ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่143สารภาพ
หลี่หมิงอวินถลกแขนเสื้อขึ้นพลางกล่าวด้วยอารมณ์หงุดหงิด “อย่าไปพูดถึงมันเลย!”
“วันนี้ข้าพูดคุยกับป๋ายฮุ่ยแล้ว เพียงแต่ดูเหมือนนางจะไม่ยินยอมพร้อมใจเท่าใดนัก” หลินหลันกล่าวไม่ยินดียินร้าย
“นางดื้อรั้นในสิ่งที่เป็นไปมิได้” หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างอ่อนใจ
หลินหลันช่วยรินชาร้อนๆ ให้เขา “หากนางดื้อรั้นไม่ยินยอม เจ้าจักทำอย่างไรหรือ”
ทันใดนั้นภายในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด ไอร้อนจากถ้วยน้ำชาในมือล่องลอยขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ เตะจมูกของชาปี้หลัวชุน ใบชาสีเขียวสดในน้ำค่อยๆ คลายตัวออก ผิวน้ำกระเพื่อมเล็กน้อย ดวงตาของหลี่หมิงอวินดูเลื่อนลอยราวกับกำลังจมดิ่งสู่ห้วงแห่งความทรงจำอันยาวนาน
“ปีนั้น ยามที่ข้าอายุสิบสามปี เกิดเป็นไข้ทรพิษ มีอาการไข้ขึ้นสูงอยู่ตลอดเวลา ท่านแม่ร่างกายอ่อนแอ หมอเอ่ยว่าไข้ทรพิษง่ายต่อการติดต่อสู่กัน ท่านพ่อจึงไม่อนุญาตให้ท่านแม่มาดูแลข้า จึงมีเพียงป๋ายฮุ่ยและจื่อโม่ที่ค่อยอยู่ข้างกายเพื่อดูแลข้าโดยไม่ห่วงความปลอดภัยของตนเอง คอยดูแลอย่างเอาใจใส่ตลอดทั้งวันทั้งคืน…นับได้ว่าเป็นพวกนางสองคนที่ช่วยให้ชีวิตของข้ารอดพ้นมาได้ถึงทุกวันนี้ ดังนั้นท่านแม่จึงเอ่ยว่า ในอนาคตข้างหน้าจักต้องปฏิบัติต่อพวกนางให้สมกับที่นางทำเพื่อข้า ทว่าน่าเสียดายที่จื่อโม่ด่วนจากไปเสียก่อน…”
หลี่หมิงอวินกล่าวระบายความอัดอั้นตันใจแล้วมองไปยังหลินหลัน ทันใดนั้นนัยน์ตาของเขาก็ฉายความสัตย์จริงขึ้นมา “ข้าบอกเจ้าตามตรง ก่อนหน้านี้ ข้ามีความนึกคิดที่จะให้สถานะชัดเจนแก่นางอยู่จริงๆ ทว่ามันมิใช่เพราะความรักเฉกเช่นคู่รัก มันเป็นเพียงการสำนึกในบุญคุณ จึงอยากช่วยให้นางมีชีวิตอย่างสุขสบายไปทั้งชีวิต กระทั่งเรื่องราวภายในบ้านแปรเปลี่ยนไป ข้าถึงตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า ชั่วชีวิตนี้จะรักเดียวใจเดียวเท่านั้น จะมิทำให้ภรรยาของข้าต้องได้รับความทุกข์ระกำเฉกเช่นท่านแม่ จะไม่เป็นคนจิตใจต่ำทรามและขาดความชอบธรรมต่อสตรีประเภทเดียวกับท่านพ่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามนี้ที่มีเจ้าเป็นตัวเป็นตนแล้ว ข้าจึงไม่มีความนึกคิดที่จะแบ่งใจแม้เพียงเศษเสี้ยวเดียวไปให้ผู้ใด การเป็นนางบำเรอของข้าคงมีแต่ความโดดเดี่ยวไปชั่วชีวิต ซึ่งเช่นนี้เท่ากับเป็นการทำร้ายนาง ข้าคิดว่านางจะเข้าใจ ทว่านางกลับดื้อรั้นและไม่ยอมปล่อยวาง…”
หลินหลันนิ่งเงียบ ที่ผ่านมานางเองก็พอมองออกมาโดยตลอดว่า ป๋ายฮุ่ยในจิตใจของเขาดูแตกต่างไปจากสาวใช้ทั่วไป ที่แท้ก็ด้วยสาเหตุเช่นนี้นี่เอง
“หากนางดื้อรั้นไม่ยินยอม ก็คงปล่อยไว้ในเรือนหลั้วเซี๋ยจายมิได้แล้ว” หลี่หมิงอวินทอดถอนใจแล้ววางถ้วยน้ำชาลง ก่อนจะเอื้อมมือไปกอบกุมมือน้อยๆ ของหลินหลัน “หลันเอ๋อร์ เรื่องนี้ทำให้เจ้าลำบากใจแล้ว เป็นข้าที่ผิดเอง”
หลินหลันมองไปที่เขาอย่างสงบนิ่ง “แน่นอนว่าเป็นความผิดของเจ้า ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแน่วแน่แล้วก็ควรพูดกับข้าแต่เนิ่นๆ ข้าเองก็จะได้วางแผนแต่เนิ่นๆ เพื่อหยุดยั้งความคิดของนางเสีย จะได้ไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเยี่ยงนี้ ข้าหวังดีต่อนางทว่านางกลับมิคิดเช่นนั้น”
หลี่หมิงอวินเผยสีหน้าละอายแก่ใจ “เป็นข้าที่ไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบจนทำให้เจ้าลำบากใจจนได้”
“ช่างเถอะ ทว่าขอให้มีเพียงครั้งนี้เท่านั้น อย่าให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีก แต่อย่างไรก็ตาม สรุปแล้วเจ้าไปสร้างหนี้รักซ่อนเร้นไว้เท่าใดบ้าง ทางที่ดีที่สุดพูดกับข้ามาให้หมดเสียทีเดียว ข้าจะได้เตรียมพร้อมเอาไว้บ้าง” หลินหลันกล่าวเชิงหยอกล้อ
หลี่หมิงอวินฉีกยิ้มอย่างฝืนใจ “หนี้รักซ่อนเร้นอะไรกัน เจ้าเป็นผู้หญิงคนแรกของเข้าและจะเป็นคนสุดท้ายด้วยเช่นกัน”
“อย่าได้หลอกลวงข้า จื่ออวี้บอกข้าว่ายามนั้นเจ้าเนื้อหอมมากที่สุด เป็นหนุ่มในฝันของบรรดาสาวๆ ในเมืองหลวง ข้าให้โอกาสเจ้าสารภาพมาให้หมดเปลือก เรื่องที่ผ่านไปแล้วข้าจะไม่ถือโทษเอาความใดๆ ทั้งสิ้น ทว่าหากวันใดเกิดเรื่องมือที่สามขึ้นมาอีก ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้าเด็ดขาด” หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงออเซาะ
แม้จะเป็นเพียงการพูดล้อเล่น แต่กลับทำให้หลี่หมิงอวินใจสั่นขึ้นมาทันใด ทว่าช่วงเวลาเหล่านั้นมันเป็นเรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้ว ยามนี้หลั้วเหยียนเป็นพี่สะใภ้ของเขา ซึ่งจะมีความสัมพันธ์ในฐานะน้องเขยและพี่สะใภ้กันเท่านั้น ไร้ซึ่งสัมพันธ์และความรู้สึกอื่นใดแอบแฝง แล้วจะให้เขาเอ่ยถึงมันขึ้นมาอีกครั้งได้อย่างไรกัน จึงทำเพียงกล่าวด้วยร้อยยิ้มจางๆ “ความนึกคิดของผู้อื่นข้าคงไม่อาจคาดเดาไปเรื่อยเปื่อยได้ หากพูดเรื่อยเปื่อยจะกลายเป็นว่าไปทำลายชื่อเสียงของผู้อื่นเขา เจ้าเพียงจดจำไว้ว่าเจ้าเป็นภรรยาและเป็นสตรีเพียงผู้เดียวของหลี่หมิงอวินก็เป็นพอ”
สตรีที่ชาญฉลาดไม่ควรคิดมากกับเรื่องในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว ผู้ใดจะไม่เคยมีอดีตบ้างล่ะ ซึ่งจะว่าไปแล้วนางเองก็เคยมีคนที่รักใคร่ชอบพอเช่นกัน ปัจจุบันและอนาคตในภายภาคหน้าสิถึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด “เอาละ เจ้าเองก็เหนื่อยมากแล้ว พักผ่อนก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวยังต้องไปโถงจาวฮุยเพื่อคารวะตามธรรมเนียมปฏิบัติอีก!” หลินหลันฉีกยิ้ม
ภายในโถงหนิงเฮ๋อ นางฮานมีสีหน้าหงุดหงิดหลังได้รับฟังคำบอกกล่าวจากเซียงเอ๋อร์
เดิมทีเซียงเอ๋อร์นามว่าหว่านเซียง โดยยึดตามอักษรนำของอนุภรรยาหลิวหว่านอวี้ จึงเรียกขานเพียงเซียงเอ๋อร์
“เจ้ากลับไปบอกคุณหนูว่าให้นางสงบเสงี่ยมไว้หน่อย หากก่อเรื่องขึ้นอีกแล้วเหล่าเหยียรับรู้เข้า ปีนี้ก็เลิกคิดเรื่องออกเรือนไปได้เลย” นางฮานกล่าวด้วยอารมณ์หงุดหงิด
แม่เจียงส่งชาหนิงเซินให้และกล่าวขึ้นด้วยหวังช่วยคลายอารมณ์โมโห “ท่านก็รู้จักนิสัยของคุณหนูหมิงจูเป็นอย่างดีนี่เจ้าคะ ปีใหม่ทั้งทีแต่กลับถูกกักบริเวณ ภายในใจของคุณหนูก็คงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ไม่น้อย การจะมีอารมณ์หงุดหงิดขึ้นมาบ้างก็คงเป็นเรื่องธรรมดานะเจ้าคะ ”
แม่เจียงหันไปเอ่ยกับเซียงเอ๋อร์ “เจ้าไปเกลี้ยกล่อมคุณหนูหมิงจูเสียหน่อย ให้นางสงบเสงี่ยมเข้าไว้ แล้วเดี๋ยวฮูหยินจะหาโอกาสร้องขอเหล่าเหยียให้อีกที หากคุณหนูรู้สึกอึดอัดจริงๆ ก็ไปเชิญคุณหนูอวี๋เหลียนมาพูดคุยเป็นเพื่อนนาง เหล่าเหยียเพียงแค่ไม่ให้คุณหนูออกมาข้างนอกเท่านั้น มิได้เอ่ยว่าไม่ให้ผู้ใดเข้าไปเสียหน่อย”
เซียงเอ๋อร์ย่อเข่าลงคารวะ “ข้าน้อยเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะไปเกลี้ยกล่อมคุณหนูเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”
หลังเซียงเอ๋อร์ออกไป นางฮานกล่าวด้วยความหงุดหงิดใจขึ้นมาอีกระลอก “เรื่องราววุ่นวายชวนปวดหัวมากพออยู่แล้ว นางก็ยังสร้างความหงุดหงิดใจให้แก่ข้าอีก”
“คุณหนูอายุยังน้อยยิ่งนัก จึงมิอาจเข้าใจความยากลำบากของฮูหยินไปได้ ไว้รอนางเติบใหญ่ขึ้นอีกหน่อยแล้วค่อยพูดค่อยจากับนางก็ได้เจ้าค่ะ” แม่เจียงกล่าวโน้มน้าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ก็มิใช่เด็กๆ แล้วเสียหน่อย เมื่อถึงเดือนเจ็ดก็จะอายุครบสิบห้าปี ถึงวัยออกเรือนแล้ว ยามนี้ข้าก็พอมีคนสองคนไว้เป็นตัวเลือกอยู่เช่นกัน ทว่าน่าเสียดายที่บุตรของครอบครัวดีๆ ก็ดันมีภูมิหลังจากนางบำเรอ ส่วนบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมายของครอบครัวก็ดันมิเป็นดั่งใจหวัง เฮ้อ! หากนางได้ใช้นามอย่างถูกต้องตามกฎหมายในฐานะคุณหนูสามแห่งจวนหลี่ ข้าเองก็คงมิต้องลำบากใจปานนี้” ยิ่งคิดนางฮานก็ยิ่งรู้สึกปวดหัว
“ฮูหยินมิจำเป็นต้องร้อนใจไปเจ้าค่ะ ไว้หลังเดือนสี่ไปแล้วหากต้าเส้าเหยียสอบได้จนมีชื่อเสียงขึ้นมา และหากทางด้านซานซีมีข่าวดีตามมาด้วย ทุกอย่างก็จะค่อยๆ ราบรื่นขึ้นเจ้าค่ะ” แม่เจียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นเรื่องของต้าเส้าเหยียจึงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากที่สุดในยามนี้นะเจ้าคะ”
นางฮานพยักหน้าเล็กน้อย
“บ่าวถามไถ่สาวใช้ของเรือนเวยอวี่ เห็นเอ่ยว่าหลังพ้นเทศกาลฉลองปีใหม่มาก็เริ่มขยันขันแข็งขึ้นมาแล้ว ส่วนสุขภาพของต้าเส้าหน่ายนายก็ดีขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกัน และยังคอยให้กำลังใจต้าเส้าเหยียอยู่บ่อยครั้งด้วยเจ้าค่ะ”
สีหน้าของนางฮานผ่อนคลายลงลงน้อย “พวกเขาคู่สามีภรรยาคืนดีกันดั่งตอนแรกแล้ว ข้าเองก็เบาใจ”
“คู่สามีภรรยาที่ไหนจะโกรธเคืองกันไปตลอดล่ะเจ้าคะ! อีกอย่างเรื่องราวมันก็ผ่านมานานนมแล้ว…” แม่เจียงกล่าวเสริม
นางฮานจิบน้ำชา ทันใดนั้นคิ้วของนางก็ขมวดขึ้นอีกครั้ง “เหตุใดนายซุนถึงยังมิกลับมารายงานบอกกล่าวอีกหรือ”
แม่เจียงกล่าว “เกรงว่ายังกลับมาไม่ถึงกระมังเจ้าคะ” แม่เจียงลังเลใจอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยปากถาม “ฮูหยินเจ้าคะ หากทางด้านนั้นไม่ยินยอมลดดอกเบี้ย ท่าน…”
นางฮานกล่าวด้วยความกังวล “ถึงไม่ลดก็ต้องยืม มิเช่นนั้นข้าจะไปเอาจำนวนเงินส่วนที่ขาดจากไหนมาโปะหรือ เดิมคิดว่านำสิ่งของของนางเยี่ยไปขายแล้วจะยังพอนำมาจับจ่ายไปได้สักระยะหนึ่ง ทว่าเหล่าเหยียนึกบ้าอันใดขึ้นมาก็มิรู้ ถึงได้ให้นำรายจ่ายที่หมิงอวินกับหลินหลันเฉลิมฉลองปีใหม่มาเบิกที่ข้า ลำพังรายจ่ายก้อนนี้ก็เท่ากับรายจ่ายโดยรวมสี่เดือนภายในจวนแล้ว ข้าว่าพวกเขาจงใจกอบโกยเงินในส่วนของข้ากระมัง ”
แม่เจียงอดกังวลใจมิได้ ในเมื่อยามนี้ในสายตาของเหล่าเหยียมีเพียงคุณชายรองและสะใภ้รองของตระกูลเท่านั้นเสียแล้ว
“ผู้ที่ปล่อยเงินกู้นั่นก็ช่างหน้าเลือดเกินไปหน่อยนะเจ้าคะ พวกเรากู้ยืมสองแสน ดอกเบี้ยเพียงแค่หกพันต่อเดือน ยามนี้พวกเรากู้ยืมเพียงห้าหมื่น ทว่าเขาก็ยังเรียกดอกเบี้ยมากถึงห้าพันต่อเดือน นี่มิเป็นการขูดเลือดขูดเนื้อเกินไปหรือเจ้าคะ” แม่เจียงกล่าวอย่างไม่พึงพอใจ
นางฮานถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แล้วจะมีวิธีอันใดอีก ดีที่เดือนห้ายังพอมีรายรับจากค่าเช่าห้องแถวซึ่งยังพอประทังไปได้ระยะหนึ่ง”
แม่เจียงกล่าวย้ำเตือนอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ “ฮูหยินอย่าลืมนะเจ้าคะว่าวันที่สิบเก้าเดือนสองต้องไปปักธูปที่วัดเซียงซาน เรื่องเงินซื้อธูปซื้อน้ำมันตะเกียงอะไรพวกนี้จะให้ขาดตกบ่กพร่องไปคงมิได้ แล้วยังมีช่วงฤดูที่ต้องไถพรวนเพื่อหว่านพืชผล ซึ่งนั่นก็มีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ไหนจะต้าเส้าเหยียเตรียมสอบอีก มิแน่ว่าอาจต้องกู้ยืมอีกหนึ่งถึงสองครา…”
นางฮานรู้สึกสมองตื้อจนแทบจะระเบิด แต่ไหนแต่ไรมามิเคยรู้สึกไร้พลังกายพลังใจเช่นนี้มาก่อน ได้แต่กล่าวออกไปอย่างจนปัญญา “อดทนไปก่อนแล้วกัน! ระยะนี้คงต้องอดทนกันไปก่อน ยามนี้ข้าเองก็รู้สึกเสียดายขึ้นมาเสียแล้ว มิน่าเร่งรีบลงมือไปเช่นนั้นจนส่งผลให้ยามนี้ชักหน้าไม่ถึงหลัง”
แม่เจียงนิ่งเงียบ เกลี้ยกล่อมท่านไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าควรไตร่ตรองถึงผลที่ตามมาให้ดีเสียก่อน มาเสียดายยามนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว ทำได้เพียงขอให้ทางด้านซานซีนั่นอย่าเกิดปัญหาขึ้นมาก็เป็นพอ มิเช่นนั้นไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจะจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไรดี
หลังหลินหลันและหลี่หมิงอวินกลับมาจากการคารวะตามธรรมเนียมปฏิบัติ จิ่นซิ่วก็เข้ามาบอกกล่าวว่าป๋ายฮุ่ยไม่สบาย
หลินหลันมองไปยังหลี่หมิงอวินแวบหนึ่งแล้วกล่าวขึ้น “ในเมื่อนางไม่สบายก็ให้นางพักผ่อนสักสองสามวัน รักษาสุขภาพให้ดีๆ ส่วนภาระงานของนางเจ้าก็ทำแทนไปก่อนแล้วกัน!”
จิ่นซิ่วขานรับแล้วเข้ามาปรนนิบัตินายหญิงเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนอวี้หลงรับหน้าที่ไปเตรียมน้ำร้อน
หลังหลี่หมิงอวินเข้าไปในห้องอาบน้ำแล้ว ภายในห้องก็ปราศจากผู้อื่น หลินหลันจึงกล่าวถาม “จิ่นซิ่ว เจ้าคิดว่าเอ้อร์เส้าเหยียควรรับป๋ายฮุ่ยมาเป็นอนุเช่นกันใช่หรือไม่”
จิ่นซิ่วกล่าวอ้ำๆ อึ้งๆ “ข้าน้อยมิกล้าวิพากษ์วิจารย์ถึงเรื่องของผู้เป็นนายเจ้าค่ะ”
หลินหลันรู้ดีว่าภายในใจของจิ่นซิ่วเข้าข้างป๋ายฮุ่ย ในสำนึกของพวกนางการยกป๋ายฮุ่ยเป็นอนุภรรยาคือเรื่องที่สมเหตุสมผล
หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน “พูดมาเถอะ มิเป็นอันใดหรอก”
จิ่นซิ่วมองเห็นป๋ายฮุ่ยที่ไร้จิตวิญญาณมาตลอดทั้งวัน ภายในใจจึงรู้สึกสงสารนางและคิดจะช่วยเหลือนาง จึงพยักหน้างึกงักแล้วกล่าวออกไป “ป๋ายฮุ่ยทุ่มเทแรงกายแรงใจสุดกำลังเพื่อปรนนิบัติผู้เป็นนายมาโดยตลอดเจ้าค่ะ…”
“จิ่นซิ่ว การปรนนิบัติผู้เป็นนายอย่างทุ่มเทแรงกายแรงใจสุดกำลังเป็นคุณสมบัติของสาวใช้ มิเพียงแค่นาง แต่รวมไปถึงทุกคนในที่แห่งนี้ด้วย ผู้ใดบ้างหรือที่มิได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจสุดกำลัง หรือเพราะพวกเจ้าปฏิบัติต่อผู้เป็นนายอย่างซื่อสัตย์ ปฏิบัติต่อผู้เป็นนายอย่างสุดแรงกายแล้วผู้เป็นนายจักต้องยกพวกเจ้าเข้าร่วมเรือนหอด้วยทั้งหมดหรือ” หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ทว่าในคำพูดดังกล่าวกลับมีน้ำหนักอย่างเห็นได้ชัด
จิ่นซิ่วตื่นตระหนกเล็กน้อยแล้วรีบคุกเข่าลง “ข้าน้อยมิเคยมีความนึกคิดเช่นนั้นนะเจ้าคะ”
หลินหลันอมยิ้มแล้วกล่าวออกไป “ลุกขึ้นเถิด! ข้ามิได้เอ่ยถึงเจ้า เพียงแค่ยกตัวอย่างเท่านั้นเอง หากบรรดาสาวใช้ทุกคนล้วนอาศัยสิ่งที่เคยปรนนิบัติผู้เป็นนายแล้วเกิดความนึกคิดประเภทที่ว่า ตนเองได้ทำอันใดเพื่อผู้เป็นนายไว้บ้าง เกรงว่าผู้เป็นนายก็คงมิอาจกล้าเรียกใช้ข้ารับใช้อีกต่อไปแล้ว นิสัยใจคอของเอ้อร์เส้าเหยียพวกเจ้าก็น่าจะรู้กันดีอยู่แล้ว แต่ไหนแต่ไรมาก็มิเคยปฏิบัติต่อคนข้างกายให้เป็นที่ครหาในภายภาคหน้า ล้วนปฏิบัติด้วยใจจริง อบอุ่นและเป็นกันเองเสมอมา การที่พวกเจ้าได้พบผู้เป็นนายเช่นนี้ถือว่าเป็นโชคดียิ่งนัก ทว่าหากด้วยเหตุนี้กลับก่อให้เกิดความรู้สึกเลยเถิดขึ้นมา นี่มิใช่สิ่งที่ทำให้ผู้เป็นนายรู้สึกลำบากใจหรอกหรือ แล้วจะให้นายหญิงของบ้านอย่างข้าอยู่ในตำแหน่งใดหรือ”
จิ่นซิ่วถึงกับเหงื่อออกเต็มฝ่ามือ นางปกป้องป๋ายฮุ่ยก็เพราะความสัมพันธ์ที่อยู่ด้วยกันมาหลายปีแต่กลับมิได้นึกถึงว่านายน้อยและนายหญิงน้อยพึงพอใจหรือไม่ พอมาไตร่ตรองให้ละเอียดดูแล้ว นับแต่นายน้อยกลับมาก็มิเคยมองผู้ใดอื่นเลย ในสายตาของนายน้อยมีเพียงนายหญิงน้อยเท่านั้น เป็นความรักของคู่สามีภรรยาที่แสนลึกซึ้งจนทำให้ผู้คนรอบข้างต่างรู้สึกอิจฉา และมิใช่เรื่องง่ายดายที่จะมีบุคคลที่สามเข้ามาคั่นระหว่างกลางไปได้
“ข้าน้อยเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะไปเกลี้ยกล่อมป๋ายฮุ่ยเจ้าค่ะ” ความนึกคิดของจิ่นซิ่วกระจ่างชัดแจ้งขึ้นมาอีกครั้ง
ยามนี้ด้วยเกรงก็แต่จะมีคนคอยพูดปลอบประโลมอย่างเอาใจข้างหูป๋ายฮุ่ย หรูอี้เป็นคนที่ฉลาดและเข้าใจอะไรต่อมิอะไรเป็นอย่างดีจึงไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ จิ่นซิ่วทำเรื่องต่างๆ โดยอาศัยความรู้สึกเข้าไปปะปนอยู่บ้าง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องย้ำเตือนนางไว้เสียหน่อย เพื่อจะได้ไม่พูดจาในสิ่งที่ไม่สมควรต่อหน้าป๋ายฮุ่ย
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว มีคำกล่าวที่ว่า ยอมเป็นภรรยาคนจน ดีกว่าเป็นอนุภรรยาของครอบครัวผู้ร่ำรวยเพื่อเป็นดั่งนางบำเรอคนหนึ่ง ทำให้ทั่งชั่วชีวิตตกอยู่ในสถานะที่ต่ำต้อย มิอาจเป็นภรรยาที่ถูกต้องและชอบธรรมไปได้ เอ้อร์เส้าเหยียรำลึกถึงน้ำใจในปีนั้น ดังนั้นเขาจักต้องกำชับตระกูลเยี่ยให้ช่วยดูแลเป็นอย่างดีแน่นอน แล้วชีวิตในภายภาคหน้าจะไม่สุขสบายไปได้อย่างไรกัน มิเพียงแค่ป๋ายฮุ่ย ทุกคนในบ้านหลังนี้ก็เช่นกัน ขอเพียงทุ่มเทแรงกายแรงใจสุดกำลังดังที่เจ้าว่า ข้าจักต้องตอบแทนพวกเจ้าอย่างยุติธรรมและช่วยเลือกลู่ทางอันดีงามให้แก่พวกเจ้าอย่างแน่นอน” หลินหลันประคองนางลุกขึ้นยืน
จิ่นซิ่วรู้สึกละอายแก่ใจ “เป็นข้าน้อยที่โง่เขลาไปชั่วขณะ เอ้อร์เส้าเหยียและเอ้อร์เส้าหน่ายนายล้วนเป็นผู้มีจิตใจกว้างขวาง พี่ป๋ายฮุ่ยนางจะต้องเข้าใจได้แน่นอนเจ้าค่ะ”
หลินหลันฉีกยิ้ม นางมิกล้าฟันธงว่าป๋ายฮุ่ยจะเข้าใจหรือไม่ ทว่าหากป๋ายฮุ่ยเกิดความรู้สึกโกรธแค้นในจิตใจด้วยเหตุนี้ และทำเรื่องที่มิพึงกระทำขึ้นมา เช่นนั้น ต่อให้ป๋ายฮุ่ยเคยมีบุญคุณต่อหมิงอวิน นางก็คงมิให้ความเกรงใจเช่นกัน