ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่136 ป่วยใจ
ยามเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติในวันที่ยี่สิบสี่ การฉลองเทศกาลเสี่ยวเหนียน [1] มาถึง หลายวันนี้แม่โจวนำข้ารับใช้ทำความสะอาดเรือนหลั้วเซี๋ยจายอย่างหมดจด โดยมีความเชื่อว่าการปัดกวาดฝุ่นเพื่อช่วยขจัดความสิ่งสกปรกและความทุกข์ที่มีทั้งหมดออกไป
เมื่อมองเห็นว่าภายนอกและภายในห้องที่มีสภาพสะอาดเอี่ยมอ่อง ลานหน้าบ้านลานหลังบ้านก็สะอาดสะอ้านอย่างไรที่ติ แม่โจวถึงให้ทุกคนแยกย้ายไปพักผ่อนได้
ตระกูลเยี่ยส่งคนมามอบเสื้อผ้าสั่งตัดชุดใหม่ให้แด่หลินหลัน โดยมีของหลินหลันหกชุดและหลี่หมิงอวินอีกหกชุด
“ท่านป้าเข้าใจผิดแล้วกระมัง ข้าสั่งตัดไว้เพียงสี่ชุดเท่านั้นเอง” หลินหลันกล่าวด้วยความประหลาดใจ
แม่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เปล่าเจ้าค่ะ ท่านลุงเอ่ยว่า ลิ่วลิ่วต้าซุ่น [2] เลขมงคลเจ้าค่ะ ก็เลยให้คนทำเพิ่มอีกสองชุด โดยทำตามแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเมืองหลวงยามนี้เจ้าค่ะ”
หลินหลันมองดูชุดผ้าไหมซึ่งมีสีสันสดใส ไหมหางโจวที่เนื้อละเอียดเงาลื่น เล่นแสงเงางาม ให้ความรู้สึกอันหรูหราด้วยดิ้นเงินดิ้นทองในการทักทอ ทั้งสองชุดนี้จึงเป็นเสื้อผ้าราคาแพงโดยมิต้องสงสัย หลังจากนั้นมองดูเสื้อผ้าเหล่านั้นที่ปรากฏให้เห็นงานปักร้อยอันงดงามทั้งยังฝีมือประณีต หากใช้ต้องใช้เงินซื้อมา ยังมิรู้เลยว่าต้องใช้เงินจำนวนมากเพียงใด ท่านป้าช่างทุ่มทุนเสียเหลือเกิน
“นำไปเก็บไว้ก่อนแล้วกัน รอเอ้อร์เส้าเหยียมาแล้วค่อยให้เขาลองสวมใส่ดู” หลินหลันให้อวี้หลงนำเสื้อผ้าทั้งหมดเก็บเข้าที่
แม่โจวหยิบหีบที่ดูมีน้ำหนักใบขนาดย่อมออกมา
“นี่คือของที่นายท่านลุงมอบให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าค่ะ เอ่ยว่าให้ท่านนำไว้ใช้เป็นของขวัญยามแวะเวียนไปบ้านญาติสนิทมิตรสหายช่วงฉลองเทศกาลเจ้าค่ะ”
หลินหลันรู้สึกอึ้งทึ่งทันทีทันใด ยามนี้ก็ยังมีปลาตัวจิ๋วที่ทำจากทองถุงเบ้อเร่อนั่น นายท่านลุงคงมิได้มอบทองคำอีกหีบไว้ให้นางกระมัง นี่มันหนักหนาเกินกว่านางจะรับไหวจริงๆ
เมื่อเปิดออกดูจึงเห็นว่าด้านในเป็นเครื่องเงินเครื่องทองซึ่งมีรูปแบบและขนาดน้อยใหญ่แตกต่างกันไป ใช้สำหรับการให้เป็นของขวัญ ทั้งงดงามและไม่ชวนให้ขายหน้า
“ตั้งแต่มาอยู่เมืองหลวง มิอยากจะคิดเลยว่าท่านลุงต้องสูญเสียเงินทองไปมากเพียงใดเพื่อพวกเรา ข้ารู้สึกลำบากใจยิ่งนัก” หลินหลันเอ่ยความสัจจริงจากใจ แม้ว่าเขาจะมีงานให้ใช้จ่ายอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน ทว่าน้ำใจอันหนักอึ้งเช่นนี้มันทำให้ผู้รับซาบซึ้งใจและไม่สบายใจในเวลาเดียวกัน
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายคิดมากเกินไปแล้วเจ้า นายท่านทั้งสองรักและเอ็นดูน้องสาวสุดหัวใจ ยามนี้คุณหญิงสามสิ้นชีวาแล้ว พวกเขาจึงทำได้เพียงรักใคร่และเอ็นดูเอ้อร์เส้าเหยียเจ้าค่ะ” แม่โจวกล่าว
หลินหลันพยักหน้าก่อนจะนำหีบขนาดย่อมส่งให้อวี้หลงเพื่อให้นางนำไปเก็บไว้
“เหล่าไท่ไทเยี่ยและเหล่าไท่เหย่เยี่ยได้ส่งจดหมายมาบ้างหรือไม่ มิรู้ว่าอาการไขข้อเสื่อมของเหล่าไท่ไทเยี่ยดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่…” หลินหลันอดนึกถึงนายหญิงชราเยี่ยผู้เคร่งครัดและนายท่านชราเยี่ยผู้ใจดีขึ้นมามิได้ สมกับที่เรียกว่ายามรักผู้ใดไปแล้วก็ต้องรักครอบครัวเขาไปด้วย จึงรู้สึกผูกพันใกล้ชิดกับผู้ชราทั้งสองท่านขึ้นมาไม่น้อย
“มีจดหมายมาเจ้าค่ะ เอ่ยว่าอาการไขข้อเสื่อมของท่านดีขึ้นมากแล้ว ปีนี้ฤดูหนาวทางทิศใดค่อนข้างหนาวเย็น ทว่าอาการไขข้อเสื่อมของนายท่านไม่มีอาการกำเริบแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะน้ำพักน้ำแรงของเอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าค่ะ”
นัยน์ตาของแม่โจวเคลือบไว้ด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขใจ เห็นได้เลยว่ามันคือเรื่องจริง
“ทั้งสองท่านสุขสภาพแข็งแรงก็ดีแล้ว ไว้มีโอกาสค่อยกลับไปเฟิงอานเพื่อเยี่ยมเยียนพวกเขาแล้วกัน” หลินหลันเผยรอยยิ้มแสนหวาน
“มีอีกเรื่องเจ้าค่ะ เรื่องที่เอ้อร์เส้าหน่ายนายให้จัดการคราก่อน ได้ข่าวคราวมาแล้วเช่นกันเจ้าค่ะ” แม่โจวกล่าวเสียงบางเบา
หลินหลันให้คนอื่นๆ ออกไปด้านนอกจนหมด
“เป็นบุตรชายผู้ดูแลคนหนึ่งที่ควบคุมดูแลพื้นที่ไร่สวนนอกเมืองของตระกูลเยี่ยเจ้าค่ะ แซ่สวี๋ นามว่าฝูอาน ปีนี้อายุยี่สิบ เป็นผู้ขยันขันแข็ง นายท่านลุงมีความประสงค์ส่งเสริมให้เขาเป็นผู้ดูแลกิจการคนหนึ่งด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ บิดาของเขาก็รบกวนให้นายท่านลุงช่วยหาแม่หญิงดีๆ ให้สักคนเช่นกัน…บ่าวคิดว่าค่อนข้างเหมาะสมทีเดียวเจ้าค่ะ” แม่โจวกล่าว
หลินหลันครุ่นคิด “ด้วยภูมิหลังและวัยเช่นนี้ดูไม่เลวทีเดียว เดี๋ยวรอยามที่ข้าไปทักทายช่วงปีใหม่ ให้ได้เห็นหน้าค่าตาสวี๋ฝูอานก่อนแล้วค่อยตัดสินใจแล้วกัน ถึงอย่างไรป๋ายฮุ่ยก็เป็นผู้ที่คอยปรนนิบัติเอ้อร์เส้าเหยียตั้งแต่เยาว์วัย จึงจำเป็นต้องหาคู่ครองที่ไว้วางใจได้ให้นาง จะให้นางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจไปมิได้ แม้เอ้อร์เส้าเหยียมิพูดออกมา ทว่าในใจก็คงคิดเช่นนี้”
แม่โจวถอนหายใจเล็กน้อยแล้วกล่าวขึ้น “เอ้อร์เส้าหน่ายนายช่างเป็นผู้ที่จิตใจกว้างขวางนัก ป๋ายฮุ่ยได้พบเจอผู้เป็นนายเช่นนี้นับว่าเป็นความโชคดีของนางเจ้าค่ะ”
หลินหลันยิ้มเจื่อน มิรู้เช่นกันว่าภายหลังจะมีเรื่องเช่นนี้อีกมากมายเพียงใด ศึกด้านนอกที่เข้ามานางหาได้เกรงกลัวไม่ ทว่าผู้ที่อยู่ข้างกายนี่สิจำเป็นต้องจัดการให้ใสสะอาด ศึกจากภายนอกง่ายต่อการตั้งรับ ทว่าศึกภายในบ้านคงเป็นการยากในการป้องกันทีเดียวเชียว
ระหว่างสนทนา หยินหลิ่วซึ่งอยู่ด้านนอกส่งเสียงเข้ามา “ชุ่ยจือมาเจ้าค่ะ เอ่ยว่ามีเรื่องต้องการขอเข้าพบเอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าค่า”
หลินหลันกล่าวอย่างใจเย็น “ให้นางเข้ามาเถิด”
แม่โจวลุกขึ้นแล้วเดินไปยืนด้านหลังของนายหญิง
ชุ่ยจือเข้ามาก่อนจะคาราวะให้นายหญิงสะใภ้รอง “ฮูหยินไม่สบายเจ้าค่ะ เหล่าไท่ไทให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายรีบไปดูอาการหน่อยเจ้าค่ะ”
หลินหลันตกตะลึง “ช่วงเช้าที่เข้าไปฉิ่งอานยังเห็นดีๆ อยู่เลย เหตุใดถึงมิสบายขึ้นมาได้หรือ”
ชุ่ยจือกล่าว “หลายวันมานี้ยุ่งวุ่นวายทั้งนอกบ้านในบ้าน เดิมทีก็มีอาการอ่อนเพลียอยู่แล้วเจ้าค่ะ พอเมื่อคืนดันตากลมเย็นเข้าไปอีก แล้วเมื่อครู่นี้ได้ยินบรรดาผู้ดูแลมารายงานเรื่องราวต่างๆ ที่มอบหมายไป จู่ๆ ก็ปวดศีรษะขึ้นมาเจ้าค่ะ”
หลินหลันแอบรำพึงรำพันในใจ แม่มดชราคงมิได้ปวดหัวเพราะได้ยินรายการค่าใช้จ่ายกระมัง
“หยินหลิ่ว รีบไปหยิบกล่องยามา เราจะได้รียไปโถงหนิงเฮ๋อกัน” หลินหลันสั่งการด้วยน้ำเสียงร้อนใจ
หลินหลันคาดเดาว่าแม่มดชราคงเพราะวุ่นวายใจเท่านั้น มิใช่อาการป่วยหนักหนาสาหัสใดๆ หากมีอาการป่วยจริง นางก็จำเป็นต้องคิดหาวิธีรักษานางให้หายดี ละครสนุกๆ เพิ่งเปิดฉากและแม่มดชราก็เป็นตัวละครเอกเสียด้วย จะให้ถอนตัวออกจากบทบาทแต่แรกเริ่มเพราะอาการป่วยได้อย่างไรกัน เช่นนั้นคงหมดสนุกพอดี
ทันทีที่มาถึงด้านนอกโถงหนิงเฮ๋อก็เห็นคู่สามีภรรยาหลี่หมิงเจ๋อเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ พร้อมกับใบหน้าที่เผยให้เห็นความกังวล ติงหลั้วเหยียนเข้ามาทักทายผู้เป็นน้องสะใภ้ “เจ้ามาก็ดีแล้ว หลายวันนี้ข้าก็รู้สึกไม่ค่อยสบายเช่นกัน จึงมิได้มาร่วมฉิ่งอานและถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ เลยมิรู้ว่าท่านแม่ไม่สบาย ช่างเป็นลูกที่อกตัญญูเสียเหลือเกิน…”
เห็นได้ชัดว่าสีหน้าละอายแก่ใจของติงหลั้วเหยียนนั้นมิใช่การเสแสร้งแต่อย่างใด ได้ยินเฉี่ยวจวนพูดว่า แม่มดชราปฏิบัติต่อติงหลั้วเหยียนอย่างดี ยามที่หลั้วเหยียนทุกข์ระทมเศร้าโศก แม่มดชราก็ไปเยี่ยมเยียนนางอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังส่งโสมและรักนกไปให้ นอกเสียจากเรื่องของหรูปี้ครานั้นที่ออกจะเอนเอียงไปบ้าง เรื่องอื่นๆ ยังคงไม่ขาดตรงบกพร่องใดๆ ทั้งสิ้น มิน่าล่ะติงหลั้วเหยียนถึงได้กระวนกระวายใจถึงเพียงนี้
“ยุ่งวุ่นวายอยู่หลายวัน คงเกิดความอ่อนล้ากระมัง” หลินหลันกล่าว
หลี่หมิงเจ๋อที่อยู่ด้านข้างๆ สบถฮึ “มิใช่ว่าถูกใครบางคนยั่วโมโหเข้าหรอกหรือ”
หลินหลันกล่าวอย่างอ่อนโยน “ต้าเกอ เปี่ยวเหม่ยก็ได้รับโทษแล้ว ท่านก็อย่าได้กล่าวโทษนางอีกเลยเจ้าค่ะ”
หลี่หมิงเจ๋อเบิกตาโต อะไรจะหน้าด้านหน้าทนถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่เขาเอ่ยหมายถึงนางต่างหากล่ะ นางกลับฝีปากแกร่งกล้า ตลบคำกลายเป็นหมิงจูไปเสียแล้ว เขาคิดจะฉีกหน้าด้วยการพูดออกไปตามตรง แต่แล้วก็ได้ยินหลินหลันกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ต้าเกอต้องเข้าร่วมการสอบในปีหน้า อย่างไรก็รักษาสุขภาพให้ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บเข้าไว้นะเจ้าคะ น้องสะใภ้ขออวยพรล่วงหน้าให้ต้าเกอประสบความสำเร็จในการสอบแข่งขันเจ้าคะ”
ติงหลั้วเหยียนฟังอย่างไรก็รู้สึกได้ว่าหลินหลันกำลังกระแหนะกระแหนหมิงเจ๋อ ทั้งๆ ที่นางควรโมโก แต่กลับไม่รู้สึกเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย กลับรู้สึกซะใจด้วยซ้ำไป ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่า หมิงเจ๋อก็คือหมอนหนุนที่มีลวดลายปักอย่างงดงาม ทว่ามันเหมาะสำหรับการเชยชมมิใช่เพื่อการใช้งานจริง เขาดีแต่พูด ทว่าในความเป็นจริงนั้นมิได้เรื่องได้ราวเลยสักนิด ชั่วชีวินนี้ของนางคงหมดหวังเสียแล้ว
“น้องสะใภ้ เรารีบเข้าไปด้านในกันเถิด หวังว่าท่านแม่จะมิเป็นอันใดร้ายแรง” ติงหลั้วเหยียนคล้องแขนหลินหลันแล้วเดินมุ่งหน้าเข้าไปด้านใน ปล่อยให้หมิงเจ๋ออยู่เดือดดาลอยู่ตรงนั้น เขาที่เพิ่งถูกหลินหลันดูถูก ทว่าหลั้วเหยียนกลับคล้องแขนนางพากันเดินจากไป นี่มันเป็นการต่อต้านเขาอย่างเปิดเผยเห็นๆ เรื่องของหรูปี้ เป็นเขาที่กระทำผิดต่อนางอย่างแท้จริง ทว่าหรูปี้ก็มิได้เข้ามาอยู่ในบ้านแล้วมิใช่หรือ ท่านแม่ส่งนางหายไปอยู่ในที่ที่ไกลออกไปขนาดที่ว่าชั่วชีวิตนี้คงมิอาจได้พบเจอกันอีกแล้ว แล้วนางยังต้องการอันใดอีก เขาทั้งยอมรับผิดแล้ว ปลอบประโลมก็แล้ว ทว่าหลั้วเหยียนยังคงปั้นหน้าบึ้งตึงให้เขาทุกวี่ทุกวัน ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป คงมิเป็นอันใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีกแล้ว
สาวใช้ทั้งสองเมื่อเห็นนายหญิงสะใภ้ทั้งสองท่านเดินเข้ามาจึงรีบเลิกผ้าม่านขึ้น หลินหลันให้ติงหลั้วเหยียนเดินนำเข้าไปก่อนแล้วจึงเดินตามเข้าไป
ภายในห้องนอนของแม่มดชราอยู่บริเวณห้องมุมสุดทิศตะวันออก โดยมีผ้าม่านสีฟ้าครามปิดกั้นอยู่ ระหว่างนั้นเสียงของหญิงชราดังเล็ดลอดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “การที่สามีเจ้าอยากมีบุตรอีกสักคนก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน ผู้ใดมิคาดหวังให้ในตระกูลมีลูกหลานเต็มบ้านกันหรือ มิใช่เพราะต้องการทอดทิ้งเจ้าอย่างแน่นอน เจ้ามิต้องคิดมากไปหรอก…”
“เหล่าเหยียคงต้องทอดทิ้งข้าอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ เขายังเอ่ยว่าบุตรที่ข้าให้กำเนิดมิได้เรื่องได้ราวเลยสักผู้เดียว…” นางฮานเอ่ยขณะสะอึกสะอื้น
หญิงชรากล่าวปลอบประโลม “นั่นล้วนเป็นการพูดด้วยอารมณ์โมโห เจ้าก็เชื่อด้วยหรือ พวกเจ้าผ่านอะไรต่อมิอะไรด้วยกันมาตั้งมากมายกว่าจะได้อยู่ด้วยกันอีกครา จิ้งเสียนจะไม่เห็นคุณค่าของเจ้าได้อย่างไร ต่อให้เขามีความคิดยกนางบำเรอเทิดทูนเหนือภรรยาจริงๆ ข้าผู้นี้ยังอยู่ทั้งคนแล้วเขาจะกล้าหรือ”
หลินหลันและติงหลั้วเหยียนหันมองหน้ากันเลิกลั่ก มิน่าล่ะแม่มดชราถึงล้มป่วยไปได้ ที่แท้เป็นอาการป่วยใจ เพราะท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายต้องการให้อนุภรรยาหลิวให้กำเนิดบุตรสักคน
หลินหลันแอบยินดีปรีดา ท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายช่างมิธรรมดาเสียจริง เอาสิ มีมาอีกสักสองสามคน พอถือกำเนิดมาคน แม่มดชราก็จะสูญเสียทั้งทรัพย์สินเงินทองและสูญเสียความรักใคร่โปรดปราน ให้ใช้ชีวิตอย่างเคียดแค้นจนตายไปเลยจะเป็นการดีที่สุด
ติงหลั้วเหยียนกลับเกิดความรู้สึกเสียใจที่แม่สามีกำลังเผชิญโรคเดียวกัน สุดท้ายแล้วผู้คนก็เลวร้ายมิต่างกัน และบุรุษก็มักจะเป็นผู้ซึ่งได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญใจ ส่วนสตรีก็ได้แต่ทนทุกข์ทรมานจิตใจ ทันใดนั้นนางก็นึกไปถึงหมิงอวิน ภายภาคหน้าเขาจะกลายเป็นเช่นนี้ไปด้วยหรือไม่
ชุ่ยจือเข้ามารายงาน “ต้าเส้าหน่ายนาย เอ้อร์เส้าหน่ายนายมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
หญิงชราเอ่ยด้วยเสียงบางเบา “รีบเช็ดน้ำตาเสีย อย่าให้เด็กรุ่นหลังเห็นแล้วหัวเราะเยาะเอาได้”
หลินหลันและติงหลั้วเหยียนเข้ามาสู่ด้านใน เมื่อเห็นดวงตาของแม่มดชราแดงกล่ำ ทั้งสองจึงรู้สึกใจไม่ดี หลังจากทักทายหญิงชราและแม่มดชราเป็นที่เรียบร้อย ติงหลั้วเหยียนก็กล่าวถามไถ่ “ท่านแม่คงทำงานหนักมากเกินไป ทั้งหมดเป็นเพราะลูกมิดีเองที่ไม่สามารถช่วยแบ่งเบาท่านแม่ได้”
ฮานชิวเยว่กล่าวภายใต้น้ำเสียงที่ยังคงอู้อี้ขึ้นจมูก “ร่างกายเจ้ายังมิหายดี ด้านนอกมีลมแรงถึงเพียงนี้ ก่อนออกมาเจ้าก็ไม่ผูกผ้าคลุมไหล่มาเสียหน่อย โดนความเย็นเดี๋ยวจะไม่สบายขึ้นมาอีกจนได้”
หมิงเจ๋อซึ่งเดินตามหลังเข้ามากล่าวขึ้น “ท่านแม่ ทันทีที่หลั้วเหยียนได้ยินว่าท่านไม่สบาย ก็รีบออกมาทันทีจนข้าเดินตามไม่ทัน หาได้มีกะจิตกะใจมัวผูกผ้าคลุมกันลมอยู่ไม่”
หลินหลันขบฟันแน่น จิกกัดได้ไม่เลวเลยนี่ หากความสามารถอันแท้จริงของหลี่หมิงเจ๋อเทียบเท่ากับการพูดจาไร้สาระเช่นนี้ก็คงสอบผ่านไปแล้วกระมัง
พวกเขาพูดคุยกันอยู่สักพักโดยมองข้ามหลินหลันที่อยู่ด้านข้างไปเสียสนิท
หญิงชราชายตามองไปยังหลินหลันแล้วกล่าวขึ้น “หลินหลัน รีบเข้ามาตรวจดูอาการแม่สามีเจ้าเร็วเข้าว่าอาการป่วยนี้ร้ายแรงหรือไม่”
“มิต้องตรวจหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่รู้สึกเหนื่อย พักประเดี๋ยวก็หายดีแล้วเจ้าค่ะ” ฮานชิวเยว่กล่าวทันควัน
หญิงชรากล่าวด้วยความหวังดี “อย่างไรก็ตรวจดูเสียหน่อยเถอะ”
ฮานชิวเยว่กล่าวอย่างห้วนๆ “ฉลองเทศกาลปีใหม่ทั้งที การหาหมอคงมิเป็นมงคลเท่าใดนัก ดังนั้นข้าขอพักประเดี๋ยวหนึ่งก็หายดีแล้ว” เกรงกลัวว่าจะไม่เป็นมงคลนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่ง และต่อให้เจ็บป่วยขึ้นมาจริงๆ นางก็ไม่กล้าให้หลินหลันเป็นผู้ตรวจอาการให้อยู่ดี เกิดหลินหลันอ้างการรักษามาฝังเข็มให้นางมั่วตั้ว ไหนจะให้ยากินอีก จากไม่ป่วยก็คงถูกนางทำให้ป่วยขึ้นมาได้
หลินหลันรู้ดีว่าแม่มดชราแค่ป่วยทางใจ เดี๋ยวพอคิดได้ก็ไม่เป็นไรแล้ว อีกทั้งด้วยแนวความคิดของคนโบราณ มีคนบางส่วนที่เข้าใจจริงๆ ว่าการพบหมอในวันรื่นเริงถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรกระทำ สามารถอดทนได้ก็อดทน ส่วนที่อดทนไม่ไหวก็มีบ้างเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หลินหลันคาดเดาว่าแม่มดชราคงไม่วางใจให้นางช่วยรักษาเสียมากกว่า
หญิงชราครุ่นคิดแล้วก็รู้สึกเห็นด้วย จึงมิได้เคี้ยวเข็นอีก ทำเพียงกำชับให้นางพักผ่อนให้เต็มที หากรู้สึกไม่ไหวจริงๆ ก็อย่าได้ทนฝืน ส่วนเรื่องพิธีจุดเตาสังเวยตามธรรมเนียมในวันพรุ่งนี้ก็ให้แม่เจียงเป็นคนไปจัดการแทน
ฮานชิวเยว่ให้หมิงเจ๋อไปส่งหญิงชรา ระหว่างนั้นหญิงชรามองไปยังหลินหลันแล้วเอ่ยขึ้น “หมิงเจ๋อ เจ้าอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ของเจ้าเถิด หลินหลัน เจ้ามาช่วยประคองข้าทีสิ”
หลินหลันประคองหญิงชราเดินออกไป สายลมทิศตะวันตกพัดโชยมากะทันหัน หลินหลันจึงรีบเปลี่ยนข้างประคองเพื่อช่วยบังลมให้แก่หญิงชรา
ดวงตาของหญิงชราแฝงเอาไว้ซึ่งความประทับใจเล็กน้อย ขณะเดียวกันกลับรู้สึกเศร้าโศกภายในใจ หากหมิงอวินและหมิงเจ๋อล้วนเป็นบุตรที่เกิดจากนางฮาน บ้านนี้ก็คงมิเกิดปัญหามากมายถึงเพียงนี้ ติงหลั้วเหยียนซึ่งมีภูมิหลังอันดีงาม ความรู้ความสามารถก็มิได้ด้อยไปกว่าผู้ใด ทว่าการจัดการปัญหากลับมิฉลาดและละเอียดรอบครอบได้เท่าหลินหลัน มิเช่นนั้น ก็ยังพอเป็นผู้ช่วยนางฮานคอยดูแลเรื่องในบ้านได้ นางฮานก็คงไม่ต้องเหนื่อยใจถึงเพียงนี้
——
[1] เทศกาลเสี่ยวเหนียน (小年) ชาวจีนเรียกวันเซ่นไหว้เทพแห่งเตาไฟว่า “วันตรุษจีนเล็ก”
[2] ลิ่วลิ่วต้าซุ่น (六六大顺) หมายถึง ราบรื่นในทุกสิ่ง (ลิ่ว ‘六’ แปลว่า หก)