ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่275ซานเอ๋อร์หายตัวไป
หลังสองชั่วโมงผ่านไป เส้นทางภูเขาที่ถูกปิดกั้นกลับมาเปิดโล่งอีกครั้ง โชคดีที่กองทัพด้านหลังถูกโจมตีแต่อย่างใด เห็นทีว่าครั้งนี้คนเหล่านี้มุ่งเป้าปลิดชีพหลี่หมิงอวินเป็นการเฉพาะ ระหว่างช่วงเวลานี้ หลี่หมิงอวินและหนิงซิ่งจับบรรดาทหารหารค่ายเป่ยซานที่ร่วมก่อการกบฏกับหม่าโหยวเหลียงมารวมตัวกัน และให้พวกเขาประทับตรานิ้วมือเพื่อเป็นหลักฐานคำให้การยืนยัน
กองทัพจัดระเบียบอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนเดินทางมุ่งหน้าต่อไป
หลายวันมานี้หลินหลันรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่เสมอ ตั้งแต่มีคนพยายามลอบเข้ามาในจวนหลี่ยามราตรี การักษาการณ์ของจ้าวจัวอี้ก็เพิ่มระดับสูงขึ้น โดยจัดให้มีผู้รักษาการณ์คอยยืนเฝ้าระวังด้านนอกประตูในช่วงกลางคืน นี่หมายความได้ว่าตระกูลฉินไม่มีความอดทนมากสักเท่าใดแล้ว และก็หมายความว่าหมิงอวินใกล้กลับมาแล้ว
นี่ทำให้หลินหลันยิ่งเป็นกังวลความปลอดภัยของหมิงอวิน ไม่แน่ว่าตระกูลฉินจะลอบกัดโดยการประทุษร้ายต่อหมิงอวินก็เป็นได้
จ้าวจัวอี้กลับไม่เป็นกังวลแต่อย่างใด เขาคิดว่าต่อให้ตระกูลฉินต้องการประทุษร้ายต่อใต้เท้าหลี่ ทว่ามีแม่ทัพหนิงอยู่ด้วยทั้งคน ใครหน้าไหนก็อย่าคิดว่าจะแตะต้องใต้เท้าหลี่ไปได้
เพียงชั่วพริบตาเดียว ซานเอ๋อร์อยู่ที่บ้านตระกูลหลี่เป็นเวลาถึงสองเดือนกว่าแล้ว ว่ากันตามหลักเฝิงซูหมิ่นก็ควรมารับคนเขาไปได้แล้วแต่กลับไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ หลินหลันรู้สึกว่าบ้านตระกูลหลี่ในยามนี้ไม่ปลอดภัย ให้กลับไปจวนแม่ทัพจะยังดีเสียกว่า หลังส่งคนไปถามไถ่ทางด้านจวนแม่ทัพอยู่หลายครั้งหลายครา ล้วนกล่าวว่านายหญิงยังไม่กลับมา หลินหลันรู้สึกอึดอัดใจอย่างยิ่ง เฝิงซูหมิ่น เจ้ายังช่างสงบจิตสงบใจอยู่ได้!
ตามจริง เฝิงซูหมิ่นอยากพบเจอบุตรชายเช่นกัน อยากจนแทบจะบ้าคลั่งแล้วก็ว่าได้ ทว่าในบ้านมีครอบครัวนั้นอยู่ด้วย ให้ซานเอ๋อร์อยู่ที่บ้านตระกูลหลี่ไปอีกสักระยะยังจะดีเสียกว่า
ดังนั้นซานเอ๋อร์จึงอยู่ที่บ้านตระกูลหลี่อย่างไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ไปถึงเมื่อไหร่
แม้หลินหลันออกไปข้างนอกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร และเป็นการดีเสียอีกที่นางจะได้ใช้เวลาไปกับการค้นคว้าตำรับอาหารบำรุงและตัวยาต่างๆ ทว่าซานเอ๋อร์เป็นเด็ก นิสัยธรรมชาติของเด็กๆ ชอบเที่ยวเล่น แม้กล่าวว่าไม่ให้ออกไปข้างนอก แต่จะอย่างไรก็ยังต้องแวะเวียนไปเที่ยวเล่นบริเวณสวนของบ้านสักหน่อย ทว่าตอนนี้แม้แต่สวนในบ้านหลินหลันก็ไม่ให้ไปเล่น แล้วซานเอ๋อร์จะอดทนไหวได้เสียที่ไหนกัน
หลังช่วงสายของวันนี้ หลินหลันปิดประตูเก็บตัวอยู่แต่ในห้องเพื่ออ่านตำราแพทย์
ซานเอ๋อร์กำลังเล่นกลเก้าห่วงกับอวิ๋นอิงและจิ่นซิ่วอยู่ในลานบ้าน
“เฮ้อ! จิ่นซิ่ว เจ้าช่างบื้อจริงๆ เลย สอนเจ้าตั้งหลายครั้งแล้ว เจ้าก็ยังทำไม่ได้เสียที” ซานเอ๋อร์ใช้สองมือเท้าพวงแก้ม มองดูจิ่นซิ่วเล่นกลเก้าห่วงอย่างเบื่อหน่าย และกล่าวเลียนแบบคำพูดคำจาของอาจารย์ผู้สูงวัยที่กำลังสั่งสอนนักเรียนผู้โง่เขลา
จิ่นซิ่วไม่ได้หงุดหงิดแต่อย่างใด นางเชิงโอดครวญพลางหัวเราะคิกคัก “ข้าน้อยจะฉลาดสู้คุณชายน้อยซานเอ๋อร์ได้เสียที่ไหนเจ้าคะ!”
“มิใช่แบบนี้ แบบนี้ต่างหากเล่า…” ซานเอ๋อร์เห็นนางทำไปถึงขั้นที่สามก็ติดค้างเสียแล้ว เหตุใดถึงทำไม่ถูกเสียที จึงช่วยชี้นำอย่างร้อนใจ
จิ่นซิ่วมองดูมือคู่น้อยจ้ำม่ำของซานเอ๋อร์เคลื่อนขึ้นบนลงล่างอย่างคล่องแคล่ว เพียงชั่วครู่เดียวก็ปลดห่วงคล้องออกจากกันได้เป็นที่เรียบร้อย ทว่านางก็ยังคงจดจำไม่ได้อยู่ดี
“ไม่เล่นแล้ว ไม่สนุกเลยสักนิด” ซานเอ๋อร์เห็นว่านักเรียนผู้นี้ช่างโง่เขลาเกินไปจึงรู้สึกเหลืออด กลีบปากน้อยๆ กำลังมุ่ย พร้อมกับคิ้วขมวดเข้าชนกัน มันน่าเบื่อเกินไปแล้ว
“เช่นนั้นคุณชายน้อยซานเอ๋อร์คิดจะเล่นอะไรหรือเจ้าคะ” จิ่นซิ่วก็กลัดกลุ้มเช่นกัน ระยะนี้เพื่อหยอกล้อคุณชายน้อยซานเอ๋อร์ให้สนุกสนาน นางเองก็งัดกลยุทธ์ต่างๆ นานาออกมาจนหมดแล้ว
ซานเอ๋อร์กลอกตาไปมา และกล่าว “ช่างเถอะ ข้าไปหาอะไรกินที่ห้องครัวละ พวกเจ้าอยู่เล่นที่นี่แล้วกัน!”
อวิ๋นอิงกล่าว “คุณชายน้อยซานเอ๋อร์อยากกินอะไร ข้าน้อยไปหยิบให้ก็ได้เจ้าค่ะ”
ซานเอ๋อร์ครุ่นคิด จากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าสลด “ข้าอยากกินถางหูลู่ จะพอมีให้กินหรือไม่”
อวิ๋นอิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน “นี่มันออกจะหายากสักหน่อย แต่จะให้พี่ตงจึออกไปซื้อให้ท่านแล้วกันนะเจ้าคะ”
“ตกลงๆ!” ซานเอ๋อร์ปรบมือด้วยความดีใจ อวิ๋นอิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าน้อยจะไปหาพี่ตงจึเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
เมื่อส่งอวิ๋นอิงจากไปเป็นที่เรียบร้อย นัยน์ตาของซานเอ๋อร์ปรากฏรอยยิ้มแห่งความเจ้าเล่ห์ขึ้นมาชั่ววูบ และมองดูประตูเสมือนว่าในที่สุดก็ส่งออกไปได้เสียที
“พี่จิ่นซิ่ว พวกเรามาเล่นกลเก้าห่วงกันอีกครั้งเถอะ” ซานเอ๋อร์กล่าวด้วยสีหน้าระรื่น
ซานเอ๋อร์อาศัยจังหวะที่จิ่นซิ่วกำลังรวบรวมสมาธิจดจ่ออยู่กับการเล่นกลเก้าห่วงย่องเบาออกไปจากเรือนหลั้วเซี๋ยจาย เมื่อวานได้ยินพี่หมิงจูกล่าวว่าดอกกุ้ยในสวนผลิบานแล้ว จึงเตรียมว่าวันนี้ช่วงบ่ายจะไปเด็ดดอกกุ้ยมาไว้ทำน้ำผึ้งดอกกุ้ยสักหน่อย จะไว้ชงน้ำชาดื่มหรือไว้ทำขนมก็ช่วยให้กลิ่นหอมอย่างยิ่ง เขาจึงอยากไปร่วมวงสนุกด้วย
หลังอวิ๋นอิงกลับมาจากไปพบตงจึ เห็นจิ่นซิ่วเล่นกลเก้าห่วงอยู่คนเดียว จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่จิ่นซิ่ว คุณชายน้อยซานเอ๋อร์ไม่สอนเจ้าแล้วหรือ”
จิ่นซิ่วกล่าวโดยไม่หันไปมอง “ใครบอกว่าไม่สอนล่ะ คุณชายน้อยซานเอ๋อร์ ท่านดูสิ ข้าน้อยปลดได้ถึงห่วงที่ห้าแล้วนะเจ้าคะ!”
อวิ๋นอิงงุนงง “คุณชายน้อยซานเอ๋อร์อยู่ไหนล่ะ”
เวลานี้เองจิ่นซิ่วถึงได้สติกลับมา มองซ้ายมองขวา ปรากฏว่าคุณชายน้อยซานเอ๋อร์ไม่อยู่เสียแล้ว “ประหลาดจัง เมื่อครู่ยังอยู่เลยนี่นา”
ทั้งสองคนสบตากันอย่างตะลึงงัน และกล่าวด้วยเสียงตื่นตระหนกอย่างพร้อมเพรียงกัน “แย่แล้ว!”
จิ่นซิ่วรีบกล่าวขึ้นทันที “เจ้าไปหาดูด้านนอก ข้าจะไปหาดูในบ้าน”
ทั้งสองคนแยกย้ายไปคนละทิศละทาง หาจนครบหนึ่งรอบก็ยังไร้วี่แวว
จิ่นซิ่วถึงกับเหงื่อตกด้วยความร้อนรนใจ “คุณชายน้อยซานเอ๋อร์หายไปไหนแล้วนะ?”
ใบหน้าของอวิ๋นอิงซีดเผือด กล่าวด้วยความกังวลใจ “พวกเรารีบไปบอกเอ้อร์เส้าหน่ายนายกันเถอะ!”
นายหญิงสะใภ้รองกำชับครั้งแล้วครั้งเล่าว่าไม่ให้คุณชายน้อยซานเอ๋อร์ออกไปจากบริเวณลานบ้านนี้
แม่โจวเดินเข้ามา เห็นทั้งสองคนยืนแข็งทื่ออยู่ใจกลางลานบ้านด้วยสีหน้าลนลาน จึงเอ่ยถาม “มีอันใดหรือ”
จิ่นซิ่วก้มหน้าลงและกล่าวหน้าสลด “เมื่อครู่บรรดาข้าน้อยเล่นอยู่ในลานบ้านกับคุณชายน้อยซานเอ๋อร์ ไม่ทันได้สังเกตเพียงครู่เดียว คุณชายน้อยซานเอ๋อร์ก็หายไปไหนแล้วไม่รู้เจ้าค่ะ”
สีหน้าของแม่โจวดุดันขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน กล่าวเชิงตำหนิ “คนโตสองคน กลับดูเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งไม่ได้ พวกเจ้าทำงานกันประสาอันใดหรือ ยังไม่รีบให้ทุกคนไปช่วยกันตามหาอีก”
ด้วยเหตุนี้ หลินหลันเองก็ตื่นตระหนกไม่แพ้กัน ทั้งเบื้องบนเบื้องล่างของเรือนหลั้วเซี๋ยจายพร้อมใจกันเคลื่อนไหว ตามหาจนทั่วจวนหลี่ แต่เสมือนว่าซานเอ๋อร์ได้ระเหยหายไปเสียแล้ว จึงไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของเขา
จิ่นซิ่วรู้ตัวดีว่าก่อปัญหาใหญ่โตเสียแล้ว ทั้งร้อนใจ ทั้งหวาดกลัว จึงร้องไห้ออกมา ทุกคนไม่รู้เช่นกันว่าควรพูดปลอบใจนางอย่างไร ระยะนี้แนวโน้มสถานการณ์ของจวนค่อนข้างตรึงเครียด ทุกคนล้วนเข้าใจกระจ่างแจ้ง ล้วนเพิ่มความระมัดระวังเป็นเท่าตัวด้วยเกรงว่าจะเกิดปัญหาขึ้น คราวนี้กลายเป็นว่าคุณชายน้อยซานเอ๋อร์ดันหายตัวไป นายหญิงสะใภ้รองจึงร้อนรนใจจนแทบคลั่งก็ว่าได้
จ้าวจัวอี้เรียกผู้ใต้บังคับบัญชามารวมตัวกันเพื่อไปค้นหาแต่ละส่วนของจวนหลี่
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ มีสาวใช้กล่าวว่าเห็นคุณชายน้อยซานเอ๋อร์ไปสวนดอกไม้หลังบ้านเจ้าค่ะ” ในที่สุดหรูอี้ก็ได้รับข่าวคราวที่มีประโยชน์ขึ้นมาเสียที
“คุณชายน้อยซานเอ๋อร์จงใจแอบหรือไม่เจ้าคะ คงอยากเล่นกับพวกเรา” หยินหลิ่วกล่าวเชิงคาดเดาด้วยเสียงเบา
สีหน้าของหลินหลันตึงเครียดอย่างยิ่ง นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เรียกทุกคนให้ไปยังสวนดอกไม้หลังบ้าน”
“ซานเอ๋อร์ ซานเอ๋อร์…”
“คุณชายน้อยซานเอ๋อร์ รีบออกมาเถอะเจ้าค่า…”
ทุกคนส่งเสียงตะโกนสุดเสียง เดินหากันอยู่หลายรอบ ตามหาในทุกสถานที่ที่ใช้แอบซ่อนตัวได้ แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาคน
“หัวหน้าขอรับ ตรงนี้มีร่องรอยขอรับ” ทหารองครักษ์คนหนึ่งซึ่งอยู่บริเวณริมกำแพงรั้วส่งเสียงตะโกน
หลินหลันและจ้าวจัวอี้จึงรีบเดินเข้าไปทันที
“หัวหน้า เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านดูนี่สิขอรับ…” ทหารองครักษ์ยื่นกำไลวงหนึ่งมาให้ “พบสิ่งนี้บริเวณมุมกำแพงรั้วขอรับ”
หลินหลันมองดูกำไล ร้องขึ้นอย่างร้อนใจ “นี่มันเป็นของที่ซานเอ๋อร์ใส่ไว้ที่ข้อมือนี่”
พื้นที่ในจวนหลี่ จ้าวจัวอี้คุ้นเคยมาพักใหญ่แล้ว ด้านนอกกำแพงนี้เป็นตรอกเปลี่ยวสายหนึ่ง จ้าวจัวอี้อดตระหนกตกใจขึ้นมาไม่ได้ เขากระโดดขึ้นไปเหยียบบนต้นไม้ต้นหนึ่งริมกำแพง จากนั้นอาศัยมันในการกระโดดออกไปนอกกำแพงรั้ว
หลินหลันใจเต้นระรัว ภายในใจเต็มไปด้วยความกระวนกระวายและตื่นกลัวอย่างรุนแรง อย่าได้เกิดเรื่องอะไรกับซานเอ๋อร์เชียวนะ! หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับซานเอ๋อร์ อย่าว่าแต่ไม่รู้จะชดใช้ให้กับเฝิงซูหมิ่นอย่างไรเลย ตัวนางเองแค่คิดก็ปวดใจแทบตายแล้วเช่นกัน จากการได้คลุกคลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่ง นางและซานเอ๋อร์ได้ก่อร่างสร้างมิตรภาพที่ลึกซึ้งต่อกัน ยิ่งไปกว่านั้นซานเอ๋อร์เป็นถึงน้องชายแท้ๆ ของนางอีกด้วย
คนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนจับจ้องไปยังกำแพงรั้วนั้นด้วยความกระวนกระวายใจ
สิบห้านาทีต่อมาโดยประมาณ จ้าวจัวอี้กระโดดลงมาจากกำแพงรั้ว และบอกกล่าวหลินหลันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย เกรงว่าคุณชายน้อยซานเอ๋อร์จะตกไปอยู่ในเงื้อมมือคนร้ายแล้วขอรับ”
แม้หลินหลันจะมีการเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวจากปากจ้าวจัวอี้ที่เอื้อนเอ่ยออกมาก็ยังอดรู้สึกสมองตื้อไปชั่วขณะไม่ได้ เรือนร่างของนางถึงกับโอนเอน แทบจะยืนไม่อยู่
จ้าวจัวอี้กล่าวด้วยความละอายแก่ใจ “พี่สะใภ้ เป็นข้าเองที่ประมาทเลินเล่อไปเสียแล้ว”
หัวใจของหลินหลันเสมือนถูกบีบด้วยมือล่องหนอย่างรุนแรงจนรู้สึกปวดขึ้นมาเป็นระยะๆ นางพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก เพื่อทำให้ตนเองสงบลง เนิ่นนานพอตัวถึงได้กล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง “เรื่องนี้ไม่โทษเจ้าหรอก”
เป็นความจริงที่ไม่อาจกล่าวโทษจ้าวจัวอี้ได้ กำลังคนของพวกเขามีจำกัด เป็นไปไม่ได้ที่จะปกป้องได้ทั่วทั้งจวน คอยอารักขาเรือนหลั้วเซี๋ยจายและเรือนเวยอวี่ไว้ได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยมากแล้ว ส่วนนางเองก็มีคำสั่งอย่างเด็ดขาดไว้แต่แรกแล้วว่าห้ามไม่ให้ซานเอ๋อร์ออกไปจากเรือนหลั้วเซี๋ยจาย ทว่า…นางประมาทเกินไป นางคิดมาโดยตลอดว่าซานเอ๋อร์ว่านอนสอนง่ายอย่างยิ่ง แต่กลับลืมนึกไปว่าต่อให้ซานเอ๋อร์ว่านอนสอนง่ายเพียงใด เขาก็ยังเป็นเด็ก
จิ่นซิ่วส่งเสียงร้องไห้ขึ้นมา “เป็นข้าน้อยเองที่ไม่ได้เรื่อง ข้าน้อยไม่ได้จับตาดูคุณชายน้อยซานเอ๋อร์ให้ดีๆ เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ท่านเฆี่ยนข้าน้อยให้ตายไปเลยเถอะนะเจ้าคะ!”
หลินหลันทั้งหงุดหงิดทั้งปวดใจ จึงกล่าวออกไปอย่างดุดันเล็กน้อย “เฆี่ยนตีเจ้าให้ตายตอนนี้แล้วจะมีประโยชน์อันใดหรือ เฆี่ยนตีเจ้าแล้วคุณชายน้อยซานเอ๋อร์จะกลับมาหรือไร”
จิ่นซิ่วไม่กล้าร้องไห้อีกต่อไป เพียงสะอึกสะอื้นจนบ่าทั้งสองสั่นเทิ้มอย่างหนักหน่วง นางรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง เหตุใดนางถึงไม่คอยดูคุณชายน้อยซานเอ๋อร์ไว้ให้ดีๆ นะ!
แม่โจวรีบส่งสายตาให้หรูอี้เพื่อให้หรูอี้พาจิ่นซิ่วไปก่อน
จ้าวจัวอี้กล่าวพลางขมวดคิ้ว “พี่สะใภ้ ข้าจะไปค่ายซีซานเดี๋ยวนี้ จะได้หาคนมาช่วยอีกแรง” ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นตระกูลฉินส่งคนมาลักพาตัวซานเอ๋อร์ไปเป็นแน่ พวกเขาใจกล้าถึงขั้นมาลักพาตัวคนไปช่วงกลางวันแสกๆ แนวโน้มสถานการณ์ของจวนหลี่ไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง จำเป็นต้องเพิ่มกำลังคนถึงจะเป็นการดี
หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ตกลง รบกวนเจ้าด้วย และช่วยแวะไปจวนท่านแม่ทัพ นำข่าวคราวนี้บอกกล่าวภรรยาท่านแม่ทัพด้วย เชิญนางมาที่จวนโดยเร็วที่สุด จากนั้นช่วยไปเรียนเชิญหัวหน้ามือปราบเจิ้ง ณ ที่ทำการหยาเหมินมาด้วย”
จ้าวจัวอี้กล่าวพลางยกสองมือขึ้นคาราวะ “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“หยินหลิ่ว เจ้าช่วยไปจวนท่านจิ้งปั๋วโหว์ นำเรื่องนี้บอกกล่าวภรรยาจิ้งปั๋วโหว์ ขอนางให้ช่วยตามหาคุณชายน้อยซายเอ๋อร์อีกแรง” หลินหลันสั่งการหยินหลิ่ว
ติงหลั้วเหยียนรีบเดิมมาหาทันทีที่ได้ยินข่าวคราว “น้องสะใภ้ เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับซานเอ๋อร์แล้วหรือ” นางกล่าวด้วยความร้อนใจ
หลินหลันรีบเข้าไปประครองนาง “พี่สะใภ้ เหตุใดท่านถึงออกมาแบบนี้ล่ะเจ้าคะ ร่างกายของท่าน…”
“มิเป็นไร รีบบอกข้ามาเร็วเข้า เกิดอะไรขึ้นกับซานเอ๋อร์หรือ” ติงหลั้วเหยียนชอบซานเอ๋อร์อย่างยิ่ง เมื่อได้ยินว่าซานเอ๋อร์หายไป นางหรือจะมัวสนใจตนเองว่าสบายดีหรือไม่ จึงเร่งรีบมาทางด้านนี้
ทันใดนั้นดวงตาของหลินหลันเริ่มเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา และสะอึกสะอื้น “ซานเอ๋อร์หายตัวไปเจ้าค่ะ”
ติงหลั้วเหยียนตระหนกตกใจอยู่พักใหญ่กว่าจะดึงสติกลับคืนมาได้ นางเอ่ยถามเสียงแผ่วเบาอย่างเหลือเชื่อ “เป็นตระกูลฉิน?”
แม่โจวกล่าวด้วยความเคียดแค้น “นอกจากพวกเขาแล้วยังมีผู้ใดได้อีกเจ้าคะ”
เฝิงซูหมิ่นได้รับข่าวคราวว่าซานเอ๋อร์หายตัวไป ตอนแรกคิดว่าหลินหลันหลอกล่อนาง แต่เมื่อเห็นว่าผู้ที่มาเยือนเป็นจ้าวจัวอี้ ทันใดนั้นหัวใจของนางรู้สึกถึงความหนักอึ้ง เกือบหน้ามืดล้มพับไป นางไม่สนใจว่าตนเองอยู่ในช่วงที่เข้าหน้าไม่ติดกับหลินหลัน เร่งรีบมุ่งไปยังจวนหลี่ทันที
หัวหน้ามือปราบเจิ้งได้รับข่าวคราวดังกล่าว ก็รีบละมือจากคดีความในมือและมุ่งมาอย่างรวดเร็ว
หยินหลิ่วไปส่งข่าว ณ จวนจิ้งปั๋วโหว์ เป็นจังหวะเดียวกับที่จิ้งปั๋วโหว์อยู่ในจวนพอดิบพอดี เมื่อได้ยินข่าวก็ตระหนกตกใจขึ้นมาเช่นกัน ตระกูลฉินร้อนรนใจถึงขั้นเลือกเดินมาถึงขั้นนี้เชียวหรือ แม้จะไม่ใช่คนของจวนหลี่ก็ยังลักพาตัวไป? นี่ซานเอ๋อร์เป็นแก้วตาดวงใจของหลินจื้อย่วนเชียวนะ หลินจื้อย่วนผู้คลุกคลีอยู่กับการสู้รบบนหลังม้ามาครึ่งชีวิต ชนะศึกมานับครั้งไม่ถ้วน ทายาทผู้สืบทอดของเขาก็มีเพียงบุตรชายคนนี้คนเดียว หากเกิดอะไรขึ้นกับซานเอ๋อร์ นั่นคงเป็นอะไรที่แย่แน่
หลินหลันรออยู่ไม่นานมากนัก หัวหน้ามือปราบเจิ้งและเฝิงซูหมิ่นก็มาถึงพร้อมกัน