ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่155 ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า
หมิงอวินไปห้องหนังสือด้านนอกหลังรับประทานมื้อค่ำเป็นที่เรียบร้อย ส่วนหลินหลันและติงหลั้วเหยียนเดินออกมาพร้อมกันโดยมีหมิงจูตามหลังมาติดๆ นางเอื้อมมือมาคล้องแขนติงหลั้วเหยียนเอาไว้แล้วกล่าวอย่างออดอ้อน “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้ามิได้ไปนั่งเล่นที่เรือนท่านมานานมากแล้ว ข้าคิดถึงขนมถั่วเขียวอบกรอบทางด้านนั้นด้วย แค่ข้าเอ่ยถึงก็น้ำลายสอเสียแล้ว”
ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้มบางเบา “นี่มิได้ทำกันง่ายๆ ด้วยสิ เอาเป็นว่าเจ้าอยากกินเมื่อใดก็บอกสาวใช้ให้มาบอกข้า ข้าจะให้คนทำแล้วนำไปส่งให้เจ้าก็ย่อมได้”
“ฮ่าๆ ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าพี่สะใภ้ใหญ่รักและเอ็นดูข้าที่สุดแล้ว ดื่มชาจวินซานหยินเจินคู่กับขนมถั่วเขียวอบกรอบ อร่อยเลิศเสียยิ่งกระไรดี” หมิงจูกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ติงหลั้วเหยียนฉีกยิ้มอ่อนหวาน “วันนี้เว่ยเหนียงเหนียงทำของว่างมาให้พอดี แม้ว่าจะไม่มีขนมถั่วเขียวอบกรอบ ทว่ามีชาจวินซานหยินเจินอยู่ด้วย” ขณะกล่าวติงหลั้วเหยียนหันไปทางหลินหลัน “น้องสะใภ้ไปนั่งเล่นด้วยกันเถอะ!”
มิใช่ว่าหลินหลันไม่ยินดีที่จะสนิทสนมกับติงหลั้วเหยียน ปัญหาคือหมิงจูไปด้วยเช่นกัน ซึ่งนางไม่อยากทำให้ตนเองอารมณ์เสียไปเปล่าๆ “วันมะรืนร้านยาก็จะเปิดทำการแล้ว ยังมีบางเรื่องที่ต้องสะสางอีกหน่อย ไว้วันหน้าค่อยมารบกวนพี่สะใภ้แล้วกันเจ้าค่ะ!” นางกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ติงหลั้วเหยียนอมยิ้มเล็กน้อย “ข้าอิจฉาน้องสะใภ้เสียจริง มีเรื่องของตนเองให้ได้ทำ มิเหมือนข้า ทำอันใดก็ไม่เป็นจึงได้แต่ว่างงานอยู่ตลอดทั้งวัน”
“พี่สะใภ้ก็กล่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ! ข้าทำได้แค่งานเหนื่อยๆ พวกนี้แหละเจ้าค่ะ ส่วนอย่างอื่นล้วนทำไม่เป็นทั้งสิ้น ทว่าพี่สะใภ้นั้น ทั้งเล่นดนตรี ทั้งงานเย็นปักถักร้อยและศิลปะแขนงอื่นๆ ล้วนไม่เป็นสองรองใคร ข้าสิควรอิจฉาพี่สะใภ้!” หลินหลันถ่อมตน ชื่อเสียงเลื่องลือของติงหลั้วเหยียนก่อนหน้าเป็นอย่างที่นางได้ยินมาทั้งหมด ทว่ามองดูแล้วหลังติงหลั้วเหยียนแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา ในทุกๆ วันก็ทำได้เพียงเย็บปักถักร้อย ชมนกชมไม้ หากนางและหมิงเจ๋อเป็นสามีภรรยารักใคร่กันอย่างลึกซึ้ง เช่นนั้นช่วงก่อนหน้าคงยังพอได้ใช้เวลาไปกับต่อบทกวี ทำอะไรต่อมิอะไรที่ถูกที่ควร ทว่านางและหมิงเจ๋อหาได้เป็นเช่นนั้นไม ตั้งแต่เกิดเรื่องหรูปี้ ยิ่งทำให้ในทุกๆ วันเต็มไปด้วยความหดหู่และทุกข์ใจ
หมิงจูกล่าวขึ้นลอยๆ “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ผู้ที่อ่อนโยนมีคุณธรรมดีงาม มีความรู้ทางวิชาการอีกทั้งยังมีไหวพริบและชาญฉลาดควรค่าแก่การเรียกขานว่าเป็นกุลสตรีอย่างพี่สะใภ้ใหญ่ จะเทียบกับผู้ที่ทำอันใดอย่างลับๆ ล่อๆ ชวนให้ผู้คนเขาสับสนได้อย่างไรกัน”
หลินหลันกล่าวอย่างไม่แยแส “เปี่ยวเหม่ยพูดถูกยิ่งนัก จะว่าไปเปี่ยวเหม่ยก็ควรถือโอกาสที่ยังมิได้ออกเรือน รีบเรียนรู้จากพี่สะใภ้ใหญ่ให้มากๆ เข้าไว้ จะได้มีไหวพริบและชาญฉลาดให้มากขึ้นเช่นกัน ทว่าสิ่งที่ต้องเร่งรีบเรียนมากที่สุดคงจะเป็นการเรียนรู้ความอ่อนโยนและมีคุณธรรมอันดีงามอย่างพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้า อนาคตข้างหน้าจะได้เป็นลูกสะใภ้ที่ดีของบ้านอื่นเขาได้เช่นกัน”
หมิงจูเกรี้ยวกราด “เจ้า…ใครใช้ให้เจ้ายุ่งเรื่องคนอื่นเขาหรือ”
หลินหลันยิ้มอย่างอ่อนหวาน “ล้วนเป็นคนในครอบครัวกันเองทั้งสิ้น พี่สะใภ้รองห่วงใยลูกพี่ลูกน้องคนเล็กจึงเป็นเรื่องที่สมควรเช่นกัน น่าเสียดายจัง หากตัดสถานะที่ขึ้นชื่อว่าลูกพี่ลูกน้องออกไป เปี่ยวเหม่ยก็คงหาสามีดีๆ ได้โดยมิต้องเรียนรู้อันใดเลยก็ย่อมได้ ทว่ายามนี้…คงได้แต่ลำบากหน่อยเสียแล้ว”
หมิงจูโกรธจนเลือดขึ้นหน้า “เจ้าอย่าทำเป็นตีหน้าเศร้าแสร้งสงสาร ข้ารู้ดีว่าเจ้าจงเกลียดจงชังข้า! ไม่จิกกัดข้าสักสองสามประโยคคงไม่สบายใจสินะ”
หลินหลันกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เหตุใดเปี่ยวเหม่ยถึงพูดเช่นนี้หรือ ทำไม่ข้าต้องจงเกลียดจงชังเจ้าด้วย คนอย่างข้าไม่ชอบหาเรื่องใส่ตัวเป็นที่สุด หากมิใช่เรื่องและบุคคลที่เห็นความสำคัญ ข้าหาได้เคยเก็บเอามาใส่ใจไม่”
หมิงจูอยากพุ่งเข้าไปตะปบหลินหลันให้ตายไปเสีย นังผู้หญิงคนนี้ ปากคอเราะรายยิ่งกว่าคมมีด ชวนจงเกลียดจงชังเสียเหลือเกิน
ติงหลั้วเหยียนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เริ่มรุนแรง จึงกล่าวขึ้นทันที “ในเมื่อน้องสะใภ้มีธุระต้องจัดการ เช่นนั้นข้ามิขอรบกวนแล้วกัน เปี่ยวเหม่ย เจ้าต้องการดื่มชาจวินซานหยินเจินหรือไม่ ไปนั่งเล่นทางที่เรือนข้ากันเถอะ!” นางก้มตัวโค้งลงเล็กน้อยแล้วดึงหมิงจูเดินจากไปอย่างเร็วไว
หมิงจูที่กำลังถูกพี่สะใภ้ใหญ่ฉุดรั้งให้เดินไปยังไม่วายหันกลับมาจ้องเขม็งใส่หลินหลันด้วยความโกรธเกรี้ยว หลินหลันจึงฉีกยิ้มหวานใส่นางเป็นการยั่วยุ
หรูอี้มองดูแผ่นหลังของนายหญิงสะใภ้ใหญ่และแม่นางลูกพี่ลูกน้องแล้วกล่าวด้วยความไม่พึงพอใจ “เปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะถูกกักบริเวณไปสามเดือนก็แล้ว ทว่ายังคงประพฤติไม่ถูกทำนองคลองธรรมถึงเพียงนี้อยู่อีก”
หลินหลันกล่าวภายใต้ใบหน้าที่แต่งแต้มไว้ด้วยรอยยิ้มจางๆ “นั่นเป็นเพราะยังไม่มากพอให้เข็ดหลาบ ดังนั้นจึงยังจำไม่ขึ้นใจ”
เมื่อพ้นประตูข้างก็พบเจออวี๋เหลียน
เพราะการคาดเดาเกี่ยวกับประเด็นนั้น หลินหลันจึงตั้งใจมองไปที่อวี๋เหลียนเป็นพิเศษ เสื้อแขนยาวคอจีนทรงเข้ารูปสีชมพูอมม่วงพิมพ์ลวดลายดอกไม้คู่กับกระโปรงผ้าฝ้ายสีขาวนวลปักลวดลายดอกไม้ รูปร่างดูสูงกว่าครั้งเพิ่งมาเยือนเล็กน้อย ทั้งๆ ที่อายุเพียงสิบห้าปีทว่ารูปร่างกลับเริ่มมีสัดส่วนเว้าโค้งให้เห็นเด่นชัด นอกจากนั้นยังรู้จักแต่งแต้มสีสันบนใบหน้าจนงดงามราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ว่ากันตามจริง หลินหลันไม่ได้รู้สึกเลวร้ายต่ออวี๋เหลียนมากนัก ไม่ว่าเพราะอวี๋เหลียนขี้ขลาดตาขาวหรือเพราะรู้จักแสดงตนเจียมเนื้อเจียมตัว โดยรวมๆ แล้วนางอยู่ในบ้านนี้อย่างสงบเสงี่ยมรู้จักประมาณตนและระมัดระวังคำพูดคำจามาโดยตลอด
อวี๋เหลียนหน้าแดงอย่างไม่รู้ตัวเมื่อเห็นนายหญิงสะใภ้รองของบ้าน นางโน้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อคารวะแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “อวี๋เหลียนคารวะเอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าค่ะ”
หลินหลันรำพึงรำพันในใจ อยู่ดีๆ จะหน้าแดงขึ้นมาเพื่ออันใดกัน นางมิใช่หมิงอวินเสียหน่อย
หลินหลันยื่นมือออกไปประคองแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มิต้องมากพิธีไปหรอก นี่เจ้ากำลังจะไปคารวะเหล่าไท่ไทเช่นกันหรือ”
อวี๋เหลียนพยักหน้าอย่างเคอะเขินอีกครั้ง
“เช่นนั้นรีบไปเถิด! เหล่าไท่ไทกำลังอารมณ์ดีเชียวล่ะ!” หลินหลันฉีกยิ้มกว้าง
อวี๋เหลียนส่งเสียงอืมเบาๆ แล้วโน้มตัวลงเล็กน้อยอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าโถงจาวฮุยไป
หลินหลันเหม่อมองแผ่นหลังของนางไปชั่วครู่ ท่าทีของอวี๋เหลียนที่ปฏิบัติต่อนางดูเหมือนจะแตกต่างจากทุกวันที่ผ่านมา ราวกับเกรงกลัวนางอยู่เล็กน้อย ทั้งยังหน้าแดงก่ำอย่างแปลกประหลาด
“อวี๋เสี่ยวเจี่ยะท่านนี้ พูดจาและทำท่าทางแปลกประหลาดไม่เหมือนชาวบ้านเขานะเจ้าคะ” หรูอี้บ่นพึมพำตามสัญญาณความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้น
หลินหลันชายตามองนาง “อยู่ข้างนอก ช่วยระมัดระวังคำพูดเอาไว้หน่อย”
หรูอี้รู้ตัวว่าตนเองพลั้งปากไป นางแลบลิ้นอย่างทะเล้นและไม่เอื้อนเอ่ยใดๆ อีก
ช่วงประมาณเก้าโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น หลินหลันไปถึงร้านยาหลินจี้ตรงเวลาเพื่อรอฮว๋าเหวินไป่ หลังจากรอมาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ฮว๋าเหวินไป่ก็ยังไม่มาเสียที หลินหลันอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ หรือเพราะฮว๋าเหวินไป่รู้ตัวตนของนางแล้วจึงไม่มาตามนัดเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่ชอบใจของตระกูลตนเอง
เมื่อเรียนเชิญมาแล้วหนึ่งครั้ง ทว่าคนเขาไม่มา หลินหลันจึงรู้สึกไม่สะดวกใจเท่าใดนักหากจะไปหาถึงที่อีกครั้ง ทว่าเรื่องวัคซีนโรคฝีดาษกำลังค้ำคอนางอยู่ หลินหลันครุ่นคิดอยู่สักพัก แต่ก็ทำอันใดไม่ได้นอกจากให้ฝูอานไปถามไถ่ร้านยาแต่ละแห่งในเมืองหลวง ว่ามีผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อฝีดาษหรือได้ยินเรื่องราวเช่นนี้บ้างหรือไม่
ฝูอานกล่าว “เอ้อร์เส้าหน่ายนายขอรับ เท่าที่ทราบมาหากบ้านใดมีคนเป็นฝีดาษจะแขวนผ้าสีแดงไว้ที่หน้าประตูขอรับ ซึ่งขุนนางก็จะเข้าไปทำการบันทึกลงสมุดไว้แล้วส่งคนไปพาคนครอบครัวนั้นกักกั้นเอาไว้ หรือไม่ ให้ข้าน้อยไปสอบถามทางที่ว่าการประจำเมืองหลวงดีหรือไม่ขอรับ”
เพราะเขาเป็นคนหัวไวและจัดการเรื่องราวได้อย่างชาญฉลาดยิ่งนัก ดังนั้นหลินหลันถึงเห็นความสำคัญในตัวฝูอาน “เช่นนี้ก็จะดีมาก เจ้ารีบไปถามไถ่ทีสิ หากได้ข่าวคราวแล้วช่วยรีบมาบอกกล่าวที่จวนหลี่”
ในเมื่อฮว๋าเหวินไป่ไม่มา หลินหลันจึงทำได้เพียงกลับบ้านไปก่อน หลังรับประทานอาหารมื้อกลางวันเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันกักขังตนเองอยู่ภายในอาคารหนังสืออีกครั้ง หลังบ่ายสามโมงเพิ่งผ่านพ้นไป จิ่นซิ่วเข้ามารายงานว่ามีแม่นางผู้หนึ่งซึ่งกล่าวว่าเป็นน้องสาวของคุณชายฮว๋ามารอพบนายหญิงสะใภ้รองอยู่ด้านนอก
ฮว๋าเสี่ยวเจี่ยะ คนตระกูลฮว๋า? หลินหลันรีบกล่าวทันที “เจ้าพานางไปรอที่ห้องรับแขกเสียก่อน อีกเดี๋ยวข้าตามไป”
จิ่นซิ่วกล่าว “ฮว๋าเสี่ยวเจี่ยะผู้นั้นเอ่ยว่าอยากเรียนเชิญเอ้อร์เส้าหน่ายนายออกตรวจฉุกเฉินเจ้าค่ะ ซึ่งขณะนี้รถม้าก็รออยู่หน้าทางเข้าออกจวนเจ้าค่ะ”
หลินหลันนิ่งเงียบ หรือว่าฮว๋าเหวินไป่ต้องการพบนางกัน นางนัดหมายเขา ทว่าเขาไม่มา พอยามนี้กลับมาหาที่ถึง อย่างไรก็ตามด้วยเรื่องที่เร่งด่วน จึงไม่มีเวลาให้หลินหลันได้ไตร่ตรองมากนัก นางสั่งให้หยินหลิ่วไปหยิบกล่องยาแล้วติดตามนางไป
เมื่อออกพ้นประตูใหญ่ก็เห็นรถม้าหนึ่งคันกำลังจอดนิ่งอยู่หน้าทางเข้าออก สาวใช้ผู้หนึ่งเดินเข้ามาต้อนรับด้วยการคารวะให้หลินหลัน “หลี่ฮูหยิน แม่นางตระกูลข้ากำลังรออยู่บนรถม้าเจ้าค่ะ เรียนเชิญฮูหยินขึ้นรถได้เลยเจ้าค่ะ”
ผู้ควบคุมรถมานำเก้าอี้สำหรับเหยียบขึ้นวางให้เสร็จสรรรพ ตามด้วยสาวใช้ผู้นั้นช่วยประคองหลินหลันขึ้นรถ “หยินหลิ่ว นำกล่องยาส่งมาให้ข้าเถอะ!” หลินหลันกล่าว
ผ้าม่านรถถูกเลิกขึ้น คนผู้หนึ่งยื่นศีรษะออกมาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “หลี่ฮูหยิน มิต้องแบกกล่องยาไปหรอกเจ้าค่ะ ทางด้านข้านั้นมีอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ครบครันอยู่แล้ว ขอเพียงตัวหลี่ฮูหยินไปก็เป็นพอเจ้าค่ะ” หลังจากนั้นจึงหันไปกล่าวกับหยินหลิ่ว “เจ้าก็มิจำเป็นต้องติดตามไปด้วยหรอก ไว้เสร็จธุระแล้วข้าจะมาส่งนายหญิงของเจ้ากลับมา”
หลินหลันมองดูรูปลักษณ์หญิงสาวที่หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงฮว๋าเหวินไป่ แม้ว่าจะรู้สึกไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่ค่อนข้างบุ่มบ่ามของนางเช่นนี้ ทว่าคิดๆ ดูแล้วอาจเป็นฮว๋าเหวินไป่เรียกนางไปหา จึงกล่าวอย่างให้ความร่วมมือ “หยินหลิ่ว เจ้ากลับไปก่อนเถอะ!”
หยินหลิ่วไม่วางใจ นางกล่าวด้วยความกังวล “ทว่า…”
หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน “มิเป็นไร ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับมาแล้ว”
หลินหลันเข้าไปนั่งบนรถม้าเป็นที่เรียบร้อย ล้อรถจึงเริ่มหมุนเคลื่อนตัวออกไป
“หลี่ฮูหยิน โปรดอภัยที่เหวินหยวนเสียมรรยาทด้วยเจ้าค่ะ ทว่าทำเช่นนี้จะปลอดสายตาคนหน่อยเจ้าค่ะ” ฮว๋าเหวินหยวนสตรีผู้งดงามมองดูสะใภ้รองแห่งตระกูลหลี่ท่านนี้ที่ผู้เป็นพี่ชายเรียกว่าเป็นยอดหมอหญิง แน่นอนละ ความสนใจเดิมทีที่นางมีต่อหลินหลันกลับมิใช่เพราะคำบอกเล่าของพี่ชาย แต่เป็นเรื่องที่แพร่สะพัดในเมื่อหลวงว่าคุณชายรองตระกูลหลี่แต่งงานกับหญิงชาวชนบทท่านหนึ่ง สะใภ้รองแห่งตระกูลหลี่ท่านนี้รูปลักษณ์ไม่ขนาดที่เรียกได้ว่างดงามจนชวนตกตะลึง ทว่ามองดูแล้วกลับรู้สึกสบายตาไม่ชวนเบื่อหน่าย เป็นความงดงามระดับปานกลางที่แฝงไว้ด้วยเสน่ห์บางอย่าง นอกจากนั้นยังดูอ่อนโยนและชาญฉลาด
“เป็นพี่ชายของเจ้าต้องการพบข้าใช่หรือไม่” หลินหลันเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“วันก่อนพี่ชายข้าถูกเรียกเข้าพระราชวังช่วงกลางดึก วันนี้เพิ่งได้กลับออกมา ทันทีที่รู้ว่าหลี่ฮูหยินมาหาเขาแต่ก็ล่วงเลยเวลานัดหมายไปแล้ว เขาเองก็ต้องรีบจัดการเก็บสัมภาระ จึงขอให้ข้ามาชี้แจงต่อหลี่ฮูหยินเจ้าค่ะ” ฮว๋าเหวินไป่กล่าว
หลินหลันรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย เขามิได้หลบหลีกหนีหน้าแต่อย่างใด ทว่าเป็นเพราะมีเรื่องเข้ามาประจวบเหมาะพอดี เพียงแต่…
“พี่ชายเจ้าเก็บสัมภาระ หรือว่าพี่ชายเจ้าต้องไปส่านซีเช่นนั้นหรือ” หลินหลันเอ่ยถาม
ฮว๋าเหวินหยวนพยักหน้าแล้วกล่าว “หลังพบหลี่ฮูหยินเป็นที่เรียบร้อย เขาก็จะออกเดินทางแล้วเจ้าค่ะ”
หลินหลันตกตะลึง รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ
รถม้าเคลื่อนไปตามทางจนออกพ้นประตูตะวันตกก่อนจะหยุดลงที่ศาลาแห่งหนึ่ง ฮว๋าเหวินหยวนกล่าว “พี่ชายข้ารอหลี่ฮูหยินอยู่เบื้องหน้านั่นเจ้าค่ะ”
หลินหลันเห็นฮว๋าเหวินไป่เดินเข้ามาต้อนรับอย่างเร่งรีบทันทีที่เห็นนางลงจากรถม้า เขายกสองมือขึ้นคารวะแล้วกล่าว “ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ข้ามิทราบว่าพี่หลิน…มิทราบว่าหลี่ฮูหยินนัดหมายไว้เมื่อวานนี้”
หลินหลันคารวะอย่างเก้ๆ กังๆ เมื่อต้องพบเจอหน้ากันหลังตัวตนทั้งสองถูกเปิดเผยจึงอดรู้สึกเคอะเขินไม่ได้ มันไม่เหมือนตัวตนนั้นที่รู้สึกสบายๆ เป็นตัวของตัวเอง “เหวินหยวนอธิบายต่อข้าแล้ว โชคดีที่ยังสามารถพบเจอสักครั้งก่อนเจ้าออกเดินทาง”
ฮว๋าเหวินไป่เผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยและอดรู้สึกวางตัวไม่ถูกขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน
ยามนี้หลินหลันถึงตระหนักได้ว่าประโยคที่ตนเองกล่าวออกไปเมื่อครู่นี้ทำให้คนเขาเกิดความรู้สึกคลุมเครือขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย นางจึงส่งเสียงกระแอมสองครั้งแล้วกล่าว “ข้ามาหาเจ้าด้วยเรื่องโรคระบาดฝีดาษในมณฑลส่านซี”
ดวงตาของฮว๋าเหวินไป่สว่างไสวขึ้นเล็กน้อย “หลี่ฮูหยินมีวิธีอันใดๆ ดีๆ หรือไม่”
“ข้ารู้มาว่าสถานการณ์โรคระบาดทางด้านนั้นรุนแรงมากและมีแนวโน้มที่แย่ลงเรื่อยๆ วิธีการแก้อย่างทันตาเห็นน่ะข้าไม่มีหรอก ทว่าข้ามีวิธีหนึ่งที่อาจช่วยควบคุมโรคระบาดในระยะยาวได้” หลินหลันกล่าว
นัยน์ตาของฮว๋าเหวินไป่เปล่งประกายมากยิ่งขึ้น “ข้ายินดีสดับรับฟังอย่างยิ่ง”
หลินหลันนำแนวคิดการปลูกฝีให้เขาฟังอย่างละเอียด ฮว๋าเหวินไป่ขมวดคิ้วเป็นระยะๆ ระหว่างรับฟัง “แนวคิดของเจ้าประเภทนี้เป็นเรื่องที่ใจกล้ามาก และเป็นแนวคิดที่แปลกใหม่มากเช่นกัน เพียงแต่ดูเหมือนจะมีความเสี่ยงอย่างแน่นอน”
หลินหลันกล่าวขึ้นทันควัน “เดิมทีข้าอยากหาผู้มีอาการป่วยจำพวกนี้ที่อยู่ในเมืองหลวงมาลองทดสอบดู เพียงแต่ยามนี้เวลาค่อนข้างจำกัด ทว่าข้าเชื่อมั่นว่าวิธีนี้จะได้ผล”
ฮว๋าเหวินไป่ครุ่นคิดชั่วครู่แล้วจึงกล่าว “ก่อนที่ข้าจะไปเขตโรคระบาดครานี้ จะลองยึดตามวิธีเจ้าดู หากได้ผล เช่นนั้นคงเป็นโชคดีของปวงประชายิ่งนัก”
หลินหลันคาดไม่ถึงว่าเขาจะยินยอมเชื่อในคำพูดของนาง “เจ้าเชื่อข้าหรือ”
ฮว๋าเหวินไป่เผยรอยยิ้มเล็กน้อย “คนของสำนักหมอหลวงปรึกษาหารือกันสองวันสองคืนยังมิได้ข้อสรุปอันใดที่เป็นจริงเป็นจังออกมาเลย ซึ่งอาจเป็นเพราะความคิดของทุกคนค่อนข้างอนุรักษ์นิยมเกินไป ขอเพียงช่วยชีวิตปวงประชาให้รอดพ้นความทุกข์ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีใดล้วนคุ้มค่าแก่การทดลองทั้งสิ้น”
หลินหลันแอบมีลางสังหรณ์บางอย่าง “เจ้าจะทดลองกับตนเองเช่นนั้นหรือ”
ฮว๋าเหวินไป่ประหลาดใจต่อความหัวไวของนางก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า”
หลินหลันไม่รู้ว่าควรพูดอันใดออกไปถึงจะดี “ข้าก็เชื่อมั่นในตนเองเช่นกัน เพียงแต่หลังปลูกฝี ร่างกายจะมีอาการตอบสนองที่มิค่อยสบายเท่าใดนัก…”
“ในเมื่อข้าตัดสินใจไปเขตโรคระบาด ข้าเองก็คาดการณ์ถึงกรณีที่เลวรายที่สุดเอาไว้แล้ว หากวิธีของเจ้าทำให้ข้าหลุดพ้นจากอันตรายอันใหญ่หลวงได้แล้วไยข้าจะไม่ยินดีล่ะ”