ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่256ไม่วางใจ
“ป้าใหญ่ ท่านมีเรื่องอันใดก็ว่ามาเถอะเจ้าค่ะ!” เฝิงซูหมิ่นจิบน้ำชาแล้วกล่าวอย่างอ่อนหวาน
หลินต้าฟางกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อน “ก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใดหรอก หลายวันนี้ข้าเดินๆ ดูในบ้าน ปรากฏว่าข้ารับใช้ในบ้านล้วนเอ้อระเหยลอยชายกันอย่างมาก…” หลินต้าฟางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “น้องสะใภ้อ่า! มิใช่ข้าว่าท่านหรอกนะ เพียงแต่เป็นนายหญิงของบ้านทั้งทีก็ต้องแข็งกร้าวดุดันเข้าไว้ จะได้ทำให้ข้ารับใช้เกรงกลัวท่าน ข้ารับใช้เหล่านั้นรู้จักสังเกตสีหน้าอารมณ์ผู้คนเสียยิ่งอะไรดี อย่างน้องสะใภ้ประเภทนี้ สามีไม่อยู่ข้างกาย ตนเองก็ดูนิสัยอ่อนโยนโอบอ้อมอารี แล้วบรรดาข้ารับใช้จะไม่แอบขี้เกียจและไม่ให้ความยำเกรงท่านเอาหรือ”
เฝิงซูหมิ่นแสร้งเผยสีหน้าประหลาดใจ “หรือเจ้าคะ เหตุใดข้าถึงไม่รู้สึกเลย”
หลินต้าฟางกล่าว “ต่อหน้าท่านพวกนางต้องไม่กล้าเป็นธรรมดา แต่ท่านก็คงคอยจับตาดูพวกเขาตลอดเวลาไม่ได้หรอกกระมัง!”
เฝิงซูหมิ่นเป็นอันเข้าใจได้ นี่ป้าใหญ่ผู้คิดจะช่วยนางดูแลจัดการเรื่องในบ้านสินะ!
“ข้าว่านะ นี่เป็นเรื่องสำคัญยิ่งอย่างหนึ่งภายในบ้าน หากไม่มีคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้คอยช่วยเหลือ คงยุ่งยากจริงๆ” หลินต้าฟางกล่าวพลางมองสำรวจสีหน้าของน้องสะใภ้ คาดหวังว่าน้องสะใภ้จะให้นางรับหน้าที่นี้ ทว่าน้องสะใภ้เอาแต่ดื่มชาสบายใจเฉิบ เสมือนไม่เข้าใจความหมายในคำพูดนาง
หลินต้าฟางจึงทำได้เพียงพูดอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา “ผู้คนล้วนกล่าวว่าแม่นางที่มีภูมิหลังมาจากตระกูลขุนนางล้วนดูถูกดูแคลนชาวชนบท ทว่าน้องสะใภ้ท่านปฏิบัติต่อพวกเราดีจริงๆ ข้าในฐานะพี่สาวสามีท่านรู้สึกประทับใจอย่างยิ่ง! ไม่รู้ว่าควรพูดอันใดถึงจะดี ข้าเลยปรึกษาหารือกับลุงเขยท่าน รู้สึกว่าจะอย่างไรก็ควรช่วยแบ่งเบาน้องสะใภ้บ้างสักนิดสักหน่อย พวกเราถึงจะสบายใจได้! เรื่องอื่นเราเองก็ทำไม่เป็น แต่เรื่องดูแลจัดการภายในบ้านแทนน้องสะใภ้เหล่านี้ก็พอทำได้อยู่ จะได้แบ่งเบาภาระน้องสะใภ้ด้วย ให้ข้ามองดูอยู่เฉยๆ มันปวดใจน่ะสิ!”
เฝิงซูหมิ่นนึกยิ้มเยาะอยู่ลึกๆ ในใจ ยังไม่เคยมีผู้ใดกล่าวว่านางดูแลจัดการเรื่องในบ้านไม่ได้เรื่อง เรื่องอื่นนางไม่กล้าเชยชมตนเองได้เต็มปาก แต่เรื่องดูแลจัดการภายในบ้านนางยังถือว่าไม่เป็นสองรองใคร ข้ารับใช้ที่อยู่ในจวนต่างก็ปฏิบัติตามกฎระเบียบ ปฏิบัติอย่างเชื่อฟัง พอมาตกอยู่ในปากของพี่สาวสามีนางผู้นี้ กลายเป็นเกียจคร้านเอ้อระเหยลอยชาย เป็นข้ารับใช้ที่เสแสร้งเชื่อฟังยามอยู่ต่อหน้าเท่านั้นไปเสียได้ และนางก็กลายเป็นนายหญิงของบ้านที่ไร้สามีอยู่ข้างกายและอ่อนแอไร้ความสามารถ ฝีปากของพี่สาวสามีผู้นี้ นางไม่กล้าเชยชมจริงๆ อยากประจบสอพลอก็ประจบสอพลอไปสิ ไม่จำเป็นต้องเหยียบผู้อื่นเพื่อทำให้ตนเองสูงขึ้นเสียหน่อย อีกอย่าง พี่สาวสามีคนนี้จิตใจไม่ซื่อตรง สามีของนางคงยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ดวงตาจอมหัวขโมยนั่น หากให้พวกเขาดูแลจัดการจริงๆ เกรงว่าคงได้ขโมยทั้งหมดในบ้านนางจนหมดสิ้นกันพอดี
เฝิงซูหมิ่นพลิกฝาถ้วยน้ำชาอย่างสบายๆ และกล่าวอย่างใจเย็น “น้ำใจของป้าใหญ่ ข้าขอขอบคุณนะเจ้าคะ ทว่าข้าเชิญพวกท่านมาเป็นแขก แล้วจะให้พวกท่านเหน็ดเหนื่อยไปได้อย่างไรกัน หากท่านพี่รู้เข้าคงได้ตำหนิว่าข้าไม่รู้จักมรรยาทไม่รู้จักธรรมเนียมปฏิบัติหรือไร”
หลินต้าฟางกล่าว “ล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น คนครอบครัวเดียวกันไม่ช่วยเหลือคนในครอบครัว มันได้ที่ไหนกันหรือ อีกอย่างพวกเราชาวชนบท เดิมทีก็ทำนู่นทำนี่ตลอด พอมาวันนี้ไม่มีเรื่องอันใดให้ทำ มันสบายจนรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด”
เฝิงซูหมิ่นตัดบนนางด้วยการหัวเราะเล็กน้อย “ป้าใหญ่ก็อย่าได้ทำให้ข้าลำบากใจเลย พวกท่านแค่พักอาศัยอยู่ที่นี่ให้สบายใจไปสักระยะหนึ่งก็พอเจ้าค่ะ ไว้อากาศเย็นสบายแล้ว ข้าค่อยให้ผู้ดูแลบ้านส่งพวกท่านกลับไปเจ้าค่ะ”
เอ่อ! หลินต้าฟางตะลึงงัน คาดไม่ถึงว่าน้องสะใภ้จะพูดคำพูดนี้ออกมา ฤดูใบไม้ร่วงก็จะให้พวกเขากลับไปแล้วหรือ จะได้อย่างไรกัน การมาครั้งนี้ นางตั้งใจว่าจะไม่จากไปไหนอีกแล้ว
หลินต้าฟางกล่าวด้วยรอยยิ้มเก้ๆ กังๆ “น้องสะใภ้อ่า! บอกตามตรง การมาครั้งนี้ ข้าได้ขายที่ดินที่บ้านเกิดไปหมดเกลี้ยงแล้ว และตั้งใจว่าจะไม่กลับไปอีก เจ้าว่าพวกเราพี่สาวน้องชายพรากจากกันยาวนานเพียงนี้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันได้ เราตระกูลหลินก็เหลืออยู่แค่พวกเราพี่น้อง ข้าจึงไม่อยากแยกจากน้องชายข้าอีกแล้ว”
เฝิงซูหมิ่นอดหนักอกหนักใจขึ้นมาไม่ได้ คนเรานี่นะ! ไอ้มีความสามารถน่ะไม่น่ากลัวหรอก กลัวก็แต่ที่ไร้ยางอายนี่ละ นี่เท่ากับป้าใหญ่กำลังเสนอหน้าต้องการอยู่อาศัยที่นี่เสียแล้ว หากนางไม่ยินยอม ก็จะกลายเป็นน้องสะใภ้ผู้ชั่วร้ายที่ต้องการแยกพี่สาวน้องชายออกจากกัน นี่มันช่างไม่ต่างคำกล่าวที่ว่าการเชิญเทพเจ้าเข้ามาในบ้านเป็นเรื่องง่าย แต่จะเชิญเทพออกไปจากบ้านมันยากยิ่ง
เฝิงซูหมิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย “แบบนี้นี่เอง…”
“ก็ใช่น่ะสิ คนที่บ้านเกิดล้วนรับรู้ว่าน้องสะใภ้ตั้งใจส่งคนมารับพวกเรามาเสพสุขในเมืองหลวงเป็นการเฉพาะ ต่างก็อิจฉาริษยากันยกใหญ่ ล้วนกล่าวชมว่าน้องสะใภ้เป็นสะใภ้ที่ดีและมีเหตุมีผลรู้ประสีประสาซึ่งพบเจอได้ยากยิ่ง!” หลินต้าฟางยิ้มจนตาหยีขณะมองดูน้องสะใภ้ ครานี้ดูสิว่าท่านจะไล่คนเขาไปอย่างไรหรือ
เฝิงซูหมิ่นฉีกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยขณะมองดูหลินต้าฟางที่เผยสีหน้าได้ใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นจะกลับไปคงไม่ดีเท่าใดนัก ป้าใหญ่ก็อยู่ที่นี่ให้สบายใจแล้วกันเจ้าค่ะ! หากว่างจนรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวจริงๆ สวนหลังบ้านมีพื้นที่ว่างผืนหนึ่ง เดิมทีข้ามีความคิดจะหาต้นไม้มาปลูก หรือปลูกผักอะไรทำนองนี้ ป้าใหญ่กับลุงเขยคงต้องมีทักษะทางด้านปลูกไร่ทำสวนอย่างดีเป็นแน่ เช่นนั้นที่ผืนนั้นก็มอบให้พวกท่านไปจัดการแล้วกันเจ้าค่ะ”
พวกเจ้าต้องการอยู่ที่นี่ก็เชิญอยู่ไป บทตัวร้ายนี่นางไม่ขอกระทำ แต่เดี๋ยวก็จะมีคนมากระทำเอง หากสามีนางรู้ว่าตอนนั้นพี่สาวของตนเองหลอกลวงเขา ด้วยอุปนิสัยของสามีนาง พวกเจ้ายังจะหน้าเชิดหน้าลอยไปได้อีกสักเท่าใดหรือ พวกเจ้าว่างนักมิใช่หรือไร หน้าที่ผู้ดูแลจัดการเลิกคิดไปได้เลย ภาระงานภายในจวน จะมอบให้คนอื่นไม่ได้เป็นอันขาด แต่หากแบ่งพื้นที่ให้พวกเจ้าสักแปลงก็ยังพอได้อยู่ เฝิงซูหมิ่นจ้องมองหลินต้าฟางด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยเช่นกัน ครานี้ เจ้าจะสรรหาพูดพูดใดมาอีกหรือ
หลินต้าฟางได้ยินดังกล่าวถึงกับหน้าเสียไปพักใหญ่ นางพูดปากเปียกปากแฉะและหว่านล้อมไปถึงเพียงนั้นแล้ว ท้ายที่สุดได้รับแค่หน้าที่ปลูกไร่ทำสวน? นี่มิเท่ากับเป็นการหาภาระใส่ตัวหรอกหรือ น้องสะใภ้ผู้นี้ไม่ง่ายในการต่อกรเอาเสียเลย! มองดูอ่อนโยน แต่คำพูดคำจากลับเบ็ดเสร็จไร้ที่ติ
“ป้าใหญ่ยังมีเรื่องอันใดอีกหรือไม่” เฝิงซูหมิ่นเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
หลินต้าฟางเผยรอยยิ้มเจื่อน “ไม่…ไม่มีแล้วละ”
“เช่นนั้นป้าใหญ่รีบกลับไปพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ! ข้ายังต้องดูสมุดบัญชีสักน้อย แม่หวัง ช่วยไปส่งป้าใหญ่ทีสิ” เฝิงซูหมิ่นออกคำสั่งอย่างไร้ความลังเล
หลินต้าฟางมาเยือนอย่างมีชีวิตชีวา ออกไปอย่างหดหู่ใจ หากไม่ใช่แม่หวังตามติดอยู่ด้านหลัง นางคงต้องบ่นพึมพำสักสามสี่ประโยค ครานี้เป็นอันจบกัน เดี๋ยวกลับไปสามีนางคงต้องกล่าวว่านางไร้ความสามารถเป็นแน่
หลินหลันนอนหลับไม่สนิทตลอดทั้งคืน ข้างกายมีเด็กน้อยหอยสังข์คนนี้นอนอยู่ด้วย มือน้อยจ้ำม่ำคล้องลำคอของนาง ท่อนขาน้อยๆ ที่จ้ำม่ำพาดบนหน้าท้องของนาง ใบหน้าเรียวเล็กซุกบริเวณซอกคอของนาง เด็กน้อยนี่นอนหลับสนิท ทว่าหลินหลันไม่คุ้นชินเอาเสียเลย จะขยับก็ไม่กล้าขยับ ถึงจะเห็นว่าเป็นท่อนแขนท่อนขาน้อยๆ แต่พาดทับลงมานานๆ เข้า ก็รู้สึกได้ถึงความหนักอึ้ง ตอนแรก หลินหลันยังพอเคลื่อนย้ายขาน้อยๆ ของเขาได้ แต่พอปล่อยมือออกไม่เท่าใด เขาก็ยกขึ้นมาพาดอีกครั้ง แล้วยังปัดป่ายไปมาอยู่บนท้องนางอีกสองสามที พร้อมกับมือที่กระชับแน่นยิ่งขึ้น เสมือนนางเป็นหมอนข้างของเขา ดวงตาทั้งสองของหลินหลันจ้องมองด้านบน และนึกคิดด้วยความเศร้าสลด เหตุใดนางถึงสติฟั่นเฟือนไปตอบตกลงรับเด็กน้อยหอยสังข์นี่ขึ้นมาบนเตียงของนางได้ หากทุกวันล้วนเป็นเช่นนี้ นางไม่เป็นอันต้องไม่ได้หลับได้นอนหรอกหรือ
หลินหลันอดกลั้นอยู่เนิ่นนานพอตัวจนไม่อาจอดทนต่อไปได้ เนื้อตัวปวดเมื่อยไปหมด นางทำได้เพียงลองขยับตัวเด็กน้อยนี่อีกครั้ง ขณะที่เพิ่งขยับออกไป เด็กน้อยนี่ก็ตื่นขึ้นมาเสียได้ และเอ่ยอย่างสะลึมสะลือ “ท่านพี่…ข้าอยากฉี่…”
หลินหลันถอนหายใจด้วยความรู้สึกเศร้าสลด จากนั้นร้องเรียกหยินหลิ่วให้จุดตะเกียง
หยินหลิ่วถือกระโถนปัสสาวะเข้ามา ซานเอ๋อร์กลับส่ายหน้า “ข้าใช้เจ้านี่ไม่เป็น ข้าต้องการไปห้องน้ำขอรับ”
เอาเถอะ! ไปห้องน้ำก็ไป หยินหลิ่วอุ้มซานเอ๋อร์ไป หลินหลันได้ยินซานเอ๋อร์เอ่ยขึ้น “เจ้าหันหลังไป ห้ามแอบมองล่ะ…”
หยินหลิ่วส่งเสียงหัวเราะเบาๆ “ตอนที่ท่านอาบน้ำ ข้าน้อยได้เห็นหมดแล้วนะเจ้าคะ”
ซานเอ๋อร์กล่าว “นั่นมันไม่เหมือนกัน รีบหันไปเร็วเข้า”
หยินหลิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก็ได้ๆๆ ข้าน้อยออกไปก็เป็นอันสิ้นเรื่องเจ้าค่ะ!”
“ไม่ได้ เจ้าออกไปไม่ได้ ข้าอยู่คนเดียว…ข้ากลัว”
“โอ๊ะ! คุณชายน้อยซานเอ๋อร์ ข้าน้อยคิดว่าท่านจะใจกล้าเสียอีก! ทีฟังนิทานยังเลือกฟังเรื่องผีสางเลยนะเจ้าคะ”
“อย่าเอ่ยถึงคำว่าผี ข้า…ข้ากลัว…”
หลินหลันอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เด็กน้อยนี่ ช่างเรื่องเยอะจริงๆ
ไม่นานนัก หยินหลิ่วอุ้มซานเอ๋อร์กลับออกมา ซานเอ๋อร์เข้ามาแนบอิงในอ้อมแขนหลินหลันอีกครั้ง “ท่านพี่ ห้องน้ำของบ้านพวกท่านมืดเกินไปแล้ว…”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พรุ่งนี้ไว้ให้หยินหลิ่ววางตะเกียงไฟไว้ด้านในแล้วกัน เอาละ รีบนอนเถอะ!”
หลินหลันคิดว่าครั้งนี้จะได้นอนอย่างสงบสุขเสียที คาดไม่ถึงว่า ซานเอ๋อร์ตื่นกลางดึกถึงสามสี่ครั้ง เจ้าเด็กน้อยนี้ระบบไตไม่ดีหรือไร หรือว่ากล้ามเนื้อหูรูดอ่อนแรงกันแน่
วันรุ่งขึ้น หลินหลันตื่นขึ้นมาพร้อมรอยคล้ำรอบดวงตาทั้งสอง และสติสัมปชัญญะเลื่อนลอย เมื่อมองไปยังซานเอ๋อร์ที่ยังคงนอนหลับสนิทบนเตียง นางก็อยากจะดึงเขาลุกขึ้นมาด้วยเสียจริงเชียว
หยินหลิ่วหาวปากวอดเช่นกัน “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านนอนต่ออีกหน่อยเถอะเจ้าค่ะ!”
หลินหลันกล่าวด้วยความหดหู่ “ยังมีเรื่องต้องจัดการอีกมากน่ะสิ! มีเวลาให้นอนต่อที่ไหนกัน รีบช่วยข้าหวีผมเถอะ เดี๋ยวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าต้องไปหุยชุนถางเป็นอันดับแรก”
หลังรับประทานมื้อเช้าเสร็จสิ้น หลินหลันนำหนังสือที่ซานเอ๋อร์ต้องอ่านและต้องเขียนทั้งหมดในวันนี้วางแผนไว้เสร็จสรรพ โดยให้หรูอี้คอยจับตามองซานเอ๋อร์ไว้ และนางจะตรวจการบ้านที่มอบหมายไว้หลังกลับมาในตอนเย็น
ยังไม่ท่านออกพ้นประตูบ้าน อวิ๋นอิงมารายงายโดยกล่าวว่าคนของจวนท่านแม่ทัพมาเยือน
หลินหลันเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มขณะมองดูสาวใช้ที่หน้าตาสะสวย อายุประมาณสิบห้าสิบหกปีเห็นจะได้ “นายหญิงบ้านเจ้าให้เจ้ามาใช่หรือไม่”
ชิวเหอกล่าว “เรียนเอ้อร์เส้าหน่ายนาย เมื่อวานฮูหยินไปอย่างรีบร้อนและมิได้สั่งการอันใดแก่ข้าน้อยไว้เลย เมื่อวานยามที่ข้าน้อยเก็บเสื้อผ้าข้าวของของคุณชายน้อย พบว่าคุณชายน้อยลืมพกสิ่งของมาด้วยหลายอย่างทีเดียว ข้าน้อยเกรงว่าคุณชายน้อยจะเหงาหงอย จึงรีบนำสิ่งของดังกล่าวมาส่งให้คุณชายน้อยเจ้าค่ะ”
หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน ทั้งที่ในใจรู้ดีแก่ใจว่า ต้องเป็นเพราะเฝิงซูหมิ่นเป็นห่วงบุตรชาย จึงส่งคนมาสอดส่องแน่นอน
“เจ้าช่างเป็นผู้ที่ใส่ใจดีจริงๆ ว่าแต่มันเป็นสิ่งของอันใดหรือ ”หลินหลันไหลลื่นไปตามน้ำ
ชิวเหอกล่าวตอบ “มีตำราที่คุณชายน้อยอ่านอยู่ทุกวัน แล้วยังมีเสื้อผ้าที่คุณชายน้อยชอบมากที่สุดเจ้าค่ะ แล้วยังมีสิ่งนี้ คุณชายน้อยชอบหนุนมันมากที่สุดเวลานอน มิเช่นนั้นจะนอนหลับไม่สนิทเจ้าค่ะ”เหอชิวคว้าดาบไม้ขนาดเล็กหนึ่งด้ามออกมา
หลินหลันตกตะลึง นี่มันของรักของหวงอะไรกัน
ชิวเหอกล่าวอธิบาย “ดาบไม้ด้ามนี้เป็นของที่นายท่านทำให้คุณชายน้อยเจ้าค่ะ คุณชายน้อยจึงชอบมันมากที่สุด”
ขณะหลินหลันมองดูดาบไม้ด้ามนี้ ชิ้นส่วนของความทรงจำที่ขาดหายไปกลับล่องลอยขึ้นมาในจิตใจ ดูเหมือนตอนที่นางยังเด็กๆ ตาผู้เฒ่านี่ก็เคยทำให้นางหนึ่งด้ามเช่นกัน นางยังจำได้ดี ตอนนั้นตาผู้เฒ่ามอบมีดดาบซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าที่ส่งต่อๆ กันมาให้แก่พี่ชาย นางอิจฉาเสียยิ่งอะไรดี จึงบ่นว่านางเองก็อยากได้เช่นกัน ตาผู้เฒ่านั่นก็เลยเอาสิ่งนี้มาสนองความต้องการของนาง ตอนนั้นมารดายังบ่นอุบอิบว่า มีเด็กผู้หญิงที่ไหนเขาเล่นดาบไม้กัน ตาผู้เฒ่ากล่าวว่า เหตุใดเด็กผู้หญิงจะใช้มีดใช้ดาบไม่ได้ บุตรสาวของครอบครัวหลินเรา ไม่แน่ว่าจะได้เป็นวีรสตรีหญิงในภายภาคหน้าก็เป็นได้…
วีรสตรีบ้าบออะไรกัน เพราะความไร้ความรับผิดชอบของเจ้า บุตรสาวของเจ้าผู้นั้นจึงเสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว หลินหลันนึกคิดด้วยความโกรธเคือง จากนั้นจึงให้หรูอี้นำสิ่งของมาเก็บไว้
ชิวเหอเอ่ยอย่างอ้ำอึ้ง “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ข้าน้อย…ข้าน้อยขออยู่ปรนนิบัติคุณชายน้อยได้หรือไม่เจ้าคะ”
หลินหลันรับรู้ได้ทันที นี่คงเป็นแผนการของเฝิงซูหมิ่นอีกแน่นอน สตรีผู้นี้ แม้นำซานเอ๋อร์ส่งออกมา ก็เป็นห่วงนั่นเป็นห่วงนี่ เกรงว่านางจะเขมือบซานเอ๋อร์หรืออย่างไร เจ้าไม่วางใจถึงเพียงนี้ ก็เอาคนของเจ้ากลับไปเสียสิ! ข้าเองไม่ยอมให้เจ้าสมดังปรารถนาหรอก
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้ากลับไปจะดีกว่า! ทางด้านนี้ข้ามีคนเพียงพออยู่แล้ว”