ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่261อาสามมาเยือน
หลังแม่เหยาและคนอื่นๆ ช่วยกันจัดเตรียมงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเหลือสาวใช้วัยกลางคนสองคนไว้คอยเฝ้า ระหว่างเดินออกมาบริเวณด้านนอก เห็นนายท่านใหญ่และฮูหยินใหญ่เปลี่ยนไปอยู่ในชุดไว้ทุกข์แล้ว โดยทั้งสองคนนั่งก้มหน้าสลดอยู่ตรงนั้นไม่เอื้อนเอ่ยใดๆ แม่เหยารู้สึกเหยียดหยามสองคนผู้นี้จากก้นบึ้งหัวใจ นางจึงทำท่าคารวะพอเป็นพิธี แล้วนำบรรดาสาวใช้เดินจากไป
นางอวี๋กล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม “ท่านพี่ เหตุใดอาสามถึงยังไม่มาเสียที หากเขายังมาไม่ถึง สิ่งของของเหล่าไท่ไทคงได้ตกไปอยู่ที่ภรรยาหมิงอวินเป็นแน่”
หลี่จิ้งอี้สบถ ฮึ กล่าวด้วยอารมณ์หมดอาลัยตายอยาก “น้องสามเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ต่อให้มาก็หวังพึ่งพาอะไรไม่ได้เช่นกัน”
นางอวี๋เม้มริมฝีปาก “ก็ไม่แน่หรอกเจ้าค่ะ ตอนนี้กำลังฝ่ายของเราน้อยนิด เมื่ออาสามมาแล้ว มิได้ต้องการให้เขาลงไม้ลงมืออันใดสักหน่อย ขอเพียงเขามีจิตใจไปในทิศทางเดียวกับพวกเรา เรื่องนี้ก็จะง่ายดายขึ้น”
หลี่จิ้งอี้ชำเลืองมองนางอวี๋ด้วยความรำคาญใจ และกล่าวตำหนิ “ล้วนเป็นเพราะปากพล่อยๆ ของเจ้า ข้าเตือนเจ้าไว้แต่แรกแล้วไม่ใช่หรือว่า จะพูดจะคุยอะไรต่อหน้าเหล่าไท่ไทให้ระมัดระวังเข้าไว้ ครานี้เป็นอย่างไรล่ะ เรื่องราวพังหมดแล้ว!”
นางอวี๋โต้แย้งด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “เหตุใดถึงมาโทษข้าล่ะเจ้าคะ ข้ามิได้พูดอันใดไม่ดีต่อหน้าเหล่าไท่ไทเสียหน่อย”
หลี่จิ้งอี้กล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ประเดี๋ยวเจ้าก็ดึงแม่จู้ ประเดี๋ยวเจ้าก็ดึงชุนซิ่ง ถามไถ่นู่นนี่ไปเรื่อย และไม่รู้จักหลบซ่อนๆ เสียหน่อย แล้วเหล่าไท่ไทจะไม่เคลือบแคลงใจพวกเราได้อย่างไรหรือ”
นางอวี๋ยิ่งน้อยอกน้อยใจหนักกว่าเดิม “แล้วนี่มิใช่เพราะท่านให้ข้าไปถามไถ่หรอกหรือ”
ดวงตาคู่กลมของหลี่จิ้งอี้จ้องเขม็ง กล่าวด้วยน้ำเสียงตะคอก “เจ้ามันโง่เง่า ข้าให้เจ้าไปถามไถ่ เจ้าก็ควรครุ่นคิดเสียบ้างว่าควรไปถามไถ่ผู้ใด แม่จู้เป็นคนสนิทของนาง ในสายตานางมีเพียงเหล่าไท่ไทเท่านั้น แต่เจ้าดันถามนางเนี่ยนะ ไม่แปลกเลยที่นางจะสร้างปัญหาให้พวกเรา”
นางอวี๋เห็นสีหน้าของสามีไม่เป็นมิตร แม้ภายในใจน้อยเนื้อต่ำใจ แต่กลับไม่กล้าต่อปากต่อคำอีก แม่จู้เป็นหญิงวัยกลางคนที่ได้รับความพึงพอใจมากที่สุด จึงได้ติดตามหญิงชรา ความละเอียดถี่ถ้วนของหญิงชรานั้น แม่จู้เข้าใจกระจ่างแจ้งมากที่สุด ไม่หานางแล้วจะให้ไปหาใครหรือ และแม่จู้ก็เป็นคนเก่าแก่ของตระกูลหลี่ ใครจะรู้ว่านางดันมีใจเข้าข้างคนนอกไปเสียได้ ครั้งนี้ถือว่าพลาดไปเสียแล้ว
“เช่นนั้นตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรหรือ” นางอวี๋เอ่ยถามเสียงอ่อน
จะทำอย่างไรหรือ ยามนี้หลี่จิ้งอี้ก็จนปัญญาเช่นกัน ด้วยความที่เรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ไม่ว่าอย่างไรเขาเองก็คาดไม่ถึงเลยว่าหญิงชราจะมาไม้นี้ และกระทำการอย่างเด็ดขาดถึงเพียงนี้ ก่อนหน้าเขาเดือดดาลจนหน้ามืด หูหน้าตาแดง ไม่ทันคิดให้รอบคอบก็โวยวายกับภรรยาของหมิงอวินขึ้นมาเสียได้ ครานี้ ทุกคนต่างตราหน้าว่าเขาเป็นผู้ที่ไม่รู้จักกาลเทศะและไร้ความกตัญญู ที่ทำให้เขากลัดกลุ้มมากที่สุดคือ ภรรยาหมิงอวินไม่ต่างจากเหล็กกล้า นางไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใด และในสายตานางไม่เห็นเขาผู้นี้เป็นลุงใหญ่เลยด้วยซ้ำ ช่างเป็นดาวศุกร์เข้า พระเสาร์แทรกของจริง จะกู้สถานการณ์กลับคืนมาได้หรือไม่ก็ยังเป็นอะไรที่ยากจะให้คำตอบได้
“ยามนี้ร้อนใจไปก็ไม่ช่วยอะไร รอให้น้องสามมาแล้วค่อยว่ากันอีกที ข้าคาดว่าเขาคงมาทันเจ็ดวันแรกของเหล่าไท่ไท รอให้เหล่าไท่ไทครบเจ็ดวันแล้ว ค่อยมาคิดเรื่องนี้กันอีกที ช่วงหลายวันนี้ เจ้าก็ช่วยทำตัวฉลาดๆ หน่อย ช่วยกู้ภาพลักษณ์ให้ข้า ไม่ต้องไปทะเลาะเบาะแว้งอันใดกับภรรยาหมิงอวินอีก” หลี่จิ้งอี้กล่าวด้วยความจำใจ ตอนนี้สิ่งที่เร่งด่วนและมัวรีรอไม่ได้คือต้องกู้หน้าที่เสียไปกลับคืนมาเสียก่อน
หลังหลินหลันเดินออกมาจากโถงเซ่นไหว้ เห็นประตูบานใหญ่ที่มีอยู่ล้วนเปิดกว้าง บานประตูทั้งหมดถูกแปะไว้ด้วยกระดาษสีขาวสะอาดตา โคมไฟที่อยู่บริเวณหัวมุมชายคาก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นโคมไฟสีขาว ข้ารับใช้หญิงและชายล้วนอยู่ในชุดไว้ทุกข์สีขาวเช่นเดียวกัน พวกเขากำลังยุ่งวุ่นวายกับหน้าที่ของตนเองอย่างเงียบๆ
ซุ้มด้านนอกถูกประกอบขึ้นอย่างรวดเร็ว ทันการณ์ช่วงเวลาที่พระเดินทางมาถึง หลี่จิ้งอี้รับหน้าที่เฝ้าโลงศพ หลี่หมิงเจ๋อรับหน้าที่ต้อนรับแขกบุรุษ หลินหลันรับหน้าที่ต้อนรับแขกสตรี หลี่หมิงจูที่หลบหน้าอยู่แต่ในเรือนจุ้ยจิ่นเซวียนมาโดยตลอดก็เผยหน้าออกมาแล้วเช่นกัน นางสวมใส่ชุดไว้ทุกข์คุกเข่าอยู่มุมที่ไม่สะดุดตาของห้องโถงเซ่นไหว้ผู้เสียชีวิต
จะว่าไปแล้ว ญาติมิตรของตระกูลหลี่ นอกจากตระกูลเยี่ยและตระกูลติง ต่างก็ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงทั้งนั้น ผนวกกับปัจจุบันนี้ตระกูลหลี่ไม่ได้รุ่งเรืองเฉกเช่นเมื่อก่อน อีกทั้งตำแหน่งของหมิงอวินในราชสำนักเปราะบางอย่างยิ่ง ดังนั้น ผู้ที่จำเป็นต้องไปแจ้งให้ทราบเพื่อจะได้มาร่วมพิธีศพจึงไม่มากมายแต่อย่างใด ซึ่งคนบางส่วนก็ไม่แน่ว่าจะมาร่วมด้วย...เกี่ยวกับประเด็นนี้ หลินหลันไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไรมากมาย โลกนี้เดิมทีมันก็โหดร้ายเช่นนี้ สิ่งที่นางทำได้ล้วนทำไปหมดแล้ว
ทว่า ยังดีที่สหายร่วมงานของหมิงอวินเมื่อก่อนอย่างตระกูลเผย ตระกูลเฉิน ตระกูลติง แล้วยังมีจวนจิ้งปั๋วโหว์ล้วนส่งคนมาร่วมแสดงความเสียใจด้วย ลูกพี่ลูกน้องชายจากตระกูลเยี่ยก็มาด้วยเช่นกัน แต่ที่ทำให้หลินหลันและหลี่หมิงเจ๋อรู้สึกค่อนข้างเหนือความคาดหมายคือ องค์ชายสี่จะส่งคนมาด้วยเช่นกัน เพียงแต่ดำเนินอย่างราบเรียบไม่เอิกเริก หลังปักธูปเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็เดินทางกลับไป
ทว่าหลี่จิ้งอี้เมื่อได้ยินชื่อขององค์ชายสี่ก็เกิดความรู้สึกหวั่นใจอย่างยิ่ง ไม่มั่นใจว่านี่องค์ชายสี่เห็นแก่หน้าน้องรองถึงได้มาร่วมพิธีศพด้วย หรือมุ่งมาเพราะหมิงอวินกันแน่ หากมุ่งมาที่หมิงอวิน เช่นนั้นเขาควรชั่งน้ำหนักใหม่หรือไม่ เกิดภายภาคหน้าหมิงอวินจะประสบความสำเร็จโดดเด่นขึ้นมาจริงๆ เขาก็ไม่ควรตั้งตนแข็งกร้าวต่อภรรยาของหมิงอวินถึงจะเป็นการดีกว่า
ในวันที่สามหลังหญิงชราเสียชีวิต หลี่จิ้งเหรินบุตรชายคนที่สามของตระกูลหลี่พร้อมบุตรชายสองคนก็เดินทางมาถึง
เดิมทีหลี่จิ้งเหรินก็สุขภาพไม่แข็งแรงอยู่แล้ว การเดินทางบนเส้นทางขรุขระนี้ เล่นเสียชะตาชีวิตเขาหายไปครึ่งหนึ่งก็ว่าได้ หากไม่ใช่เพราะบุตรชายทั้งสองประคองไว้ เกรงว่าคงทรุดตัวล้มลงได้ทุกเมื่อ ทันทีที่ถึงจวนหลี่ มองเห็นดอกไม้สีขาวขนาดใหญ่ติดไว้ที่หน้าประตูจวนและมีโคมไฟสีขาวแขวนอยู่ สองดวงตาของหลี่จิ้งเหรินถึงกับมืดมิด เกือบเป็นลมล้มพับไป บุตรชายคนโตหลี่หมิงต้งจึงรีบช่วยลูบแผ่นหลังเพื่อระบายเลือดลมให้เขาทันที พลางกล่าวปลอบประโลม “ท่านพ่อ…ท่านอย่าได้เสียใจจนเกินไปเลย เหล่าไท่ไทไปสบายต่างหากขอรับ…”
บุตรชายคนรองหลี่หมิงจู้กล่าวปลอบประโลมเช่นกัน “ท่านพ่อ ท่านต้องห่วงสุขภาพของตนเองเป็นสำคัญนะขอรับ”
หลี่จิ้งเหรินตั้งสติมั่นได้เพียงชั่วครู่ จากนั้นส่งเสียงร้องไห้โฮออกมา และเดินโซซัดโซเซมุ่งสู่ด้านใน “ท่านแม่…ลูกอกตัญญู ลูกมาสายไปเสียแล้ว…”
หลินหลันเอนกายอยู่บนเตียงนอนในห้องด้านข้างเพื่อพักผ่อนสักครู่ สามวันเข้าไปแล้วที่ไม่ได้หลับตาลงสักเท่าใด นางเพิ่งรู้สึกง่วงงุน แต่แล้วกลับถูกเสียงโวยวายปลุกให้ตื่น หลินหลันจึงดีดตัวลุกขึ้นแล้วเอ่ยถาม “ใครอยู่ด้านนอกหรือ”
หยินหลิ่วกล่าว “ข้าน้อยไปดูก่อนนะเจ้าคะ”
หรูอี้เดินเข้ามารายงาน “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ นายท่านสามมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
หลินหลันตระหนกตกใจจนลืมความงัวเงียไปหมดสิ้น ผุดลุกขึ้นยืนทันใด จากนั้นรีบเดินออกไปห้องด้านข้าง หลายวันมานี้นางรอคอยอาสามท่านนี้มาโดยตลอด และเป็นสภาพจิตใจประเภทเตรียมรบต่อการมาเยือนของอาสามท่านนี้ ผู้หลักผู้ใหญ่แห่งตระกูลหลี่สามท่าน ปรากฏขยะมาแล้วสองหน่อ หลินหลันจึงไม่กล้าหวังอะไรกับอาสามท่านนี้จริงๆ สามวันนี้ ผู้เป็นลุงใหญ่ยังพอสงบเสงี่ยมอยู่บ้าง แสดงท่าทีของการเป็นบุตรกตัญญูที่มีคุณธรรมดีงามได้ไม่เลวเลยทีเดียวเชียว และถือว่าร้องไห้ได้สมจริงสมจัง เสมือนเจ็บปวดจนแทบขาดใจ แต่หลินหลันรู้ดีว่าลุงใหญ่ก็แค่คิดหาหนทางดีๆ ไม่ออกในตอนนี้ก็เท่านั้น หากอาสามและลุงใหญ่ร่วมมือกันขึ้นมา…หลินหลันหาได้เกรงกลัวพวกเขาไม่ แต่เพราะแนวโน้มสถานการณ์ในตอนนี้ไม่สู้ดีจริงๆ ทางด้านตระกูลฉินนั่นเคียดแค้นหมิงอวินเป็นที่แน่นอน หากเวลานี้เกิดเรื่องอื้อฉาวภายในตระกูลหลี่ที่ว่า ลุงและอากำลังแย่งชิงมรดกกับหลานสะใภ้จึงทะเลาะเบาะแว้งกันยกใหญ่ในห้องโถงเซ่นไหว้ผู้เสียชีวิต ตระกูลฉินคงได้หยิบยกเอาไปเป็นคำพูดโจมตี เช่นนั้นก็คงได้เผชิญหายนะจริงๆ เป็นแน่ นางไม่อาจไม่คำนึงถึงประเด็นนี้ได้!
หลี่จิ้งเหรินคลุกคลานอยู่หน้าลรงศพทั้งน้ำตานองหน้า อยากมองดูมารดาเป็นครั้งสุดท้ายกับตาตนเอง หมิงเจ๋อและหมิงต้งจึงต้องฉุดรั้งแทบเป็นแทบตาย พลางกล่าวปลอบประโลม
“ท่านพ่อ…ท่านอย่าเศร้าเสียใจไปเลยนะขอรับ…”
“ท่านอาสาม เหล่าไท่ไทต้องการให้ท่านรักษาสุขภาพของตนเองเป็นสำคัญนะขอรับ…”
หลี่จิ้งอี้ปาดน้ำตาเช่นกัน แล้วกล่าวทั้งเสียงสะอึกสะอื้น “น้องสาม เจ้าให้ท่านแม่จากไปอย่างสงบเถิด!” น้องสาม เจ้าแสดงได้เข้าถึงดีจริงๆ ทีอยู่บ้านไม่เห็นเจ้าจะกตัญญูปานนี้เลยล่ะ เขารำพึงรำพันในใจ
หลี่จิ้งเหรินทุบหน้าอกขณะส่งเสียงตะโกนทั้งน้ำตา “ท่านแม่…ลูกมันอกตัญญู…ลูกไม่ทันได้ส่งท่านในวาระสุดท้ายด้วยซ้ำ ลูกมันอกตัญญู…” เมื่อร้องห่มร้องไห้อย่างหนักหน่วง หลี่จิ้งเหรินไม่อาจฝืนต่อไปไหว จึงเป็นลมล้มพับไป
ทันทีที่หลินหลันเดินออกมาก็เห็นอาสามล้มลง จึงกล่าวขึ้นทันที “รีบประคองเขาเข้าไปในห้องด้านข้างแล้ววางนอนราบ หยินหลิ่ว ไปหยิบกล่องยาของข้ามาที”
คนกลุ่มหนึ่งช่วยกันหามแขนหามขาของหลี่จิ้งเหรินเข้าไป หลินหลันใช้เข็มเงินฝังลงไปที่ร่องเหนือริมฝีปากบนและหลังมือระหว่างนิ้วก้อยกับนิ้วนางของเขา หลี่จิ้งเหรินถึงค่อยๆ ได้สติ เมื่อตื่นขึ้นมาก็ร้องห่มร้องไห้อีกครั้ง ทุกคนจะปลอบประโลมเขาอย่างไรก็ไม่เป็นผล
หลินหลันเห็นสีหน้าหมองคล้ำของอาสาม เห็นได้ชัดว่าสุขภาพร่างกายไม่สู้ดีอย่างยิ่ง หากปล่อยให้ร้องไห้ต่อไป เกรงว่าสถานการณ์คงน่าเป็นห่วง จึงจ่ายยาที่มีฤทธิ์ให้สงบสติอารมณ์ และสั่งคนให้รีบไปต้มมา
ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำให้อาสามสงบลงได้ หลินหลันเหนื่อยจนเหงื่อท่วมตัว หมิงต้งคุ้นเคยกับหมิงเจ๋อจึงดึงหมิงเจ๋อไปและกล่าวด้วยหน้าตาโศกเศร้า “ท่านพ่อสุขภาพไม่ดี พวกเราเร่งรีบมาที่นี่อย่างสุดความสามารถแล้ว คาดไม่ถึงว่ายังคงมาสายเกินไป…”
หมิงเจ๋อตบบ่าของเขาอย่างเบามือพลางกล่าวปลอบใจ “อย่าคิดมากเลย ดูแลร่างกายของอาสามให้ดีเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง”
หมิงต้งพยักหน้าอย่างหดหู่ “หมิงเจ๋อ ลำบากเจ้าแล้ว มีอันใดต้องการให้ช่วยเหลือ เจ้าแค่ส่งเสียงบอกกล่าวก็เป็นพอ”
หลังหลี่จิ้งเหรินสงบสติอารมณ์ได้ จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก “ก่อนสิ้นลมเหล่าไท่ไทได้สั่งการอันใดไว้หรือไม่”
คนที่อยู่ในห้องพร้อมใจกันนิ่งเงียบ หลี่จิ้งอี้มองไปยังหลินหลัน แล้วเอ่ยปากขึ้น “น้องสาม เจ้าเหนื่อยมาตลอดการเดินทาง ทั้งยังเพิ่งผ่านพ้นความเศร้าเสียใจ พักผ่อนสักประเดี๋ยวก่อนเถอะ เรื่องนี้ไว้พี่ค่อยพูดคุยกับเจ้าอีกที”
หลี่จิ้งเหรินยังคงดื้อดึง “ไม่ ข้าต้องการรับรู้ตอนนี้เลย”
คิดๆ ดูแล้วตนเองมาทันส่งมารดาชราในวาระสุดท้ายไม่ได้ ก็เป็นความเสียใจที่สุดในชีวิตแล้ว เขาจึงไม่อยากรอคอยที่จะรับรู้ว่ามารดาได้สั่งเสียอะไรไว้ก่อนสิ้นลมหายใจไป เขาในฐานะบุตรชายคนหนึ่ง จะได้ช่วยให้ความปรารถนาของมารดาเป็นจริง
หลี่จิ้งอี้กำลังครุ่นคิดว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดเรื่องดังกล่าวออกไปจริงๆ หากเขากล่าวว่ามารดานำสิ่งของมอบให้ภรรยาของหมิงอวิน เช่นนั้นก็ไม่เท่ากับเขายอมรับความปรารถนาสุดท้ายของมารดาหรอกหรือ เขาไม่มีทางยอมรับเป็นแน่ หากภรรยาหมิงอวินกล่าวออกมา เช่นนั้นเขาจะทำอย่างไรดี โต้แย้งหรือ ก่อความวุ่นวายอีกครั้งหรือ ตราบใดที่ยังไม่มีความมั่นใจ เขาไม่ขอมีความขัดแย้งใดๆ กับภรรยาของหมิงอวินขึ้นมาอีก หลี่จิ้งอี้รู้สึกอึดอัดใจอย่างยิ่ง เหตุใดน้องสามถึงได้โง่เขลาเพียงนี้นะ เขาพูดอย่างเข้าใจได้ถึงเพียงนี้แล้วแท้ๆ
หลินหลันลังเลใจอยู่เช่นกัน ถึงจะเห็นว่าอาสามอยู่ในท่าทีเจ็บปวดใจจนแทบแย่ แต่หากดันเป็นคนประเภทละโมบโลภมากเฉกเช่นลุงใหญ่ เมื่อได้ยินว่าหญิงชรานำสิ่งของมอบให้นางแล้วอาละวาดใหญ่โตขึ้นมาเช่นกันจะทำอย่างไร นี่กลางวันแสกๆ ผู้คนที่มาร่วมพิธีศพแม้ไม่มากมาย แต่ก็ยังพอมีประปราย หากทะเลาะเบาะแว้งขึ้นมา เช่นนั้นก็คงไม่ดีแน่
แม่จู้เห็นสีหน้าไม่มั่นใจของนายหญิงสะใภ้รอง จึงกล่าวออกมาหลังลังเลใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง “นายท่านสามเจ้าคะ เหล่าไท่ไทมีคำสั่งเสียก่อนสิ้นลมว่า หลังจากนี้ตระกูลหลี่ก็คงต้องพึ่งพิงหมิงอวินเส้าเหยีย จึงนำสิ่งของของนางมอบให้เอ้อร์เส้าหน่ายนาย เพื่อให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายเป็นผู้ดูแลจัดการตามความเหมาะสมเจ้าค่ะ”
แม่จู้กล่าวอย่างอ้อมค้อม นายหญิงชรานำสิ่งของมอบให้นายหญิงสะใภ้รองดูแลจัดการตามความเหมาะสม แต่ไม่ใช่การยกให้นายหญิงสะใภ้รอง
หลี่จิ้งเหรินปาดน้ำตาอีกครั้งขณะรับฟัง และพยักหน้าโดยไม่ได้เอื้อนเอ่ยอันใด
แม่จู้และหลินหลันหันมองหน้ากัน ปฏิกิริยาตอบโต้ของนายท่านสามผู้นี้ออกจะเหนือความคาดหมายพวกนางเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลินหลันยังคงแอบโล่งอกโล่งใจ ขอเพียงอาสามไม่อาละวาดขึ้นมาที่นี่ก็เป็นพอ
หลี่จิ้งอี้มองดูน้องสามด้วยสีหน้าตกตะลึง น้องสามเศร้าเสียใจเกินไปจนโง่เง่าไปแล้วหรืออย่างไร ไม่คิดจะมีข้อคิดเห็นใดๆ เลยหรือ เขายังวาดหวังอยู่ว่าน้องสามจะร่วมเส้นทางไปกับเขาในการแย่งชิงสมบัติกลับคืนมา!
หลี่จิ้งอี้อดทนแล้วอดทนเล่า ถึงได้ระงับอารมณ์ของตนเองเอาไว้ได้ ช่างเถอะ ไว้รอให้น้องสามได้สติครบถ้วนหน่อยค่อยพูดคุยกับเขาดีๆ อีกครั้งแล้วกัน