ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่268โศกนาฏกรรมซ้ำรอย
หลี่จิ้งเหรินเห็นสีหน้าของพี่ชายสองสามีภรรยาก็รู้ได้ว่าคราวนี้พี่ใหญ่และพี่สะใภ้แย่แน่ เดิมทีคิดจะซื้อตัวชุนซิ่งมาต่อกรภรรยาหมิงอวิน ใครจะรู้ว่าชุนซิ่งกลับเปลี่ยนฝ่ายเสียดื้อๆ หลี่จิ้งเหรินไม่เชื่อว่าชุนซิ่งจะรู้สำนึกบาปคุณโทษขึ้นมากะทันหัน คงต้องเป็นการเตรียมการของภรรยาหมิงอวินไว้แต่เนิ่นๆ เป็นแน่ พี่ใหญ่ด้วยความที่เป็นผู้อาวุโสสุดในตระกูล และอาศัยตำแหน่งสถานะของน้องรอง คนในหมู่บ้านจึงพากันยกปอปั้นเขา ถึงทำให้เขาได้เป็นคนหนึ่งที่โดดเด่นขึ้นมา หากกล่าวถึงว่าพี่ใหญ่มีความสามารถจริงจังมากน้อยเพียงใด ถ้านับรวมความตระหนี่ถี่เหนียวด้วย คงมีแค่เรื่องนั้นเรื่องเดียว หากกล่าวถึงความรู้สติปัญญา ช่างเป็นอะไรที่ไม่อาจทำให้ผู้คนกล้าเชยชมได้เลยจริงๆ ส่วนพี่สะใภ้นั้นยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเข้าไปใหญ่ ภูมิหลังที่เป็นเพียงชาวบ้านครอบครัวเล็กๆ ไร้การศึกษา ไร้ทักษะความสามารถ รู้จักแต่การพูดจาด้วยถ้อยคำดิบดีแต่หามีความจริงใจไม่ และฝักใฝ่สรรหาแต่เรื่องเลวทราม ครั้งนี้เป็นอันจบกัน ความชั่วร้ายปรากฏเสียแล้ว!
ไม่ใช่ว่าเขาผู้นี้ในฐานะน้องชายต้องการซ้ำเติม ทว่าพี่ชายและพี่สะใภ้สุขสบายกันจนเคยชินเสียแล้ว ถูกคนเขายกยอปอปั้นจนเกือบลืมกำพืดของตนเองไปแล้ว การปล่อยให้พวกเขาได้รับบทเรียนและความทุกข์ยากลำบากสักหน่อยก็เป็นการดีเช่นกัน วันนี้แตกต่างไปจากอดีตที่ผ่านมา ตระกูลหลี่สูญเสียที่พึ่งยักษ์ใหญ่อย่างน้องรองไปแล้ว หากพี่ใหญ่ไม่เรียนรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าการถ่อมตนและการอดทนอดกลั้นสักหน่อย ภายภาคหน้าคงได้เผชิญความสูญเสียครั้งใหญ่อีกแน่ ยิ่งไปกว่านั้น หากวันนี้ไม่กำราบนิสัยเสียของพี่ใหญ่ให้อยู่หมัด เรื่องนี้คงยังต้องเป็นข้อถกเถียงไม่เลิกรา ดังนั้น หลี่จิ้งเหรินจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากซักถาม “ชุนซิ่ง นี่เจ้าหมายความว่าอะไรหรือ”
แม่จู้กล่าวขึ้นมาด้วยเช่นกัน “ชุนซิ่ง เจ้าพูดเช่นนี้ออกมาหมายความว่าอะไรหรือ”
ชุนซิ่งละอายแก่ใจอย่างยิ่ง และเผยท่าทีราวกับทุกข์ใจแสนสาหัส หมอบลงบนพื้นร้องห่มร้องไห้ “ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ เรื่องที่ท่านสั่งการ ข้าน้อยไม่อาจตอบตกลงได้จริงๆ หลายวันมานี้ข้าน้อยฝันร้ายอยู่ทุกวี่ทุกวัน ฝันเห็นเหล่าไท่ไทตำหนิข้าน้อยว่าเหตุใดถึงต้องพูดปด ฝันเห็นวิญญาณภูตผีต้องการลากตัวข้าน้อยลงขุมนรก…ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ สิ่งเหล่านี้…ข้าน้อยขอคืนให้ฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ…” ชุนซิ่งกล่าวขณะล้วงสิ่งของห่อหนึ่งออกมาจากอ้อมอกด้วยมือที่สั่นระริก สองฝ่ามือถือมันขึ้นมาและคลี่ผ้าออก เผยเงินหนึ่งแท่ง แล้วยังมีเครื่องประดับทองคำและกำไลข้อมืออย่างละหนึ่งชิ้น
นางอวี๋ถึงกับร่นถอยด้วยความร้อนใจประหนึ่งหลบหลีกอสรพิษ สมองเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ใต้ฝ่าเท้ารู้สึกเสมือนล่องลอยขึ้น จากนั้นไปชนเข้ากับเก้าอี้ที่อยู่ด้านหลังและเกือบล้มลง นางทั้งตะลึงและตื่นตระหนก “ชุน…ชุนซิ่ง เจ้า…นี่เจ้าทำอะไรหรือ ข้า…ข้าเคยให้สิ่งของเหล่านี้แก่เจ้าเมื่อใดหรือ”
แม่จู้ก้าวขึ้นมาเบื้องหน้าหนึ่งฝีก้าวแล้วหยิบของในมือชุนซิ่งมาไว้ จากนั้นหยิบเครื่องประดับทองขึ้นมามองดูอย่างพินิจ ทันใดนั้นแววตาของนางเปลี่ยนไปเป็นความเย็นชา นางจ้องมองนางอวี๋ไม่วางตา และกล่าวซักถาม “ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ หากบ่าวจำไม่ผิด เครื่องประดับผมทองคำนี่เป็นของขวัญที่เหล่าไท่ไทมอบให้ท่าน ยามที่ครบรอบวันคล้ายวันเกิดสี่สิบห้าปีของท่านนี่เจ้าคะ! ด้านบนยังมีสลักที่ว่า ‘ร้านอัญมณีโจวจี้’ อยู่ด้วย” แม่จู้แสยะยิ้มเย็นชา “เครื่องประดับผมนี่ เป็นของที่บ่าวเป็นคนไปนำกลับมาด้วยตนเองจากร้านอัญมณีโจวจี้เสียด้วยเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ฟังประวัติความเป็นมาของเครื่องประดับผมทองคำจากปากแม่จู้ เรื่องที่นางอวี๋ติดสินบนชุนซิ่งจึงไม่อาจโต้แย้งใดๆ ได้อีก ผู้คนพร้อมใจกันสาดสายตาเหยียดหยามไปยังนางอวี๋ แน่นอนว่าสภาพอารมณ์ของหลี่จิ้งอี้ที่มองนางอวี๋นั้นมีความแตกต่างจากผู้อื่น เขาทั้งเดือดดาลและไม่พึงพอใจอย่างสูง นังเมียทุเรศนี่ นอกจากทำเรื่องราวให้สำเร็จลุล่วงไม่ได้แล้วยังทำเรื่องราวมันย่ำแย่ไปกันใหญ่อีก
ใบหน้าของนางอวี๋ซีดเผือด ตอนนี้นางประหนึ่งคนจมน้ำมา นางดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากสถานการณ์ยากลำบาก ทว่าความจริงยิ่งทำให้นางตื่นตระหนกจนไร้ความสามารถ ทำได้เพียงแก้ต่างอย่างอ่อนแรง “นี่…นี่ ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่ามันไปตกอยู่ในมือของชุนซิ่งได้อย่างไรกัน หรือว่า…หรือว่านางขโมยมา ใช่แล้ว ต้องเป็นนางขโมยมา ต้องใช่แน่…”
ชุนซิ่งมองดูฮูหยินใหญ่อย่างตกตะลึง และกล่าวตะโกนทั้งน้ำตา “ฮูหยินใหญ่ ท่านจะใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นเขาเช่นนี้มิได้นะเจ้าคะ! ของเหล่านี้เป็นท่านให้ข้าน้อยไว้ชัดๆ เพื่อให้ข้าน้อยใส่ร้ายเอ้อร์เส้าหน่ายนายกับแม่จู้ว่ารวมหัวกัน สมคบคิดแผนการร้ายฮุบสมบัติเหล่าไท่ไท ฮูหยินใหญ่ ท่านยังรับปากข้าน้อยอีกด้วยว่าไว้หลังจัดการเรื่องราวสำเร็จแล้วจะมอบรางวัลให้ข้าน้อยอย่างดี พาข้าน้อยกลับบ้านเกิด และหาคู่ครองดีๆ ให้ข้าน้อยอีกด้วย…ฮูหยินใหญ่ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นคำพูดที่ท่านพูดกับข้าน้อยจากปากของท่านเองนะเจ้าคะ!”
หลี่จิงเหรินรู้สึกเหยียดหยามพฤติกรรมต่ำทรามของพี่สะใภ้จริงๆ นี่มันช่างไม่ได้เรื่องได้ราวเกินไปแล้ว
“พี่สะใภ้ ท่านกระทำเช่นนี้ เกินไปแล้วกระมัง” หลี่จิ้งเหรินชี้นิ้วและกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว
หลินหลันนิ่งเงียบ ทำเพียงมองดูว่าลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่จะจัดการสถานการณ์เบื้องหน้านี้อย่างไร
นางอวี๋รู้ดีว่าต่อให้ตนเองทุ่มสุดตัวก็ไม่อาจกล่าวให้กระจ่างชัดแจ้งได้เสียแล้ว ช่างเป็นการเดินหมากที่ผิดพลาดไปจริงๆ ทั่วทั้งกระดานเต็มไปด้วยความพ่ายแพ้เห็นๆ เหตุใดนางถึงคาดไม่ถึงเลยว่าชุนซิ่งจะกลับลำเสียดื้อๆ นางอวี๋มองไปยังสามีอย่างไร้ที่พึ่ง สถานการณ์เบื้องหน้าเป็นอะไรที่นางไม่อาจกู้คืนกลับมาได้เสียแล้ว
หลี่จิ้งอี้ยังไม่โง่เขลาถึงขั้นยอมรับว่าเขารู้เห็นเป็นใจต่อเรื่องนี้ด้วย ตัวนางอวี๋เองกระทำเรื่องไม่น่าเชื่อถือ นำมาซึ่งการดูหมิ่นเหยียดหยามที่มากเกินไป เขาเองก็ไม่อยากติดร่างแหไปด้วย จึงชักสีหน้าเคร่งขรึมและกล่าวตำหนิ “นางอวี๋ ใครให้เจ้ากระทำเยี่ยงนี้หรือ นังคนไร้สมอง เรื่องราวหนึ่งที่เดิมทีจริงแท้และถูกต้องอยู่แล้ว เจ้ากลับทำเรื่องเจ้าเล่ห์เจ้ากลประเภทนี้ไปทำไมกันหรือ”
นางอวี๋ถึงกับสติหลุดไปในทันที สามีไม่เพียงไม่ช่วยเหลือนาง แล้วยังกล่าวตำหนินางต่อหน้าทุกคน นางพยายามสุดแรงกายแรงใจ วิ่งขึ้นวิ่งร่องเพื่ออันใดหรือ ก็ไม่ใช่เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้เป็นสามีหรอกหรือ ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า นางคือนังคนไร้สมอง ราวกับว่ากล่าวนางเป็นหมูเป็นหมา…
เห็นนางอวี๋เผยสีหน้าแค้นเคืองโกรธ หลี่จิ้งอี้จึงรู้ได้ทันทีว่าเรื่องราวกำลังย่ำแย่ เขาจึงรีบกล่าวทันควัน “เจ้ายังไม่รีบไสหัวออกไปอีก เรื่องนี้ เจ้าไม่ต้องแก้ตัวอันใดแล้ว” หลี่จิ้งอี้อยากขับไล่นางอวี๋ออกไปให้เร็วที่สุด
ทว่านางอวี๋โกรธจนหน้ามืดตามัวเสียแล้ว มีหรือจะยังเข้าใจ “ความตั้งใจ” ของสามี นางตะคอกใส่สามีโดยไม่สนใดๆ ทั้งสิ้น “หลี่จิ้งอี้ เจ้ามันไอ้คนไร้จิตสำนึก ข้าทำถึงเพียงนี้มิใช่เพื่อเจ้าหรอกหรือ เจ้ากลับเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ข้าผู้เดียว เจ้ามันไอ้คนสารเลว…”
หลี่จิ้งอี้ทั้งอับอายทั้งเดือดดาล เลือดร้อนปะทุขึ้นทั่วทั้งเรือนร่าง เขาก้าวขึ้นไปเบื้องหน้าแล้วสะบัดมือตบใบหน้านางอวี๋หนึ่งที ทำให้นางอวี๋เสียหลักหมุนไปหลายรอบ ก่อนไปชนเข้ากับโต๊ะตัวหนึ่งจนพลิกคว่ำแล้วลงไปกองอยู่บนพื้น
“เจ้ามันสตรีผู้โง่เขลาเบาปัญญา ขืนกล้าพูดจาเลอะเทอะออกมาอีก ข้าจะตบเจ้าให้ตายไปเสียเลย” สองดวงตาของหลี่จิ้งอี้จ้องเขม็ง บริเวณหน้าอกกระเพื่อมตามจังหวะหายใจที่ไม่มั่นคงอย่างเด่นชัด
นางอวี๋ถูกตบจนมึนงง หลังตะลึงงันไปชั่วขณะหนึ่งถึงได้ส่งเสียงร้องห่มร้องไห้ออกมา “จบกันชีวิตนี้…คนแก่ก็สมองเลอะเลือน ทั้งๆ ที่ควรทิ้งสิ่งของไว้ให้บุตรชายตนเอง แต่ดันมอบให้คนนอก ไอ้คนลูกก็ไร้จิตสำนึก อยากได้ของกลับคืนมาแต่ดันไร้ความสามารถ…เหตุใดชะตาชีวิตข้ามันถึงยากลำบากเพียงนี้นะ…” นางส่งเสียงด่าทอพลางร้องห่มร้องไห้ไปด้วย
หลี่จิ้งอี้ถูกนางอวี๋โวยวายใส่จนหน้าเสียและเดือดดาลในเวลาเดียวกัน อยากจะลากนางมาตบอีกสักสามสี่ฉาด
ผู้คนต่างมองดูสถานการณ์นี้อยู่รอบข้างโดยไม่มีผู้ใดเอ่ยเกลี้ยกล่อมหรือห้ามปรามแต่อย่างใด
หลี่จิ้งเหรินแอบส่ายหน้าอยู่ลึกๆ น่าขายหน้าชะมัด น่าขายหน้าจริงๆ!
แม่จู้แอบรู้สึกดีใจ โชคดีที่เหล่าไท่ไทคิดได้ หากนำของเหล่านั้นมอบให้พวกเขาทั้งหมด เช่นนั้นคงได้เป็นอันจบสิ้นของจริงแน่
หลี่หมิงเจ๋อและหลี่หมิงจูมองดูสถานการณ์ที่อยู่เบื้องหน้า และนึกถึงบิดามารดาของตนเองขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ความอัปยศของตระกูลหลี่ดูเหมือนเริ่มมาจากความไม่ลงรอยกันของบิดามารดา ตอนนี้ลุงและป้าสะใภ้กำลังทำผิดซ้ำรอย ทั้งสองคนจึงรู้สึกสะเทือนใจอย่างยิ่ง
หลินหลันยิ้มเยาะ ลำพังความสามารถเพียงนี้ของพวกเจ้าก็คิดที่จะไปเล่นงานคนอื่นเขาเช่นนั้นหรือ ในเมื่อไม่มีความสามารถ ก็อย่าริอาจทำในสิ่งที่เกินความสามารถของตนเองไม่ดีกว่าหรือ
และแล้วก็เป็นหลี่จิ้งเหรินที่ไม่อาจทนดูต่อไปไหว จึงเอ่ยปากกล่าว “พี่ใหญ่ เรื่องนี้ท่านยังต้องการจะพูดต่อไปอีกหรือ”
หลี่จิ้งอี้มองดูคนเหล่านี้ที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความเคียดแค้น ต่อให้ในใจเขาไม่ยินยอมมากมายเพียงใด แต่ก็รู้ดีเช่นกันว่าเรื่องราวในวันนี้ไม่อาจสำเร็จได้แล้ว เขาสบถฮึเสียงหนักด้วยความโกรธเกรี้ยว ไม่ได้กล่าวตอบน้องสามแต่อย่างใด
แม่จู้กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ตามจริง คำสั่งเสียของเหล่าไท่ไทมิได้เพิ่งกล่าวในยามที่ใกล้สิ้นลมเท่านั้น แต่ได้เตรียมการทั้งหมดไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว ความจริง เดิมทีเหล่าไท่ไทต้องการนำสิ่งของมอบให้นายท่านใหญ่ ทว่าคำพูดและการกระทำของนายท่านใหญ่ทำให้เหล่าไท่ไทผิดหวัง ส่งผลให้เหล่าไท่ไทเปลี่ยนความนึกคิด นายท่านใหญ่ ท่านควรนึกย้อนไปพินิจพิจารณาตนเองให้ดีๆ นะเจ้าคะ”
หลี่จิ้งอี้กล่าวอย่างไร้ความเกรงใจ “ข้าจะกระทำอันใด ยังไม่ถึงขั้นต้องให้ข้าทาสคนหนึ่งมาบอกกล่าว”
“พี่ใหญ่ ท่านควรให้ความเคารพต่อแม่จู้สักหน่อย นางเป็นคนเก่าคนแก่ของตระกูลหลี่พวกเรานะขอรับ” หลี่จิ้งเหรินกล่าวด้วยความรู้สึกไม่พึงพอใจอย่างยิ่ง
“คนเก่าคนแก่ คนเก่าคนแก่แล้วอย่างไรหรือ นางก็รู้ตนเองดีเช่นกันว่าเป็นคนเก่าคนแก่ของตระกูลหลี่ แต่ดันเห็นคนนอกดีกว่าคนใน แล้วยังจะมีอันใดให้ต้องเคารพอยู่อีก” หลี่จิ้งอี้เคียดแค้นแม่จู้ เป็นเพราะนังทาสผู้นี้ เรื่องสำคัญของเขาจึงพังไม่เป็นท่า
หลินหลันก้าวขึ้นไปเบื้องหน้าสองสามฝีก้าว แล้วดึงชุนซิ่งให้ลุกขึ้น “เจ้าออกไปก่อน”
ชุนซิ่งพยักหน้าทั้งน้ำตาแล้วถอยออกไป เมื่อพ้นประตูออกไป เห็นอวี๋อี๋เหนียงยืนอยู่ด้านนอกประตูด้วยสีหน้างุนงงสับสน ชุนซิ่งจึงปาดน้ำตากล่าวว่า “อวี๋อี๋เหนียง เอ้อร์เส้าหน่ายนายเป็นคนดี ฮูหยินใหญ่ไม่แน่ว่าจะพึ่งพาได้เสมอไปหรอกนะเจ้าคะ” เมื่อกล่าวจบ นางก็เดินจากไปก่อนทันที อนุภรรยาอวี๋ถึงกับเสียหลัก เอนกายเข้าไปพิงอยู่กับเสา ถึงได้ไม่ล้มลงไป
หลินหลันหยิบตราประทับออกมาจากกระเป๋าในแขนเสื้อ แล้วเดินเข้าไปหาผู้เป็นลุงใหญ่อย่างใจเย็น “ท่านลุง นี่เป็นตราประทับที่เหล่าไท่ไททิ้งไว้ให้ ท่านเองก็คงรู้เช่นกันว่าตราประทับนี่หมายถึงสิ่งใด…”
หลี่จิ้งอี้ตกตะลึงอย่างยิ่ง เขาต้องรู้อยู่แล้วว่าตราประทับนี่หมายถึงอะไร ผู้ใดครอบครองตราประทับนี่ ผู้นั้นก็คือเจ้าบ้านแห่งตระกูลหลี่ คาดไม่ถึงเลยว่า เหล่าไท่ไทจะนำสิ่งนี้มอบให้ภรรยาหมิงอวินด้วยเช่นกัน
“นี่เป็นของที่เหล่าไท่ไทมอบให้หมิงอวิน เหล่าไท่ไทมีทิ้งคำพูดไว้ว่า จากนี้ตระกูลนี้ขอส่งมอบให้หมิงอวิน ณ ตอนนี้หมิงอวินอยู่ที่ชานแดน เช่นนั้นข้าก็จะรับหน้าที่เป็นตัวแทนผู้ดูแลตระกูล ท่านลุง ท่านอาสาม พวกท่านมีข้อคัดค้านอันใดหรือไม่เจ้าคะ” หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
หลี่จิ้งเหรินกล่าว “ในเมื่อนี่เป็นความประสงค์ของเหล่าไท่ไท อาต้องเคารพมันแน่นอนอยู่แล้ว”
หลี่จิ้งอี้ตวัดสายตามองค้อนใส่หลินหลัน จากนั้นหันหน้าหนี
นางอวี๋เดิมทีนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่บนพื้น เมื่อเห็นหลินหลันถือตราประทับนั่น จึงเกิดความตกตะลึงถึงขั้นลืมร้องไห้ไปเสียดื้อๆ ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครมาปลอบประโลม ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีผู้ใดมาประคองนางลุกขึ้น และไม่มีผู้ใดสนใจไยดีด้วยซ้ำ นางจึงรีบปีนป่ายลุกขึ้นมาด้วยตนเอง
หลินหลันกวาดสายตามองหมิงเจ๋อ หมิงต้ง และคนอื่นๆ อีกครั้ง พวกเขาไร้ข้อกังขาใดๆ หลินหลันจึงพยักหน้าเล็กน้อย “ในเมื่อทุกคนไม่มีข้อโต้แย้ง เช่นนั้นวันนี้ข้าก็ขอบังอาจกล่าวสักสองสามประโยคแล้วกันเจ้าค่ะ ท่านลุง ตามจริงตัวข้าเองมิได้เห็นแก่สิ่งของนี้ที่เหล่าไท่ไททิ้งเอาไว้เลยจริงๆ เจ้าค่ะ ผู้ที่มีความสามารถ ไม่มีทางจับจ้องสิ่งของของผู้ชราอย่างไม่ยอมวางตาหรอกเจ้าค่ะ”
หลี่จิ้งอี้แอบเหยียดหยามอยู่ในใจ ใครๆ ก็พูดให้สวยหรูกันได้ทั้งนั้น เจ้าไม่อยากได้ เช่นนั้นเจ้าก็นำสิ่งของของเหล่าไท่ไทมอบมาให้ข้าเสียสิ!
หลินหลันมีหรือจะมองความนึกคิดของลุงใหญ่ไม่ทะลุปรุโปร่ง จึงกล่าวอย่างไม่เร่งรีบและไม่เนิบช้าจนเกินไป “ต่อให้หลานสะใภ้จะย่ำแย่เพียงใด กิจการที่ร้านยาหุยชุนถางก็ดำเนินไปได้ไม่เลวทีเดียว และอย่างน้อยๆ ฮ่องเต้ก็ทรงแต่งตั้งให้เป็นหมอหลวง หมิงอวินยิ่งไม่ต้องพูดถึง เป็นถึงจอหงวน บัญฑิตที่เยาว์วัยมากที่สุดในสำนักฮ่านหลิน ต่อให้พ่อสามีเกิดเรื่องใหญ่โตเพียงนี้ ทว่าฮ่องเต้ก็ยังคงให้ความสำคัญต่อหมิงอวิน อนาคตของหมิงอวินจะเป็นเช่นไร ใครก็ตามที่พอมีความคิดการณ์ไกล ก็น่าจะมองออกได้นะเจ้าคะ! แต่นี่เป็นคำสั่งก่อนจากไปของเหล่าไท่ไท หลานสะใภ้ไม่อาจขัดคำสั่งเสียของเหล่าไท่ไทได้ จึงทำได้เพียงเลือกแบกรับมันไว้ หลานสะใภ้คนอื่นๆ คงไม่กล้าพูด ทว่าหลานสะใภ้คนนี้กล้ารับประกันได้ว่า ตระกูลหลี่อยู่ในมือหลานจะไม่มีทางพังพินาศไปได้ ท่านลุง ท่านก็อย่าได้เป็นกังวลต่อทรัพย์สมบัติของเหล่าไท่ไทไปเลยเจ้าค่ะ ท่านน่าจะเข้าใจดีว่าจุดจบเรื่องนี้กำหนดไว้แล้ว ต่อให้ท่านโวยวายไปก็ไร้ประโยชน์ มีแต่จะพาลให้คนอื่นเขาหัวเราะเยาะก็เท่านั้น แม้ว่าท่านไม่ใช่เจ้าตระกูล ทว่าอย่างน้อยๆ ท่านก็ยังเป็นนายท่านใหญ่ของตระกูลหลี่ จะพูดหรือจะกระทำอันใดก็ควรให้สอดคล้องกับสถานะของตนเองถึงจะถูกนะเจ้าคะ”
สองสามประโยคช่วงท้ายนี้พูดได้อย่างหนักแน่นไม่น้อยทีเดียว สีหน้าของหลี่จิ้งอี้ถึงกับซีดเผือด ทว่าคำพูดของหลินหลัน ก็ทำให้เขาอดนึกคิดทบทวนใหม่ไม่ได้ ด้วยแนวโน้มทางเหตุผล นี่เป็นคำสั่งเสียของเหล่าไท่ไท เขาโวยวายไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา ด้วยแนวโน้มทางอำนาจ บางทีอนาคตของหมิงอวินอาจรุ่งโรจน์จนไร้ขีดจำกัดจริงๆ หากทำให้ภรรยาของหมิงอวินขุ่นเคืองอย่างลึกซึ้งเกินไป เกรงว่าในภายภาคหน้าเมื่อมีผลประโยชน์ใดๆ ก็คงไม่ตกมาถึงเขาไปได้