ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่168 ทะเลาะ
ขณะที่ทางด้านนี้กำลังทุกข์ระทมและน่าเวทน่าเป็นที่สุด ทางด้านนั้นกลับกระปรี้กระเปร่าและเริงร่ายิ่งนักหลังหลินหลันได้รับฟังคำบอกกล่าวจากตงจึ เห็นทีว่าครั้งนี้แม่มดชราคงโมโหนางแทบขาดใจอย่างแน่นอน
หลินหลันสั่งการจิ่นซิ่วให้ไปจับตามองทางด้านโถงหนิงเฮ๋อไว้อีกหน่อย เพื่อสังเกตการณ์ว่าจะมีความเคลื่อนไหวใดๆ อีกหรือไม่
หลี่หมิงอวินขึ้นไปอยู่บนเตียงนอนหลังอาบน้ำอาบท่าเป็นที่เรียบร้อย เขามองดูท่าทีอันเริงร่าของหลินหลันโดยขมวดคิ้วพลางตบมือลงไปบนที่นอน “ละครสนุกเพิ่งเริ่มต้นขึ้นแท้ๆ เจ้าก็ตื่นเต้นถึงเพียงนี้แล้ว เช่นนั้นค่ำคืนนี้จะได้หลับได้นอนหรือไม่”
หลินหลันหัวเราะคิกคักขณะเดินไปเข้าไปหา นางหย่อนตัวลงนั่งบนขอบเตียงแล้วกล่าวขึ้นโดยเอียงศีรษะเล็กน้อย “ถึงอย่างไรในนี้ก็ปราศจากคนนอก เจ้าอนุญาตให้ข้าดีใจหน่อยจะเป็นไรไป ความแค้นนี้อัดอั้นตันใจข้ามาตั้งนานแล้ว”
หลี่หมิงอวินอมยิ้มแล้วกล่าวด้วยความเอ็นดู “เจ้านี่นะ เดาว่าทางด้านนั้นคงต้องมีทะเลาะกันขึ้นมาบ้างแล้วกระมัง แล้วนี่เจ้ายังจะรอไปเรื่อยๆ เช่นนี้หรือ”
หลินหลันจรดจุมพิตลงบนใบหน้าของเขา “ข้ารู้สึกตาสว่างเสียยิ่งกระไรดี ข้าจะรออยู่เช่นนี้ละ พรุ่งนี้เจ้ายังต้องไปราชสำนักอีก เจ้ารีบนอนพักผ่อนเถิด ไว้พรุ่งนี้เช้าข้าจะบอกเล่าสถานการณ์สงครามฉากใหม่ให้ฟัง”
หลี่หมิงอวินกอดนางเอาไว้พลางบ่นโอดครวญ “เจ้าดูข้าสิ ได้รับบาดเจ็บที่มือเช่นนี้แล้ว เจ้าต้องปลอบประโลมข้าหน่อยถึงจะถูก”
“ได้รับบาดเจ็บยิ่งต้องพักผ่อนแต่หัวค่ำ อย่าดื้อ รีบนอนพักผ่อนเสีย” หลินหลันขัดขืนจนหลุดออกจากอ้อมกอดเขา นางช่วยห่มผ้าห่มให้เขาอย่างดิบดีขณะกล่าวเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงนุ่มนวล
หลี่หมิงอวินเข้าใจนิสัยใจคอนางเช่นกัน เรื่องแย่ๆ นางอดกลั้นได้ แต่เมื่อดีอกดีใจขึ้นมาก็จะสะกดกลั้นไว้ไม่อยู่ เขาจึงทำได้เพียงปล่อยนางตามสบาย แต่ยังไม่วายกล่าวกำชับต่อนาง “เจ้าเองก็อย่าได้อยู่จนดึกดื่นเกินไปล่ะ ระวังพักผ่อนไม่เพียงพอแล้วไปตรวจจับชีพจรให้ผู้อื่นเขาทั้งอาการสะลึมสะลือ”
หลินหลันจ้องเขม็งใส่เขา “เจ้าสาปแช่งข้าให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ”
นางฮานรู้สึกหัวใจปวดร้าวและกลัดกลุ้มอย่างยิ่ง เรื่องนี้ควรจัดการอย่างไรดี
“อวี๋เหลียนกำลังคุกเข่าอยู่ด้านนอกเจ้าค่ะ” ชุนซิ่งเข้ามารายงาน
นางฮานขมวดคิ้วแน่นและกล่าวด้วยความหงุดหงิด “ยังมีหน้ามาอีกหรือ”
ชุนซิ่งกล่าว “จะให้อวี๋เหลียนเข้ามาหรือไม่เจ้าคะ”
“ปล่อยในนางคุกเข่าไป นางอยากคุกเข่านานเท่าใดก็ให้นางคุกเข่าไป” นางฮานแทบอดรนทนไม่ไหวที่จะฉีกหน้าของอวี๋เหลียน
ชุนซิ่งอ้ำๆ อึ้งๆ ก่อนจะถอยออกไปอย่างเงียบๆ
แม่เจียงกลับเข้ามาหลังผ่านไปเพียงชั่วครู่
“…”
“เป็นอย่างไรบ้าง” นางฮานเอ่ยถามเสียงบางเบา
“บ่าวเกลี้ยกล่อมไปสองสามประโยคถึงได้ยอมสงบลงแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้าเกลี้ยกล่อมนางไปทำไมกัน ควรปล่อยให้นางตรึกตรองให้ดีๆ เสียบ้าง ใครๆ ก็ว่ากันว่าผิดเป็นครู แต่นางกลับมิเคยจดจำเลยสักนิด” นางฮานกล่าวอย่างแค้นใจ “ก็เพราะนางเป็นเช่นนี้ จิตใจไม่แน่วแน่ ทั้งยังไร้ความสามารถแล้วยังชอบก่อเรื่อง ภายภาคหน้าไปอยู่บ้านแม่ยาย มีหวังคงได้ถูกย่ำยีไม่เหลือชิ้นดี”
แม่เจียงนิ่งเงียบ มิน่าพูดออกไปเลยจริงๆ เชียว นางครุ่นคิดชั่วครู่แล้วจึงกล่าว “ท่านเรียกอวี๋เหลียนเข้ามาถามไถ่ดูว่านางพูดอันใดกับเหล่าเหยียไปบ้างดีหรือไม่เจ้าคะ”
นางฮานสบถ ฮึ อย่างเย็นชา “มีอันใดให้ต้องถามไถ่อีก ถามจากปากนางแล้วคิดหรือว่าจะได้ความจริงออกมา”
แม่เจียงแอบถอนหายใจ นี่สินะที่เขาเรียกว่าโกรธจนเลอะเลือน
“อย่างน้อยๆ ท่านจะได้ถามนางว่าได้สารภาพอันใดออกมาหรือไม่ ท่านจะได้วางแผนรับมือแต่เนิ่นๆ อย่างไรล่ะเจ้าคะ”
นางฮานสูดลมหายใจเข้าหนึ่งเฮือกราวกับเพิ่งได้สติฟื้นคืนมา นางลืมนึกถึงประเด็นนี้ไปเสียสนิท
“ไปนำตัวนางเข้ามา”
แม่เจียงเดินไปและเตรียมเปิดม่านประตู ทว่าม่านดังกล่าวกลับถูกคนเลิกเปิดขึ้นเสียก่อน ตามมาด้วยใบหน้าเย็นชาของนายท่านที่เดินเข้ามาพร้อมกับรังสีอำมหิตที่แพร่กระจายจนรู้สึกหนาวสั่นไปตามๆ กัน
“เหล่า…เหล่าเหยีย…” แม่เจียงถึงกับพูดติดๆ ขัดๆ
นางฮานตระหนกตกใจ เดิมทีอยากลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปต้อนรับ ทว่าเมื่อนึกถึงภาพฉากเหตุการณ์ที่ทำให้คนถึงขั้นกระอักเลือดได้นั้น ฝีก้าวจึงคล้ายกับถูกติดหนึบอยู่บนพื้นไปเสียแล้ว
หลี่จิ้งเสียนตวัดสายตามองใบหน้าเย็นชาของนางฮาน เขาสะบัดชายชุดคลุมแล้วหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ประจำตน เขายังไม่ทันได้ระบายความโกรธเกรี้ยว ทว่านางกลับชักสีหน้าให้เขาดูเสียก่อนแล้ว
ทั้งสองคนต่างปั้นหน้าบึ้งตึง ภายในห้องจึงคละคลุ้งไปด้วยบรรยากาศที่ทำให้คนทั้งคนหายใจหายคอไม่สะดวก แม่เจียงจึงเรียกชุนซิ่งให้ไปยกน้ำชามาให้อย่างรู้งาน
พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายถือถ้วยน้ำชาเอาไว้แต่กลับไม่ดื่มมัน โดยทำเพียงมองดูใบชาที่ล่องลอยอยู่บนผิวน้ำ “คนช่วยเป็นหูเป็นตาให้ไม่น้อยเลยนี่” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
นางฮานเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยไม่ต่างกัน “น้องก็แค่เป็นห่วงท่านพี่ เกรงว่าจะมีสาวชู้ที่ไม่รู้ประสีประสาบางส่วนทำลายชื่อเสียงอันดีงามของท่านพี่”
หลี่จิ้งเสียนไม่แม้แต่จะชายตาขึ้นมอง “เกรงว่าจะมีผู้อื่นที่คิดทำลายชื่อเสียงของข้าเสียมากกว่ากระมัง” เขากล่าวอย่างเหยียดหยัน
นางฮานรู้อยู่แล้วว่าถึงอย่างไรผู้เป็นสามีก็ต้องจิกกัดนางกลับคืน นางจึงแสยะยิ้มเย็นชาแล้วกล่าวออกไป “มิได้กระทำเรื่องผิดมโนธรรม ย่อมมิจำเป็นต้องเกรงกลัวผู้ใดมาว่ากล่าวเอาได้นี่เจ้าคะ ท่านพี่ ท่านเองก็ประพฤติตนถูกต้องมาโดยตลอด แล้วผู้ใดจะทำร้ายชื่อเสียงอันดีงามของท่านได้หรือเจ้าคะ”
ด้วยภายในห้องขณะนี้เงียบสงัดอย่างยิ่ง เมื่อหลี่จิ้งเสียนนำฝาถ้วยน้ำชาปิดลงอย่างหนักมือจึงเกิดเสียงดังสนั่นแก้วหูเป็นพิเศษ ส่งผลให้แม่เจียงถึงกับตกใจสะดุ้งเฮือก
“เจ้าอย่าคิดว่าข้ามิรู้ความนึกคิดของเจ้า ข้าจะบอกเจ้าให้ ไม่ว่าอวี๋เหลียนเป็นเจ้าวางแผนมาหรือไม่ วันนี้ นางก็ตกเป็นของข้าแล้วอยู่ดี” หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยเสียงแข็งกร้าว “หากเรื่องราวทั้งหมดในวันนี้ มีผู้ใดกล้าแพร่งพรายออกไปด้านนอกแม่เพียงเสี้ยวประโยคเดียว มิว่าผู้ใดหน้าไหน ข้าจะตัดลิ้นของนางทิ้ง ทำให้นางพูดไม่ได้ไปชั่วชีวิต”
นางฮานโกรธเกรี้ยวขึ้นมาอีกระลอก เจ้านี่มันช่างเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอมผู้น่าเกรงขามเสียจริงเชียว นางฮานแสยะยิ้มแล้วกล่าว “อวี๋เหลียนก็แค่นำน้ำชาถ้วยหนึ่งเข้าไปให้เท่านั้นเอง ท่านพี่ถึงขั้นอดรนทนไม่ไหวและร้อนใจเพียงนั้นเลยหรือเจ้าคะ เกรงว่าท่านพี่จะคิดคะนึงอยู่ภายในจิตใจมาแต่แรกแล้วกระมัง”
หลี่จิ้งเสียนชักสีหน้าเคร่งขรึม หาได้มีความรู้สึกละอายแก่ใจไม่ เรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว เขาในฐานะผู้นำครอบครัวจึงจำเป็นต้องต่อสู้เพื่อกู้หน้าตากลับคืนมาโดยเร็วไว
“หรือการที่เจ้ายกขบวนคนกลุ่มหนึ่งมา…ก็คงมิได้เกรงกลัวสินะว่าจะสูญเสียสถานะของตนเองไป”
นางฮานเกือบหลุดตะโกนด่าทอออกไป ทว่าแม่เจียงคอยส่ายหน้าอยู่ตลอดเวลา นางฮานจึงสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามอย่างหนักเพื่อทำให้ตนเองสงบสติอารมณ์เข้าไว้ มองดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ดูเหมือนว่าอวี๋เหลียนหาได้เอ่ยว่าหมิงจูเป็นผู้สั่งการไม่ มิเช่นนั้น ทันทีที่ผู้เป็นสามีมาถึงคงต้องด่าทอบุตรสาวอย่างไม่เหลือชิ้นดีเป็นอันดับแรก
นางฮานแสยะยิ้ม “กระทั่งท่านพี่ยังมิรักษาหน้าแล้วเลย น้องยังต้องสนใจสถานะนี่ไปทำไมกันเจ้าคะ ถึงท่านพี่จะทะนุถนอมและอ่อนโยนต่อสตรี ทว่าท่านพี่ได้คิดไว้แล้วหรือยังเจ้าคะ ว่าจะชี้แจงต่อพี่ใหญ่และพี่สะใภ้อย่างไร ทำเช่นนี้กับคนของเขาแล้วเขาจะคิดอย่างไรหรือเจ้าคะ คนที่บ้านเกิดต่างรู้ว่าพี่สะใภ้ใหญ่พาอวี๋เหลียนมาอยู่เมืองหลวงและฝากฝั่งให้พวกเราช่วยหาคู่ครองดีๆ ให้อวี๋เหลียน ผลปรากฏว่าท่านพี่กลับจับนางขึ้นเตียงเองเสียนี่”
หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยความขุ่นเคือง “ตระกูลอวี๋ของนางมีสถานะเช่นไร มาเมืองหลวงเพื่อหาคู่ครองดีๆ อย่างนั้นหรือ อย่ายกย่องตนเองสูงส่งนักเลย ถึงแม้จะหาได้ก็เป็นได้แค่อนุภรรยาเขาเท่านั้น หรือว่าการที่นางได้มาเป็นอนุภรรยาของข้าหลี่จิ้งเสียนผู้นี้มันไม่ยุติธรรมสำหรับนางหรอกหรือ”
นางฮานไม่ยอมอ่อนข้อเช่นกัน “ท่านพี่ก็ช่างทะนงตนเสียเหลือเกินนะเจ้าคะ น้องเองยังมิกล้าตัดสินใจเลยด้วยซ้ำ พี่สะใภ้ใหญ่เป็นผู้พาอวี๋เหลียนมา เอาเป็นว่าพรุ่งนี้น้องจะเขียนจนหมายให้พี่สะใภ้ใหญ่มาพานางกลับไป หากท่านพี่อยากรับนางเป็นอนุภรรยาก็ค่อยไปพูดคุยกับพี่สะใภ้ใหญ่เองแล้วกันเจ้าค่ะ”
หลี่จิ้งเสียนรู้สึกโกรธเกรี้ยวจากคำพูดคำจาของนางฮานอย่างยิ่ง “เจ้าอย่าคิดว่าข้ามิรู้ลูกไม้ตื้นๆ ในความนึกคิดของเจ้าหรือ ข้ารู้ชัดกระจ่างแจ้ง และข้าจะบอกอะไรให้เจ้าเข้าใจไว้ด้วย หากเจ้าสงบเสงี่ยมไว้หน่อย เจ้าและข้าจะได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แต่หากเจ้ากล้าคิดบัญชีกับข้าอีกละก็ ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้าอย่างแน่นอน”
นางฮานเดือดดาลขึ้นมาทันใด “ข้าหรือคิดบัญชีกับเจ้า หากข้าต้องการคิดบัญชีกับเจ้า ต่อให้ข้าโง่เขลาเพียงใดก็ไม่มีทางส่งสตรีอื่นขึ้นไปบนเตียงเจ้าหรอก”
หลี่จิ้งเสียนหัวเราะขึ้นมาฉับพลัน “แล้วเรื่องรับหลิวอี๋เหนียงเป็นอนุภรรยามิใช่ว่าเจ้าเป็นผู้เอ่ยปากขึ้นมาเองหรอกหรือ ไหนจะนางเยี่ยซึ่งเป็นเจ้าเองที่ร่วมมือโดยหลีกทางให้นางขึ้นมามิใช่หรอกหรือ ลูกไม้นี้เจ้าหาได้ใช่มันเป็นครั้งแรกไม่”
นางฮานถึงกับพูดไม่ออก มันไม่ต่างจากการเผชิญประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เรื่องของอนุภรรยาหลิวอี๋เหนียงก็ว่าแย่แล้ว นี่เขายังมีหน้ามาเอ่ยถึงนางฮานอีกหรือ
“นั่นมิใช่เพราะเจ้าเกลี้ยกล่อมหลอกลวงข้าหรือไร เป็นเจ้าที่กล่าวว่าตระกูลเยี่ยร่ำรวย ตระกูลเยี่ยจะช่วยให้เจ้าก้าวหน้าสูงส่งได้ รอเจ้าโดดเด่นมีหน้ามีตาเมื่อใดก็จะทิ้งนางเยี่ย แล้วผลลัพธ์เป็นเช่นไรล่ะ เจ้าประสบความสำเร็จแล้วแต่กลับไม่เอ่ยถึงเรื่องทอดทิ้งนางเยี่ยสักคำ แล้วยังให้ข้าอยู่เป็นเบี้ยล่างนาง ข้าต่างหากที่เป็นคู่ครองเดิมของเจ้า ข้าอดทนลำบากมากถึงสิบหกปี แต่เจ้ากลับหยิบยกนางเยี่ยมาอุดปากข้า…หลี่จิ้งเสียน เจ้ายังมีจิตสำนึกอยู่บ้างหรือไม่” นางฮานโกรธเกรี้ยวจนแทบคลั่ง
แม่เจียงเห็นทั้งสองคนยิ่งพูดยิ่งรุนแรงไปกันใหญ่จึงรีบเข้ามาหักห้ามและกล่าวเกลี้ยกล่อม “ท่านอย่าได้โมโหไปเลยนะเจ้าคะ ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันดีๆ เดี๋ยวคนภายนอกมาได้ยินเข้าจะดูไม่ดีไปกันใหญ่ เหล่าเหยียก็มิได้หมายความเช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะ”
ในเมื่อฉีกหน้ากันถึงขึ้นนี้แล้ว หลี่จิ้งเสียนจึงไม่ไว้หน้าอีกเช่นกัน “ข้านี่หรือเกลี้ยกล่อมหลอกลวงเจ้า ตอนแรกที่เจ้าตอบตกลงก็มิใช่เพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายหรอกหรือ แล้วหลายปีมานี้ข้าเคยทำให้เจ้าเสียเปรียบหรือไม่”
นางฮานโกรธจนตัวสั่น รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจขึ้นมาฉับพลันจนต้องจับหน้าอกเอาไว้ ซึ่งขณะเดียวกันใบหน้าของนางก็เผยให้เห็นสีหน้าอันซีดเซียว
แม่เจียงรีบกล่าวทันควัน “เหล่าเหยียเจ้าคะ ฟ้าดินเป็นพยาน ฮูหยินมิได้ต้องการเล่นงานท่านจริงๆ นะเจ้าคะ หากมิเชื่อท่านไปถามอวี๋เหลียนดูก็ได้เจ้าค่ะ”
นางฮานกระวนกระวายใจ นี่แม่เจียงสติฟั่นเฟือนไปแล้วหรือไร พูดในเรื่องที่มิควรพูดแท้ๆ เกิดอวี๋เหลียนถูกกดดันจนลากหมิงจูออกมาด้วย หมิงจูยังจะรอดไปได้อีกหรือ ต่อให้นางต้องได้รับความไม่ยุติธรรมก็จำเป็นต้องปกป้องหมิงจูเอาไว้ให้ได้
หลี่จิ้งเสียนสบถ ฮึ อย่างเย็นชา “อวี๋เหลียนยอมรับแล้วว่านางเป็นผู้เสนอตัวเข้ามาเอง ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งข้าที่สั่งการให้นางพูดเช่นนี้เพื่อรักษาหน้าตาของทุกคนเอาไว้ หากเจ้ายังขายหน้าไม่พอก็เชิญโวยวายต่อไปให้เต็มที่แล้วกัน” หลี่จิ้งเสียนชักสีหน้าใส่แล้วเดินออกไปทันทีที่กล่าวจบประโยค
อวี๋เหลียนคุกเข่าอยู่ที่ลานบ้านเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว โดยไม่มีผู้ใดสนใจนางแม้แต่ผู้เดียว สายตาที่ทุกคนมองนางล้วนเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยามและรังเกียจ น้ำตาแห้งเหือดไป ท่อนขาที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็รู้สึกถึงอาการชาพร้อมๆ กับหัวใจที่ค่อยๆ ด้านชาขึ้นมาเช่นกัน เสียงทะเลาะเบาะแว้งภายในห้องล่องลอยออกมาแต่ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก ใช่แล้ว ยามนี้สิ่งที่นางต้องกังวลมิใช่ว่าตนเองจะขายหน้าหรือไม่ แต่เป็นเรื่องที่ว่านางจะรอดพ้นไปได้ด้วยดีหรือไม่ต่างหาก…
ไม่รู้เช่นกันว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดแล้ว เสียงฝีก้าวหนึ่งค่อยๆ คืบคลานเข้ามาใกล้ก่อนจะหยุดลงที่ข้างกายนาง อวี๋เหลียนเบนสายตาไปมองอย่างช้าๆ ก่อนจะเห็นรองเท้ากำมะหยี่หุ้มข้อสีดำคู่หนึ่งและชุดตัวยาวสีน้ำเงิน เป็นนายท่านนี่เอง
หลี่จิ้งเสียนมองดูเจ้าของเรือนร่างบอบบางอย่างไร้สีหน้าอาการใดๆ ขณะที่ภายในใจกลับรู้สึกถึงความหงุดหงิดเกินบรรยาย ก่อนหน้านี้เขารู้สึกหัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นนางจนไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ได้ ทว่ายามนี้เมื่อได้มองดูนางอีกครั้งกลับไร้ความรู้สึกสนใจแม้เพียงเล็กน้อย หลายปีมานี้เขาไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ต่อให้กับหลิวอี๋เหนียงก็ตาม เฮ้อ…ยามนั้นคงกล่าวได้เพียงแค่ไม่รู้ว่าผีสางตนใดมาเข้าสิง ตอนนี้ไม่ว่าจะถูกใจหรือไม่ ล้วนทำได้เพียงรับนางไว้เป็นอนุภรรยาเท่านั้นจึงจะเป็นคำชี้แจงให้พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ได้
“คืนนี้เจ้าก็คุกเข่าอยู่ที่นี่ไปก่อน หากมิได้บอกให้เจ้าลุกขึ้น เจ้าก็คุกเข่าไปเช่นนี้แหละ” หลี่จิ้งเสียนกล่าวสั่งการอย่างไร้เยื่อใย มิใช่ว่าเขาไม่รู้จักทะนุถนอมและอ่อนโยนต่อสตรี เพียงแต่การที่อวี๋เหลียนคุกเข่าอยู่ตรงนี้จะช่วยชะล้างความผิดพลาดให้เขาและนางฮานได้ เป็นผู้อื่นยั่วยวนเขา ซึ่งเขาเองก็มิได้บีบบังคับผู้อื่นแต่อย่างใด นี่จะช่วยให้สถานการณ์ดูแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้นคือ เขาไม่อาจปล่อยให้ผู้คนรับรู้ว่าเขาถูกเล่นงานโดยคนใกล้ตัวเข้าแล้ว ดังนั้นจึงทำได้เพียงให้นางคุกเข่าต่อไป
“เจ้าค่ะ…” อวี๋เหลียนขานรับอย่างว่าง่าย คุกเข่าหนึ่งคืนแล้วจะหลุดพ้นเคราะห์กรรมนี้ไปได้หรือไม่นะ
หลังผู้เป็นสามีสะบัดหน้าหนีเดินจากไปแล้ว นางฮานทั้งโกรธเกรี้ยว ทั้งเสียใจ ยิ่งไปกว่านั้นคือเจ็บปวดเคียดแค้น ความรู้สึกมากมายพรั่งพรูกันขึ้นมา แล้วจะให้นางอดกลั้นน้ำตาแห่งความทุกข์ระทมไปได้อย่างไรกัน
แม่เจียงพยายามอย่างหนักในการกล่าวปลอบใจ “เหตุใดท่านต้องทะเลาะกับเหล่าเหยียไปด้วยเจ้าคะ เหล่าเหยียต้องการรับอนุภรรยาก็ให้เขารับไปเถิดเจ้าค่ะ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องมีคำชี้แจงให้ทางด้านนั้นมิใช่หรือเจ้าคะ บ่าวเข้าใจดีว่าภายในใจของท่านรู้สึกแย่เพียงใด ทว่าท่านก็ต้องนึกถึงคุณชายใหญ่เอาไว้เช่นกัน อีกเดี๋ยวคุณชายใหญ่ก็ต้องสอบแล้ว อย่าให้เรื่องนี้มาส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของคุณชายใหญ่ถึงจะเป็นการดีนะเจ้าคะ เส้นทางหลังจากนี้ยังอีกยาวไกล ไหนๆ สิบหกปีก็อดทนมาได้แล้ว อดทนไปอีกสักระยะหนึ่งจะเป็นไรไปเจ้าคะ ก็อย่างที่ได้กล่าวไว้ว่ารอให้เรื่องราวทางด้านซานซีนั่นเข้าที่เข้าทางแล้ว ค่อยจัดการคนเหล่านี้ก็ยังมิสายนี่เจ้าคะ…”
นางฮานกล้ำกลืนความเคียดแค้น “ข้าเข้าใจทั้งนั้นแหละ ข้าก็แค่โกรธเกรี้ยวจนไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ได้ ท่านพี่ช่างไร้จิตใจเกินไปจริงๆ ”
“ไม่มีบุรุษผู้ใดปฏิบัติต่อสตรีโดยอยู่ยึดมั่นอยู่บนศีลธรรมหรอกเจ้าค่ะ เหล่าเหยียก็เป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไปเช่นกันเจ้าค่ะ” แม่เจียงกล่าวด้วยความอ่อนใจ