว่าได้ให้กำเนิดเด็กชายตัวจั้มมั้มผิวขาวๆ ให้เหล่าเหยียด้วยนะเจ้าคะ ทว่ามิได้หรอกเจ้าค่ะ ทุกทีหลังจากเหล่าเหยียมาหา ก็จะมีคนส่งยาต้มป้องกันการตั้งครรภ์มาให้ข้าน้อย”
“ไว้ข้าไปคุยให้เอง” หลี่จิ้งเสียนกล่าวอย่างไม่แยแส
อนุภรรยาหลิวกล่าวขึ้นทันที “เหล่าเหยีย ตอนท่านไปคุยแน่นอนว่าคงรับปากอย่างดิบดี ทว่าในใจของนางไม่พึงพอใจ มิแน่ว่าอาจจะพาลให้หาเรื่องเล่นงานข้าน้อยเอาได้นะเจ้าคะ”
“นางหรือจะกล้า” หลี่จิ้งเสียนชักสีหน้าเคร่งขรึม
อนุภรรยาหลิวเผยสีหน้าเศร้าหมองและกล่าวเสียงอ่อน “ก็มิรู้ด้วยเหตุอันใด สิ่งที่ข้าน้อยพูดและกระทำ ในวันรุ่งขึ้นทางด้านนั้นก็เป็นอันรับรู้ทั้งหมด จนถึงตอนนี้ข้าน้อยถูกตำหนิไม่รู้เท่าใดแล้วเจ้าค่ะ”
สีหน้าของหลี่จิ้งเสียนยิ่งดูหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ เขาลุกขึ้นสวมชุดคลุมแล้วลงจากเตียง หลังจากนั้นก็ส่งเสียงตะโกน “ใครก็ได้เข้ามานี่ที”
สาวใช้สองคนรีบเข้ามาเพื่อคอยปรนนิบัติทันที
หลี่จิ้งเสียนจ้องสาวใช้ทั้งสองอย่างดุดันแล้วกล่าวตำหนิเสียงเข้ม “พวกเจ้าหนอนบ่อนไส้ทั้งสองตัว กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา อยากเป็นพวกสอดแนมนัก ข้าจักตัดหูและตัดลิ้นของพวกเจ้าเสีย นี่นางคงให้พวกเจ้ามาแอบฟังเพื่อไปรายงานข่าวคราวสินะ”
สาวใช้ทั้งสองตื่นตกใจจนหน้าซีด ทันใดนั้นพวกนางก็คงเข่าลงภายใต้สีหน้าอาการเกรงกลัว “ข้าน้อยมิบังอาจเจ้าค่ะ ข้าน้อยมิบังอาจ…”
“มิบังอาจเช่นนั้นหรือ แต่ก็ทำลงไปแล้ว พวกเจ้ายังมีหน้าเอ่ยว่ามิบังอาจอีกหรือ อย่าลืมเสียล่ะว่าบ้านนี้ข้าเป็นใหญ่ พวกเจ้าเลอะเลือนเลือกเข้าข้างผิดฝั่ง ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้เห็นดี” หลี่จิ้งเสียนกล่าวข่มขู่อย่างดุดัน
อนุภรรยาหลิวยกยิ้มมุมปากอันแฝงไว้ซึ่งความเจ้าเล่ห์ นางฮาน เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถครอบงำบ้านหลังสวนนี้ได้ แต่กลับลืมไปว่าเหนือหัวเจ้ายังมีท้องนภาอีกหนึ่งผืนสินะ
สาวใช้ทั้งสองก้มคำนับลงกับพื้นอย่างต่อเนื่อง “ข้าน้อยมิบังอาจ ข้าน้อยมิบังอาจ…”
“เหล่าเหยีย ท่านอย่าได้โทษพวกนางเลยเจ้าค่ะ พวกนางก็แค่ทำตามคำสั่งของผู้อื่นอย่างไร้ทางเลือก…” อนุภรรยาหลิวสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายแล้วลุกขึ้นนั่งก่อนจะเอ่ยปากเกลี้ยกล่อม
หลี้จิ้งเสียนครุ่นคิดชั่วขณะแล้วจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ในเมื่อมีคำสั่งให้พวกเจ้ารายงานข่าวคราว เช่นนั้นพวกเจ้าก็รายงานไป ทว่าหากถ้ามีคำสำคัญและเรื่องสำคัญใดๆ มาถึงหูข้า ข้าจะทำให้สิ่งที่พูดในวันนี้กลายเป็นความจริงเสีย”
สาวใช้ทั้งสองเกรงกลัวจนตัวสั่น พวกนางรีบขานรับทราบครั้งแล้วครั้งเล่า
“เช่นนั้นเรื่องในวันนี้ พวกเจ้าเตรียมจะไปพูดอย่างไรหรือ” หลี่จิ้งเสียนกล่าวถามอย่างใจเย็น
สาวใช้ผู้หนึ่งรีบกล่าวขึ้นทันควัน “วันนี้เหล่าเหยียอารมณ์ไม่ดี จึงดุว่าอี๋เหนียงไปชุดใหญ่เช่นกันเจ้าค่ะ”
ขณะนี้เองหลี่จิ้งเสียนถึงได้เผยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง “หลังจากนี้ก็ช่วยฉลาดสักหน่อย หากทำเรื่องโง่เขลาอีก อย่างร้ายแรงสุดข้าก็จะขายพวกเจ้าทิ้งไปเสีย ข้ามิได้ใจดีอย่างที่พวกเจ้าคิดถึงเพียงนั้น ไสหัวไปซะ…”
สาวใช้ทั้งสองรีบลุกขึ้นแล้วออกไปอย่างว่องไว
อนุภรรยาหลิวลุกขึ้นแล้วเข้าไปกอดแขนผู้เป็นนายให้มานั่งลงบนเตียง “เหล่าเหยียท่านจักทำเช่นนี้ไปเพื่ออันใดเจ้าคะ ข้าน้อยเองก็เคยชินแล้วด้วย อยากตำหนิก็ตำหนิไปเถิด ขอเพียงเหล่าเหยียคิดถึงข้าน้อย ต่อให้ข้าน้อยถูกกระทำมากเพียงใดก็มิเป็นไรหรอกเจ้าค่ะ”
หลี่จิ้งเสียนรู้สึกโกรธแค้นอยู่ภายในใจ นางฮานเป็นผู้ที่หน้าไว้หลังหลอก อยู่ต่อหน้านางเป็นอีกอย่าง อยู่ต่อหน้าหญิงชราเป็นอีกอย่าง ปฏิบัติต่อข้ารับใช้ก็เป็นอีกอย่าง พูดดีแต่ปาก…ขอเพียงเหล่าเหยียมีความสุขก็พอ ทว่าสิ่งที่นางกระทำแต่ละเรื่องกับสกปรกสิ้นดี ไม่มีสักเรื่องที่จะทำให้เขาพึงพอใจขึ้นมาได้
“เหล่าเหยีย ท่านอย่าโมโหไปเลยเจ้าค่ะ ข้าน้อยได้ยินว่า เด็กที่เกิดยามอารมณ์โกรธเกรี้ยวจะมีนิสัยฉุนเฉียวด้วยเช่นกันนะเจ้าคะ” อนุภรรยาหลิวเริ่มส่งสองมือปัดป่ายไปทั่วอีกครั้ง
หลี่จิ้งเสียนถูกนางปลดเปลื้องชุดคลุมและอารมณ์แห่งความสุขสันต์ก็ก่อตัวขึ้นอีกระรอก เขาอดภาคภูมิใจในความเป็นชายที่ยังคงแข็งแกร่งไม่เสื่อมคลายมิได้ หลังจากนั้นจึงกดอีกฝ่ายลงไปอยู่ใต้เรือนร่างของตนแล้วลูบคลำอย่างออกแรง
“จอมยั่ว เมื่อครู่ยังมิอิ่มหรือไร”
ดวงตาคู่งดงามของอนุภรรยาหลิวจดจ้องไม่วางตาพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “มิใช่เหล่าเหยียเอ่ยว่า…ต้องการบุตรสักคนหรือเจ้าคะ”
หลี่จิ้งเสียนหัวเราะอย่างมีความสุข “ให้กำเนิดบุตรหรือ เช่นนั้นเจ้าก็กำเนิดบุตรให้ข้าหลายคนหน่อย ข้าจะตบรางวัลให้เจ้าอย่างหนักเลย”
ฮานชิวเยว่หลังจากปลอบใจหมิงจูเป็นที่เรียบร้อยก็ได้รับรายงานว่าผู้เป็นสามีไปยังห้องของอนุภรรยาหลิว นั่นทำให้นางโมโหอย่างมาก นางกำลังตกที่นั่งลำบากแท้ๆ อนุภรรยาหลิวก็ยังกล้าข้ามหน้าข้ามตานางได้
“นังสารเลวผู้นี้ เห็นทีว่านางคงเบื่อกับการมีชีวิตอยู่แล้วสินะ” ฮานชิวเยว่กรนด่าด้วยความโกรธแค้น
แม่เจียงกล่าวเกลี้ยกล่อม “วันนี้เหล่าเหยียโมโหหมิงจู เกรงว่าคงกล่าวโทษท่านไปด้วยกระมังเจ้าคะ เวลาเช่นนี้ทางที่ดีที่สุดท่านอย่าเพิ่งทำอันใดบุ่มบ่ามเลยเจ้าค่ะ ปล่อยเหล่าเหยียให้ทำตามใจไปก่อน ตอนนี้ที่สำคัญยิ่งคือต้องคิดหาวิธีว่าจะทวงคืนหัวใจของเหล่าเหยียกลับมาได้อย่างไรเจ้าค่ะ”
ฮานชิวเยว่กล่าวด้วยอารมณ์โมโห “เหล่าเหยียไม่มาที่ห้องข้าเลยด้วยซ้ำแล้วข้าจะทวงหัวใจของเขากลับคืนมาได้อย่างไรกัน”
“ตอนนี้เหล่าเหยียกำลังโกรธเกรี้ยวอยู่มิใช่หรือเจ้าคะ ไว้รอเหล่าเหยียสงบสติอารมณ์ได้แล้วก็ต้องมาหาอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ฮานชิวเยว่กัดฟันแน่นด้วยความเคียดแค้น “ทั้งหมดเป็นเพราะนังหลินหลันและหมิงอวินคนสารเลวคู่นี้ ตั้งแต่พวกเขาเข้ามา บ้านหลังนี้ก็หาได้มีความสงบสุขไม่”
แม่เจียงกล่าวอย่างอ่อนใจ “ตอนนี้มิใช่เวลาที่ท่านจะต่อสู้กับเอ้อร์เส้าเหยียหรอกนะเจ้าคะ ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือดูแลต้าเส้าเหยียให้ดีที่สุด เมื่อใดที่ต้าเส้าเหยียสอบผ่านและได้มีหน้าที่การงานอย่างเป็นทางการแล้ว พวกเราค่อยคิดวางแผนกันอีกทีนะเจ้าคะ มิแน่ว่าอาจได้เลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วกว่าเอ้อร์เส้าเหยีย เมื่อนั้นเหล่าเหยียจะเห็นความสำคัญของต้าเส้าเหยียอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ ส่วนหมิงจู คงต้องเกลี้ยกล่อมให้นางอดกลั้นเข้าไว้ ใยต้องไปมีปัญหากับพวกเขาให้ลำบากตนเองไปล่ะเจ้าคะ ไว้อีกสองปีหาคู่ครองดีๆ ให้สักคน หลังจากนั้นก็จะได้ออกเรือนไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายแล้ว เช่นนั้นถึงสามารถทำให้พวกเขารู้สึกย่ำแย่ได้เจ้าค่ะ”
ฮานชิวเยว่ค่อยๆ ใจเย็นลง “เรื่องพวกนี้ข้าเองก็รู้ดี ตอนนี้คงทำได้เพียงรอคอยข่าวดีทางด้านซานซีนั่น เมื่อพวกเรามีเงินเป็นกอบเป็นกำในมือแล้วก็มิจำเป็นต้องเกรงกลัวใดๆ ทั้งนั้น”
แม่เจียงมักรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับเรื่องเหมืองที่ซานซีนั้นอยู่เสมอ ครั้งนี้มันเป็นความเสี่ยงเสียเหลือเกิน เกือบจะเป็นการนำทั้งหมดที่มีในบ้านทุ่มเทลงไป ซึ่งหากเกิด…แม่เจียงไม่กล้านึกภาพลำดับต่อไปเลยจริงๆ
“ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก็น่าจะได้ข่าวคราวแล้วกระมังเจ้าคะ” แม่เจียงเอ่ยถามเสียงบางเบา
“ไม่ไวปานนั้นหรอก นายกู่เอ่ยว่าอย่างน้อยๆ ก็ต้องรอเดือนสี่เดือนห้านู้น” ฮานชิวเยว่ยังคงเชื่อมั่นในตัวนางกู่โดยไม่เคลือบแคลงใจเลยแม้แต่น้อย นางยังคงเชื่อในวิสัยทัศน์และการตัดสินใจอย่างแน่วแน่ของตน มันไม่มีเหตุผลที่ผู้อื่นต่างก็ทำเงินจากกิจการนี้ได้เป็นกอบเป็นกำแล้วนางจะเป็นผู้เดียวที่ขาดทุนไปได้
“ช่วงหลายเดือนจากนี้ พวกเราคงต้องประหยัดกันหน่อยเจ้าค่ะ” แม่เจียงอดรู้สึกร้อนรุ่มในจิตใจไม่ได้
“เห้อ ข้าเองพอนึกถึงเรื่องนี้ก็เป็นอันต้องปวดหัว เรื่องกินก็ยังพอประหยัดได้ ทว่าเสื้อผ้าใหม่เอย หมวกใหม่เอย รองเท้าใหม่เอยของบรรดาลูกๆ บ้านนี้จะให้ขาดตกบกพร่องไปมิได้ ฉลองปีใหม่เหล่าเหยียก็ต้องไปพบปะสหายทั้งหลายซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องมีของขวัญติดไม้ติดมือไปด้วย ไหนจะต้องตบรางวัลให้บรรดาข้ารับใช้อีกมิใช่น้อยๆ … บางส่วนก็ไม่รู้จะสรรหาจากไหนมาจ่ายจริงๆ รู้เช่นนี้น่าจะกู้ยืมเงินนอกระบบมาเพิ่มอีกสักสามสี่หมื่นเหลี่ยงเงิน…” ฮานชิวเยว่กล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม
แม่เจียงครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ดอกเบี้ยของเงินกู้ยืมนอกระบบเช่นนี้สูงจนน่าตกใจ จะเป็นการดีกว่าหากกู้ยืมให้น้อยๆ เข้าไว้
“บ่าวเห็นในห้องเก็บของยังมีของที่นางเยี่ยทิ้งไว้ซึ่งมีราคาพอตัว หรือไม่…” แม่เจียงกล่าวอย่างขอความคิดเห็น
ฮานชิวเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขึ้น “ก็ดีเหมือนกัน เจ้าไปหาร้านที่น่าเชื่อถือได้แล้วเอาไปขายเสีย คงพอนำมาใช้จ่ายในช่วงนี้ได้บ้าง อย่าลืมจัดทำบันทึกเข้าออกห้องเก็บของให้เรียบร้อยด้วยล่ะ อย่าให้ผู้ใดจับได้อีก”