ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่202-1 ต้องการยืมหรือไม่
หลี่จิ้งเสียนไม่รู้เช่นกันว่าติงหลั้วเหยียนออกไปตั้งแต่เมื่อใดกัน เขารู้สึกราวกับมีแหผืนใหญ่มหึมาหว่านลงมาปกคลุมทำให้เขาไร้หนทางหลีกหนีไปได้ เป็นขุนนางมาตั้งสิบกว่าปี ที่ผ่านมาเขาล้วนวางกลยุทธ์ต่างๆ นานาไว้อย่างรอบคอบแนบเนียน ก้าวไปทีละขั้นทีละตอน ประสบความสำเร็จไปทีขั้นทีละตอน ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์จนตรอกเหมือนปลานอนนิ่งอยู่บนเขียงเช่นนี้มาก่อน
เขารู้สึกหวาดระแวงและหวาดกลัว ใต้เท้าหยางแห่งฝ่ายตรวจการขุนนางเป็นผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์อย่างยิ่ง เรื่องที่เขาตั้งมั่นแล้วไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่อาจฉุดรั้งให้เขาล้มเลิกความตั้งใจได้ หลายปีก่อน ใต้เท้าหยางผู้นี้ก็เคยเล่นงานเขา โดยการกล่าวว่าเขายักยอกเงินกองบรรเทาทุกข์จากอุทกภัย เพียงแต่เพราะหลักฐานไม่เพียงพอ จึงเอาผิดไม่ได้ และด้วยเหตุนี้ในหลายปีที่มาผ่านเขาจึงดำเนินเรื่องนี้อย่างละเอียดรอบคอบยิ่งขึ้น เพื่อจะได้ไม่ถูกคนเขาจับผิดได้ดังคราก่อน เขาจึงนำเงินส่วนหนึ่งฝากไว้ในโรงรับฝากเงินทงเป่าภายใต้ชื่อน้องสาม ส่วนทองคำทั้งหมดนำไปแอบซ่อนไว้ในห้องลับของบ้านในเมืองเทียนจิน ตนเองคิดว่าคงไม่มีผู้ใดรับรู้ได้อย่างแน่นอน แต่คาดไม่ถึงเลยว่าท้ายที่สุดท้ายใต้เท้าหยางจะยังคงตามรอยเส้นทางเงินในโรงรับฝากเงินจนได้
หลี่จิ้งเสียนอดรู้สึกเป็นกังวลและหวาดกลัวไม่ได้ เมื่อมองดูธนบัตรบนโต๊ะหนังสือ เงินเหล่านี้ไม่อาจนำมาใช้ในตอนนี้ได้เสียแล้ว เพราะเมื่อใดที่มีคนนำตั๋วเงินไปแลกเปลี่ยนที่โรงรับฝากเงินทงเป่า เขาคงได้เป็นอันจบเห่ โชคดีที่ตระกูลเกี่ยวดองเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่มีต่อกันจึงรีบมาส่งข่าวให้แก่เขา มิเช่นนั้น เขาคงกลายเป็นลูกไก่ในกำมือขุนนางเหล่านั้น
หลี่จิ้งเสียนรีบเรียกคนให้เตรียมรถม้าแล้วรีบนำตั๋วเงินกลับไปแอบซ่อนไว้ในบ้านทางตะออกของเมืองหลวงหลังนั้นเช่นเดิม ตอนที่สร้างบ้านหลังนั้น เขาใช้ชื่อลูกพี่ชายของอนุภรรยาหลิว หวังว่าขุนนางฝ่ายตรวจการเหล่านั้นจะไม่จมูกไวตามกลิ่นจนเจอ ไว้รอผ่านไปสักระยะค่อยคิดหาวิธีจัดการเงินเหล่านี้เสีย
หลี่หมิงเจ๋อเที่ยวตระเวนอยู่ด้านนอกแต่ไม่ได้รับสิ่งคาดหวัง เค้ากลับมาพร้อมใบหน้าเศร้าสลด ทันทีที่เห็นเช่นนั้น ติงหลั้วเหยียนจึงรู้ได้ทันทีว่าเรื่องที่ออกไปจัดการผ่านไปอย่างไม่ราบรื่น
“ข้าให้หงซางนำที่ดินที่ท่านแม่ให้ข้าไว้ตอนแต่งงาน แล้วยังมีเครื่องประดับอีกจำนวนหนึ่งไปจำนอง ทว่าที่ร้านรับจำนองยินยอมให้ราคาเพียงหนึ่งแสนสองหมื่นตำลึงเงินเท่านั้น วิ่งหาดูหลายร้านก็ให้ราคานี้กันทั้งนั้น” ติงหลั้วเหยียนรู้สึกโศกเศร้าไม่ต่างกัน เดิมคิดว่าจะเปลี่ยนเป็นเงินได้จำนวนมากกว่านี้
หมิงเจ๋อตื่นตกใจปนโกรธเคืองเล็กน้อย จึงกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดีเท่าใดนัก “มิใช่ว่าให้เจ้าเก็บของเหล่านั้นเอาไว้หรอกหรือ รีบไปไถ่คืนมาเสีย”
ติงหลั้วเหยียนก้มหน้าลงแล้วกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านพ่ออาจทำอะไรไม่ได้แล้ว คนของฝ่ายตรวจการขุนนางกำลังตรวจสอบเรื่องการรับสินบนของท่านพ่อ”
เมื่อได้ยินดังกล่าว หมิงเจ๋อรู้สึกหูอื้ออึงไปชั่วขณะ เขาตกตะลึงอยู่เนิ่นนานพอตัว ทันใดนั้นถ้วยน้ำชาใบหนึ่งถูกคว้าขึ้นแล้วเขวี้ยงไปกระทบกำแพงจนแตกกระจาย ทำให้เศษกระเบื้องกระเด็นไปทั่วสารทิศ
“บ้าฉิบ นี่มันคราวซวยของครอบครัวหลี่หรืออย่างไรกันถึงได้เกิดเรื่องแย่ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่คิดจะให้คนเขามีชีวิตอยู่ต่อเลยหรือ…” หลี่หมิงเจ๋อโวยวายคลุ้มคลั่งด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว
ติงหลั้วเหยียนมองดูหมิงเจ๋อที่กำลังอาละวาดประหนึ่งสัตว์ร้าย นางจึงเอ่ยขณะก้มหน้า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ที่ช่วยตระกูลหลี่ได้คงมีเพียงน้องรองเท่านั้นแล้ว”
หลี่หมิงเจ๋อหย่อนตัวลงนั่ง กอบกุมศีรษะพลางส่งเสียงตะโกนออกมาด้วยความทุกข์ “ทว่าข้ามีหน้าไปขอร้องเขาเสียที่ไหนกัน…”
ติงหลั้วเหยียนกล่าวอย่างใจเย็น “ตอนนี้ไม่เพียงแค่ปัญญาในการช่วยเหลือท่านแม่เจ้า แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการดำรงอยู่หรือดับสูญไปของตระกูลหลี่ ห้ามการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน มันยากยิ่งกว่าห้ามสายน้ำ เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลหลี่เช่นกัน แล้วไยจะนั่งมองดูเฉยๆ โดยไม่สนใจไยดีไปได้”
หลี่หมิงเจ๋อครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานแล้วจึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ แววตาสะท้อนการตัดสินใจอันแน่วแน่ “ข้าจะไปขอร้องเขา ให้ข้าคุกเข่าโขกหัวลงกับพื้นเพื่อเป็นการชดใช้ความผิดก็ไม่เป็นไร ขอเพียงเขายินยอมช่วยเหลือก็เป็นพอ”
“เมื่อครู่นี้ข้าขอร้องน้องสะใภ้ไว้แล้ว นางเอ่ยว่านางจะให้คนไปเรียกหมิงอวินกลับมาโดยเร็ว ส่วนที่เหลือคงขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วละ”
ทันทีที่กลับมาถึงจวน หลี่หมิงอวินมองเห็นหมิงเจ๋อคอยอยู่หน้าประตูทางเข้า เมื่อเห็นเขา หมิงเจ๋อรีบเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วก่อนจะยกสองมือขึ้นคารวะและกล่าว “เชิญน้องรองไปห้องหนังสือด้วยกันสักประเดี๋ยว”
หลี่หมิงอวินลังเลใจชั่วครู่ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางการเดินเพื่อมุ่งไปยังห้องหนังสือ
ตระกูลหลี่มีห้องหนังสือด้านนอกสองแห่ง ด้านซ้ายมือเป็นห้องหนังสือของหลี่จิ้งเสียน ด้านขวามือเป็นห้องหนังสือของหมิงอวิน
ทันทีที่พ้นประตูเข้าไป หมิงอวินได้ยินเสียงดัง ปึก จากด้านหลัง เมื่อหันไปมองจึงเห็นหมิงเจ๋อกำลังคุกเข่าตัวตรงดิ่งอยู่ตรงนั้น หมิงอวินตระหนกตกใจอย่างยิ่งจึงรีบเข้าไปประคอง “พี่ใหญ่ นี่ท่านทำอะไรของท่าน”
หมิงเจ๋อดันมือของหมิงอวินออกและกล่าวด้วยความรู้สึกจากใจ “น้องรอง ภายในใจข้าไม่อาจแบกรับได้อีกแล้ว ข้ารู้สึกย่ำแย่เหลือเกิน ที่ผ่านมา ข้ารู้สึกอิจฉาเจ้า อิจฉาที่มีท่านพ่อรักและเอาใจใส่ มีท่านพ่อที่รักเจ้า อิจฉาที่เจ้าได้เป็นคุณชายตระกูลหลี่อย่างถูกต้องและชอบธรรม ข้ายังเคยรู้สึกโกรธเคืองท่านแม่ของเจ้าด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่ท่านแม่ข้าเป็นภรรยาที่แต่งงานอย่างชอบธรรมคนแรกของท่านพ่อ กลับต้องใช้ชีวิตอยู่ในเงามืด ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีหน้ามีตา ตอนนี้ข้าเพิ่งได้รู้ ได้เข้าใจทั้งหมดว่าท่านพ่อและท่านแม่ข้าเห็นแก่ตัวเพียงใด และยังทำร้ายแม่เจ้ากับเจ้าไว้มากมายเพียงใด…”
หลี่หมิงอวินเผยสีหน้าเศร้าโศก ขณะเอื้อมมือเข้าไปประคองอีกครั้ง “พี่ใหญ่ ลุกขึ้นมาพูดคุยกันเถอะขอรับ”
“ไม่ น้องรอง เจ้าฟังข้านะ วันนี้จริงๆ แล้วข้าเองก็ไม่มีหน้ามาร้องขอความช่วยเหลือจากน้องรองเช่นกัน ทว่านอกจากน้องรอง ข้าก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งพาผู้ใดจริงๆ ท่านแม่ข้ามีความผิดและสมควรได้รับสิ่งที่ก่อไว้ ทว่าหมิงจูเป็นเพราะไม่รู้ประสีประสา ขอน้องรองช่วยละทิ้งความโกรธแค้นไว้ชั่วคราวและยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือท่านแม่ของข้าและหมิงจูด้วย…” หลี่หมิงเจ๋อเอ่ยขณะเตรียมก้มศีรษะให้หมิงอวิน
หมิงอวินรีบเอื้อมมือไปยับยั้งไม่ให้เขาโขกศีรษะลงกับพื้น “พี่ใหญ่ สรุปแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
หมิงเจ๋อมองไปที่น้องชายเขาด้วยสีหน้าตะลึงงัน “น้องรองยังไม่รู้อีกหรือ น้องสะใภ้มิได้บอกเจ้า?”
หลี่หมิงอวิแสร้งแสดงสีหน้างุนงง “หลินหลันเอ่ยเพียงว่าที่บ้านเกิดเรื่องขึ้น ให้ข้ารีบกลับมาบ้านโดยเร็วเท่านั้น” เรื่องเกิดมาหนึ่งวันแล้ว ทว่าบิดาและพี่ใหญ่ต่างไม่มาปรึกษาหารือกับเขา เขาจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น และคอยดูว่าใครจะอดกลั้นได้หนักแน่นกว่ากัน
“เร็วเข้า ลุกขึ้นเถิด”
ทั้งสองหย่อนตัวลงนั่ง หมิงเจ๋อนำเนื้อความบนจดหมายขู่กรรโชกทรัพย์ที่ได้รับเมื่อวาน ตลอดจนเรื่องที่ขุนนางฝ่ายตรวจการตรวจพบว่าบิดารับสินบนบอกเล่าให้หมิงอวินรับรู้
หลี่หมิงอวินนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนานก่อนกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าตึงเครียด “เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว เดิมทีเมื่อพบเจอเรื่องเช่นนี้ การแจ้งต่อทางการจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด แต่ก็เกรงก็ว่าคนชั่วนั่นจะเอาหลักฐานที่อยู่ในมือมาสร้างความเสียหายต่อท่านพ่อเอาได้…แล้วเรื่องนี้ท่านพ่อว่าอย่างไรบ้างหรือ”
“ทางด้านท่านพ่อนั่นจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้รับข่าวคราวใดๆ ทั้งสิ้น ข้าจึงได้แต่ฝากความหวังไว้ที่เจ้า” หลี่หมิงเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวังต่อบิดาชัดเจน
หลี่หมิงอวินครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วจึงกล่าว “ในบ้านตอนนี้มีเงินมากเพียงนั้นเสียที่ไหนกัน”
หลี่หมิงเจ๋อเผยสีหน้าละอายแก่ใจ “ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็คงเป็นอย่างที่ท่านแม่ข้าว่า หากมิใช่เพราะนางละโมบโลภมากก็คงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ บอกน้องรองตามตรง วันนี้ข้าไปหายืมเงินจนทั่วแต่กลับถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย พวกเขาล้วนรู้จักแต่ประจบสอพลอผู้ที่มีฐานะสูงส่ง เมื่อเห็นเจ้าได้ดิบได้ดีก็พร้อมจะเคียงข้างเจ้า แต่เมื่อประสบความยากลำบากขึ้นมาจริงๆ แต่ละคนล้วนหาข้ออ้างเพื่อหลบหลีกหนีหน้า”
หลี่หมิงอวินแสยะยิ้มน้อยๆ “แต่ไหนแต่ไรมาการช่วยเหลือคนฐานะดีมีให้เห็นอยู่มากนัก ทว่าการช่วยเหลือคนเดือดร้อนหาได้มีให้พบเห็นบนโลกนี้ไม่ ทว่า หากข้าคิดจะช่วยขึ้นมาจริงๆ ก็ยังพอมีวิธีอยู่บ้าง”
หลี่หมิงเจ๋อดวงตาพร่างพราวขึ้นทันที เขากล่าวด้วยท่าทีกระตือรือร้น “หากน้องรองยินยอมช่วยเหลือ พี่ใหญ่อย่างข้าจะขอบพระคุณอย่างสุดซึ้ง”
หลี่หมิงอวินจ้องมองเขาด้วยสายตาจริงจัง “ข้ามีเงื่อนไขหนึ่งอย่าง”
“น้องรองว่ามาได้เลย ขอเพียงข้าทำได้ ต่อให้ลำบากยากเย็นเพียงใดข้าก็จะไม่ลังเลเด็ดขาด” หลี่หมิงเจ๋อกล่าวทันควัน
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มบางๆ สายตาฉายความเย็นชาขึ้นกะทันหัน กล่าวออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้าต้องการให้ท่านแม่เจ้าไม่เหยียบเข้ามาในตระกูลหลี่อีกแม้แต่ก้าวเดียว และไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลหลี่อีกต่อไป”
หลี่หมิงเจ๋อตกตะลึง ความหมายของน้องชายคือให้บิดาหย่าขาดกับมารดาและให้เขาตัดขาดความเป็นแม่ลูกกับมารดาผู้นี้หรือ
“เจ้าอย่าโทษว่าข้าใจร้ายใจดำเลย สิ่งที่นางกระทำต่อข้า ต่อท่านแม่ข้า เจ้าเองก็น่าจะเข้าใจชัดเจนอยู่แล้ว นางต้องการเอาชีวิตข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าไม่เอาเรื่องนางก็ถือว่ามีเมตตาและใจกว้างมากพอแล้ว” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หลี่หมิงเจ๋อสีหน้าเศร้าสลด “ข้า…ตามจริงท่านแม่ข้าจากบ้านนี้ไปแล้ว เดิมทีก็ไม่คิดจะกลับมาอีกอยู่แล้วเช่นกัน”
“เจ้ารู้อยู่แก่ใจ ท่านแม่เจ้าจะกลับมาแน่ ท่านแม่เจ้าเพื่อเงินทองชื่อเสียง ขนาดฐานะภรรยาหลวงก็ยินยอมสละได้ ทั้งยังหันมาร่วมมืออีกด้วย แล้วมีหรือนางจะยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อกลับไปตกอยู่ในสถานะลำบากตรากตรำอีกอย่างง่ายดาย ตราบใดที่ท่านพ่อไม่ได้เขียนหนังสือหย่าขาด นางก็คงกลับมาอีกแน่ และตราบใดที่ภายภาคหน้าเจ้าลืมตาอ้าปากได้ เป็นใหญ่เป็นโต นางก็จะกลับมาอีกแน่นอน” หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ที่ข้ายอมช่วยเหลือ เป็นเพราะข้าเห็นแก่หน้าเจ้า และเป็นการนึกถึงตระกูลหลี่ แต่มิใช่เพื่อช่วยแม่เจ้าให้ได้มีวันใดวันหนึ่งหวนกลับคืนมาตระกูลหลี่อีกครั้ง หากเป็นเช่นนั้น ท่านแม่ข้าที่ลาจากโลกนี้ไปแล้วจะรู้สึกอย่างไร ภายภาคหน้าข้าจะมีหน้าพบนางในอีกภพภูมิได้อย่างไร”
หลี่หมิงอวินหมดคำพูดด้วยความละอายแก่ใจยิ่ง
“เพื่อตระกูลหลี่ เพื่อหน้าที่การงานในภายภาคหน้าของข้า ข้าไม่อยากจมปลักอยู่กับบุญคุณและความแค้นไปชั่วชีวิต เช่นนี้จะได้เป็นการจบๆ กันไป มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเจ้า สำหรับข้า และสำหรับตระกูลหลี่” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล หากกระทั่งบุตรชายของตนก็ยังตัดขาดนาง ชั่วชีวิตนี้แม่มดชราจะหวังพึ่งพาใครได้อีก ความทุกข์ระทมที่สุดในชีวิตของมนุษย์เรา จะเป็นไรไปได้หากมิใช่การถูกคนที่รักมากที่สุดทอดทิ้ง
หลี่หมิงเจ๋อเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น สีหน้าแสดงให้เห็นความทุกข์อย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าภายในจิตใจเขากำลังวุ่นวายสับสน
“พี่ใหญ่ ท่านตัดสินใจได้แล้วค่อยบอกข้าแล้วกัน” หลี่หมิงอวินไม่บีบบังคับเขาเช่นกัน เพราะมันไม่จำเป็นเลยสักนิด ในเมื่อคนที่ต้องเร่งรีบเป็นอีกฝ่ายต่างหาก
“ไม่ต้องคิดแล้วละ เอาตามที่น้องรองว่า หลังเรื่องนี้จัดการเรียบร้อยแล้ว ข้าจะส่งนางออกไป หลังจากนั้น…ไม่พบเจอกันอีกก็เป็นพอ”
หลังหลี่หมิงอวินเพิ่งเดินไปได้เพียงสองก้าวหมิงเจ๋อก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนรนใจ
หลี่หมิงอวินหันกลับมาอย่างใจเย็นแล้วมองหมิงเจ๋อก่อนจะพยักหน้าให้เขา “จำนวนเงินแปดแสนตำลึงมิใช่จำนวนน้อยๆ ข้าจะลองไปถามไถ่ท่านลุงดูแล้วกัน”
หลี่จิ้งเสียนเพิ่งกลับมาถึงบ้าน ทางด้านผู้ลักพาตัวนั่นส่งคนให้นำกล่องขนาดเล็กหนึ่งกล่องมาให้
ครั้งนี้หลินหลันและติงหลั้วเหยียนพากันมารวมตัวอยู่ที่โถงรับแขกส่วนหน้าด้วยเช่นกัน
หมิงเจ๋อตื่นตกใจจนโยนกล่องทิ้งทันทีที่เปิดกล่องนั่นออกดู นิ้วมือที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดร่วงหล่นบนพื้นสร้างความตื่นตระหนกให้แก่ผู้คนอย่างยิ่ง ติงหลั้วเหยียนถึงกับยกมือขึ้นปิดปากขณะจ้องมองมันพร้อมตัวสั่นสะท้าน
หลินหลันก้าวเดินขึ้นไปเบื้องหน้า มองดูนิ้วมือที่ถูกตัดมานั่น เห็นผิวหนังของนิ้วมือนั่นดูเหี่ยวย่นและหยาบกร้าน จึงเดาว่าน่าจะเป็นของแม่เจียง บ่าวสารเลวผู้นี้ การตัดนิ้วมือของนางออกไปหนึ่งนิ้วนับว่าให้ความเมตตาต่อนางมากแล้วด้วยซ้ำไป หลินหลันเอื้อมไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่ลอยละลิ่วตกมาอยู่ด้านข้าง นางกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็วก่อนจะยื่นส่งให้พ่อหลี่ผู้ไร้อย่างอายที่สีหน้าซีดเผือด
“ท่านพ่อ คนชั่วระบุไว้ว่าหากไม่นำเงินไปแลกเปลี่ยนตามเวลาที่กำหนดไว้ พวกเขาก็จะนำ…นำท่านแม่ไปโยนทิ้งในคูเมืองให้ตะพาบน้ำกิน แล้วค่อยนำคำฟ้องร้องที่ท่านแม่เขียนไว้ให้ด้วยมือของตนเองส่งให้ฝ่ายตรวจการขุนนางเจ้าค่ะ” หลินหลันเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
หลี่จิ้งเสียนเพิ่งคิดอยู่หยกๆ ว่าการจับตัวนางสารเลวผู้นั้นไปโยนให้ตะพาบน้ำกินเป็นสิ่งที่เขาอยากให้ทำมันเสียยิ่งกระไร ทว่าทันทีที่ได้ยินครึ่งประโยคท้าย เขาถึงกับสมองตื้อไปชั่วขณะ ขุนนางฝ่ายตรวจการพวกนั้นกำลังจ้องหาหลักฐานเอาผิดเขา หากคำฟ้องร้องนั่นตกไปอยู่ในมือพวกเขา เขาได้เป็นอันจบสิ้นแน่ และใครจะรู้ได้ว่านางสารเลวนั่นเขียนอะไรลงไปบ้าง
หลี่หมิงเจ๋อหลังเห็นนิ้วมือที่เต็มไปด้วยคราบเลือดนี้ก็หวาดหวั่น จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรนใจ “ท่านต้องรีบคิดหาวิธีนะขอรับ มิเช่นนั้น คนชั่วเหล่านั้นได้ทำอย่างที่ว่าแน่ขอรับ”
หลี่จิ้งเสียนตกอยู่ในสภาพอึดอัด เขาตะคอกด้วยความหงุดหงิด “เจ้าคิดว่าข้าไม่ร้อนใจเช่นนั้นหรือ ทว่าตอนนี้จะให้ไปเอาเงินตั้งแปดแสนตำลึงเงินมาจากไหนหรือ”
ระหว่างนั้นเองอาจินก็ส่งเสียงรายงานจากด้านนอก “เอ้อร์เส้าเหยียกับนายท่านใหญ่ตระกูลเยี่ยมาขอรับ”
เยี่ยเหล่าเหยียมาเช่นนั้นหรือ หลี่จิ้งเสียนตะลึงงันและสับสนเล็กน้อย ในเมื่อนายท่านใหญ่เยี่ยอยู่เมืองหลวงตั้งสี่ปีมาแล้ว ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเหยียบเข้ามาในจวนหลี่สักหน หลายต่อหลายครั้งที่เขาเชื้อเชิญ แต่อีกฝ่ายกลับไม่เคยให้เกียรติมาพบปะ แล้วไยครานี้กลับมาเยือนด้วยตนเองทั้งๆ ที่ไม่ได้เชื้อเชิญแต่อย่างใด
“เร็วเข้า รีบเชิญเข้ามาเร็วเข้า…” หลี่จิ้งเสียนพูดตะกุกตะกัก เขายังคงรู้สึกยำเกรงอยู่เล็กน้อยต่อพี่เขยคนโตผู้นี้
เยี่ยเต๋อฮ๋วยเดินมือไพล่หลัง ก้าวเดินอย่างองอาจเข้ามาในโถงรับแขกพื้นที่กว้างขวาง