ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่276-1ใครเก่งกาจที่สุด
หลินหลันให้อวิ๋นอิงและจ้าวจัวอี้นำเรื่องราวบอกเล่าอย่างละเอียดหนึ่งรอบ
“ข้าน้อยไปนอกลานบ้านเพื่อหาตงจึ หลังบอกกล่าวเป็นที่เรียบร้อยก็รีบกลับมาทันที ไปและกลับเป็นระยะเวลามากสุดก็แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเจ้าค่ะ จากนั้นก็ไม่เห็นคุณชายน้อยซานเอ๋อร์เสียแล้ว ภายหลังต่อมาข้าน้อยและจิ่นซิ่วก็ช่วยกันหาในบริเวณลานบ้านรอบหนึ่ง เมื่อหาไม่พบ จึงรีบบอกกล่าวเอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าค่ะ…” อวิ๋นอิงกล่าว
หัวหน้ามือปราบเจิ้งครุ่นคิดตาม “ว่ากันตามนี้ รวมๆ แล้วการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของคุณชายน้อยซานเอ๋อร์ไม่เกินครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง”
จ้าวจัวอี้กล่าว “คนใต้บัญชาข้าออกลาดตระเวนรอบจวนทุกๆ หนึ่งชั่วโมง หลังมื้อกลางวันเพิ่งลาดตระเวนไปหนึ่งครั้ง สวนดอกไม้หลังบ้านก็ไม่ได้ละเลยไปเช่นกัน ทว่าตอนนั้นไม่ปรากฏความผิดปกติใดๆ หลังกำแพงรั้วของด้านนอกสวนดอกไม้หลังบ้านนั่นเป็นตรอกสายหนึ่งที่เปลี่ยวเอาการ ปกติแล้วไม่มีผู้คนผ่านไปมาสักเท่าใด ทว่าเมื่อพ้นตรอกออกไปจะเป็นตลาดริมทางที่ครึกครื้นซึ่งแบ่งออกเป็นสองทาง ตะวันตกและตะวันออก ฝั่งตรงข้ามตรอกสายนี้เป็นสวนหลังบ้านของใต้เท้าเจียง เจ้าหน้าที่ขุนนางผู้กำกับดูแลกรมยุติธรรม ข้าส่งคนออกไปถามไถ่แถวตลาดริมทางทั้งสองฝั่งแล้วว่ามีคนเห็นคุณชายน้อยซายเอ๋อร์บ้างหรือไม่ แต่ยังคงไร้วี่แววขอรับ”
ภายใต้คำบอกกล่าวของจ้าวจัวอี้หมายถึง คงเป็นไปไม่ค่อยได้ว่าคนร้ายจะพาคนเป็นๆ ผ่านตลาดนั่นไป หากทำเช่นนั้น ร้านค้าริมทางทั้งสองด้านก็คงต้องสังเกตเห็นบ้าง เป็นไปไม่ได้ที่จะไร้วี่แววเพียงนี้
มือปราบเจิ้งเป็นผู้มีทักษะในสายงานตนเองอย่างสูงจึงเป็นอันเข้าใจได้ในทันทีที่ได้ฟัง “เรื่องนี้ ข้าพอเข้าใจแล้ว วางใจได้ ข้าจะรีบจัดการให้คนใต้บังคับบัญชาดำเนินการตรวจสอบอย่างลับๆ โดยเร็ว พวกท่านอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป ในเมื่อพวกเขาลักพาตัวคนไป แน่นอนว่าต้องมีจุดประสงค์บางอย่าง ไม่แน่ว่าในเร็วๆ นี้จะมีจดหมายส่งมาก็เป็นได้”
“เช่นนั้นก็รบกวนท่านพี่เจิ้งด้วยนะเจ้าคะ” หลินหลันในเวลานี้สงบจิตสงบใจได้มากขึ้น จริงอย่างที่หัวหน้ามือปราบเจิ้งกล่าว ตระกูลฉินทุ่มทุนวางแผนลักพาตัวคนไป แน่นอนว่าต้องมีแผนการบางอย่างรออยู่ เพียงแต่ตระกูลฉินเจียวรู้ภูมิหลังของซานเอ๋อร์หรือไม่ หากรับรู้ว่าตนเองลักพาตัวคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับจวนหลี่ไปจะนำมาซึ่งการประหารชีวิตทั้งชั่วโคตรหรือไม่ เมื่อนึกถึงประเด็นนี้ หลินหลันก็รู้สึกหวั่นใจ ดังนั้น เวลานี้จะกระโตกกระตากไปไม่ได้ ทำได้เพียงตรวจสอบอย่างลับๆ เท่านั้น
หัวหน้ามือปราบเจิ้งพยักหน้า จากนั้นหันไปเอ่ยถามอวิ๋นอิง “เจ้าลองเล่ามาอีกสิว่า เสื้อผ้าที่คุณชายน้อยซานเอ๋อร์สวมใส่มีลักษณะและความโดดเด่นเป็นพิเศษเช่นไร”
“วันนี้คุณชายน้อยซานเอ๋อร์สวมใส่ชุดผ้าไหมสีเขียวเข้มคอกลม บนลำคอสวมใส่สร้อยคล้องจี้แม่กุญแจเลี่ยมกรอบทอง บนมือสวมใส่กำไลทองวงหนึ่ง ส่วนสูงประมาณนี้เจ้าค่ะ…” อวิ๋นอิงเปรียบเทียบกับเรือนร่างตนเอง ซานเอ๋อร์อยู่ในระดับหน้าอกนาง “ใบหน้ากลมมน ลักษณะจ้ำม่ำ ดวงตากลมโต น่ารักอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
การบรรยายลักษณะเสื้อผ้าพอเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ทว่าลักษณะรูปลักษณ์นี่ ดูเหมือนไม่ได้แตกต่างไปจากคุณชายน้อยของครอบครัวผู้ร่ำรวยอื่นๆ เท่าใดนัก หัวหน้ามือปราบเจิ้งขมวดคิ้ว
หลินหลันส่งสายตาเป็นสัญญาณให้หยินหลิ่ว จากนั้นหยินหลิ่วจึงหยิบรูปวาดเสมือนออกมาส่งให้หัวหน้ามือปราบเจิ้ง
“ท่านพี่เจิ้ง นี่เป็นภาพวาดเหมือนของซานเอ๋อร์เจ้าค่ะ แม้ไม่เหมือนเสียทีเดียว แต่ก็คล้ายคลึงอยู่มากเจ้าค่ะ”
เฝิงซูหมิ่นร้องห่มร้องไห้อยู่ด้านข้างมาโดยตลอด ภายในใจรู้สึกเสมือนถูกมีดกรีดเฉือน ซานเอ๋อร์เป็นทั้งชีวิตของนางเชียวนะ! นางรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ นางจะขอไม่สนใจความนึกคิดของผู้เป็นสามี ตัวเขาเองต้องการให้บุตรชายบุตรสาวยอมรับก็เชิญไปจัดการด้วยตนเอง ไยต้องให้นางช่วยคิดแผนการด้วย ตอนแรกที่นางแต่งกับเขา นั่นเป็นเพราะพูดไว้อย่างดิบดีว่า เขาตัวคนเดียวบนโลกใบนี้…นางเกลียดผู้เป็นสามีนาง ยิ่งไปกว่านั้นคือเกลียดตนเองที่คิดอะไรบ้าบอเช่นนั้น คราวนี้จึงกลายเป็นการนำซานเอ๋อร์เข้าไปเดิมพันไว้เสียแล้ว
เมื่อหัวหน้ามือปราบเจิ้งได้รับรูปวาดเสมือนเป็นที่เรียบร้อย จึงยกสองมือขึ้นคารวะและกล่าวลา โดยมีจ้าวจัวอี้เป็นผู้ส่งเขาจนพ้นประตูจวน
หลินหลันมองดูเฝิงซูหมิ่นที่กำลังเศร้าโศก ขณะนี้นางเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรพูดอะไรถึงจะเป็นการดี แม่โจวแอบรู้สึกหดหู่ใจอยู่ลึกๆ นางจึงนำคนที่ไม่เกี่ยวข้องพาเดินออกไป
ภายในห้องเหลือเพียงสองสตรีที่ต่างฝ่ายต่างโอบกอดความเศร้าเสียใจอยู่
หลินหลันอยากเอื้อนเอ่ยว่า ให้เจ้ารับตัวคนเขากลับไปตั้งนานแล้ว เจ้าดันแอบอยู่ได้ มิเช่นนั้นคงไม่เกิดเรื่องนี้ ทว่าคิดๆ ดูแล้วซานเอ๋อร์เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่เฝิงซูหมิ่นให้กำเนิด เมื่อซานเอ๋อร์เกิดเรื่อง ผู้ที่เสียใจมากที่สุดจึงหนีไม่พ้นนางเฝิง หากนางตำหนินางเฝิงอีก ก็เท่ากับการสาดเกลือลงบนปากแผลของคนเขา จะดูไร้คุณธรรมเกินไป และถึงอย่างไรก็เป็นการหายตัวไปจากจวนของนาง จึงเป็นความผิดยิ่งใหญ่สำหรับนางที่ต้องรับผิดชอบ
เมื่อคิดไปคิดมา หลินหลันจึงทำเพียงปลอบประโลมนาง “ซานเอ๋อร์จะไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ”
นางไม่เอ่ยปากใดๆ เฝิงซูหมิ่นก็ยังพออดกลั้นอยู่ได้ แต่เมื่อเอื้อนเอ่ยขึ้นมา เฝิงซูหมิ่นจึงร้องห่มร้องไห้อย่างหนักด้วยสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าวขึ้นมาทันที
หลินหลันถึงกับทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นนางร้องไห้ออกมา เดิมทียังมีความนึกคิดตำหนินางเฝิงเล็กน้อย ล้วนกลายเป็นนึกกล่าวโทษตนเองอย่างหนักหน่วง นางพยายามเค้นเสียงกล่าวออกไปด้วยความรู้สึกแย่ “ขอโทษนะเจ้าคะ เป็นข้าเองที่ไม่คอยดูซานเอ๋อร์…”
“เจ้าขอโทษตอนนี้แล้วมันจะมีประโยชน์อันใดหรือ หากซานเอ๋อร์ไม่กลับมาแล้ว ข้าก็จะตามเขาไปด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไรข้าก็เป็นส่วนเกินอยู่แล้ว ไม่ขออยู่ขัดขวางครอบครัวที่อบอุ่นของพวกเจ้าหรอก…” ความโกรธเกรี้ยวที่เฝิงซูหมิ่นอดกลั้นมานับเดือน สมองแทบระเบิดออกมาเป็นจุลก็ว่าได้ ไม่ใช่นางประชดประชัน แต่นางคิดเช่นนี้จริงๆ มาไกลถึงขั้นนี้แล้ว นางไม่สนใจอะไรทั้งนั้นอีกแล้ว
หลินหลันโกรธเคืองตาเฒ่านั่นอย่างมาก ทว่านางก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักแยกแยะ เรื่องที่ตาเฒ่านั่นไม่มั่นคงต่อคู่ครองจึงไปแต่งงานใหม่เป็นเรื่องที่ไม่อาจโทษเฝิงซูหมิ่นได้ เกินกว่าครึ่งคือคนเขาไม่รู้เรื่องราวภายใน นางไม่กล่าวโทษเฝิงซูหมิ่น แต่ก็ไม่อาจรับความจริงที่ว่าเฝิงซูหมิ่นเป็นแม่เลี้ยงของนางได้ เมื่อได้ยินเฝิงซูหมิ่นกล่าวอย่างใส่อารมณ์เช่นนี้ ในใจนางจึงไม่ค่อยพึงพอใจเท่าใดนัก
“ซานเอ๋อร์จะต้องกลับมา ข้ารับประกัน ไว้ซานเอ๋อร์กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว พวกท่านก็ใช้ชีวิตของพวกท่านไปอย่างสงบสุข ข้าไม่เคยคิดจะยอมรับคนผู้นี้ ข้าถือว่าเขาตายจากไปตั้งนานแล้วเจ้าค่ะ”
เฝิงซูหมิ่นหยุดชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นร้องห่มร้องไห้ขึ้นมาอีกระรอก “เป็นเพราะความโง่เขลาของตานั่นแท้ๆ ดันไปเชื่อคำลวงหลอกของพี่สาวเขาผู้นั้น หลับหูหลับตาเชื่อเป็นจริงเป็นจังไปเสียได้ ตระกูลเหล่าหลินพวกเขาไม่มีดีสักคน ทำให้เจ้าทุกข์แล้ว ยังทำให้ข้าทุกข์ไปด้วยอีก หากไม่ใช่พี่สาวของเขาสร้างปัญหาที่บ้านข้า ข้าก็มารับซานเอ๋อร์กลับไปตั้งนานแล้ว คงไม่เกิดเรื่องประเภทนี้ไปได้ ซานเอ๋อร์ ซานเอ๋อร์ของข้า…”
อะไรนะ? ที่แท้ป้าใหญ่ที่ปากเสียผู้นั้นมาอยู่เมืองหลวงแล้วนี่เอง หลินหลันรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาทันใด นางยังคิดอยู่ว่าจะรอพี่ใหญ่กลับมาแล้วค่อยไปหาป้าใหญ่ที่หูโจวเพื่อคิดบัญชีกับนาง คราวนี้กลายเป็นว่านางดันมาเยือนถึงถิ่นแล้ว ไว้รอตามซานเอ๋อร์กลับมาได้แล้ว นางจะต้องไปจัดการป้าใหญ่ให้เห็นดีกัน
ในเวลาเดียวกัน ณ บ้านหลังเล็กแห่งหนึ่งที่ไม่รู้ว่าอยู่แห่งหนใด
ดวงตากลมโตดำขลับของซานเอ๋อร์กำลังจ้องมองชายรูปร่างสูงใหญ่เบื้องหน้าที่มีใบหน้าดุดันผู้หนึ่ง คนชาญฉลาดอย่างเขารู้ดีว่าตนเองตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเข้าแล้ว จะกล่าวว่าไม่หวาดกลัวนั่นคงเป็นการโกหก ในใจซานเอ๋อร์รู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง ใจกลางฝ่ามือน้อยๆ ถึงกับเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ
ดวงตาคู่กลมของชายรูปร่างสูงใหญ่กำลังจ้องเขม็งมาเช่นกัน หัวหน้าให้เขามาดูเจ้าเด็กน้อยนี่ งานชนิดนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ทำ เขาคิดไว้เรียบร้อยแล้วว่าหากเด็กน้อยนี่ร้องไห้ขึ้นมาก็จะตบสักฉาดหนึ่งให้สลบไปเลย ทว่าเด็กน้อยที่อยู่เบื้องหน้าไม่ร้องไห้และไม่โวยวายแต่อย่างใด ทำเพียงมองดูเขาด้วยสีหน้าขลาดกลัว ทำให้เขามีความรู้สึกประเภทคนที่มีความสามารถเต็มตัว แต่ไม่มีที่ให้แสดงฝีมือ
“ท่านลุง…” ซานเอ๋อร์เอ่ยเรียกอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ทำไม” เสียงทุ้มก้องของชายร่างใหญ่ตะคอกดุดัน
ซานเอ๋อร์ตัวสั่นเทิ้ม กล่าวอย่างน่าสงสาร “ท่านลุง ข้าหิวแล้ว กลางวันก็กินไปแค่บะหมี่ชามเดียวเอง”
“จะบ่นอะไรนักหนา? อดทนไว้ ดูรูปร่างเจ้าสิ มีแต่เนื้อกับไขมัน อดสักสามวันก็ไม่ตายไปได้หรอก” ชายรูปร่างสูงใหญ่กล่าวอย่างดุดัน
ซานเอ๋อร์เม้มริมฝีปาก ก้มหน้าก้มตาลงไปกล่าวเสียงบางเบา “พอข้าหิวแล้วก็อยากจะร้องไห้”
“ขืนบังอาจร้องไห้ข้าก็จะตบหน้าเจ้าให้ตายไปเลย” ชายรูปร่างสูงใหญ่ยกมือขึ้นข่มขู่
หูของซานเอ๋อร์แทบจะอื้ออึงเพราะเสียงของเขา เห็นว่าคนผู้นี้เกรี้ยวกราดดุดันจริงจัง จึงทำได้เพียงอดกลั้นไว้ก่อน ในเมื่อตกอยู่ในที่นั่งลำบาก การยอมอ่อนข้อจะช่วยให้ไม่กลายเป็นผู้เสียเปรียบ รอดูอีกเดี๋ยวว่าจะพอเจรจาต่อรองสักหน่อยได้หรือไม่
“เหล่าเถี่ย เจ้าเสียงเบาหน่อยได้หรือไม่ บ้านจะถล่มลงมาเพราะเสียงของเจ้าอยู่แล้ว” คนผู้หนึ่งผลักประตูเข้ามา ซึ่งเป็นชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำบึกบึนผู้หนึ่ง
“เว่ยจื่อ ไอ้เด็กน้อยนี้ ขืนเจ้าไม่ดุเขา เขาก็คงไม่เชื่อฟังเอาได้” เหล่าเถี่ยกล่าวอย่างหงุดหงิด
ชายฉกรรจ์ที่นามว่าเว่ยจื่อโบกมือใส่เขา “เอาละๆ เจ้าออกไปกินข้าวกินปลาก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าคอยดูทางนี้ไว้เอง”
เหล่าเถี่ยชี้นิ้วระดับจมูกของซานเอ๋อร์ พูดขู่ “ไอ้เด็กทุเรศ ช่วยสงบเสงี่ยมไว้ด้วยละ” จากนั้นชูกำปั้นหมัดใหญ่ขึ้นมาแล้วส่ายไปมาอยู่เบื้องหน้าซานเอ๋อร์
ซานเอ๋อร์พยักหน้าระรัว ยามนี้เองเหล่าเถี่ยถึงได้เดินออกไปอย่างพึงพอใจ
ถุย! เจ้ามันไอ้สารเลวกระจอกๆ คนหนึ่ง ก็ดีแต่ข่มขู่ต่อหน้าเด็กเล็กเท่านั้นละ ถือว่าเก่งกาจหรือไร แน่จริงเจ้าก็ลองไปดวลตัวต่อตัวกับพี่จ้าวสิ พี่จ้าวต้องเล่นงานเจ้าจนกลายเป็นลูกแมวเหมียวเป็นแน่ ซานเอ๋อร์แอบก่นด่าในใจ
“เด็กน้อย ต้องเชื่อฟังเข้าไว้ มิเช่นนั้นไอ้หมอนี่ได้ลงมือกับเจ้าจริงๆ แน่” เว่ยจื่อกล่าวอย่างสบายๆ
ดวงตาของซานเอ๋อร์เบิกกว้างอย่างไร้เดียงสาและกล่าว “ข้าจะเชื่อฟังอย่างยิ่ง แต่ข้าหิวแล้ว เขาไม่ให้ข้ากินข้าว”
เว่ยจื่อครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “เจ้าอยู่ตรงนี้อย่าซุกซน เดี๋ยวข้าจะไปหยิบมาให้เจ้าสักหน่อยแล้วกัน”
เมื่อเว่ยจื่อเดินออกไป ซานเอ๋อร์กระโดดลงจากเตียงเตาซึ่งก่อขึ้นจากอิฐ และหมอบลงกับพื้นเพื่อมองผ่านช่องประตูด้านล่าง จึงเห็นว่าในลานบ้านมีชายฉกรรจ์สามคนนั่งล้อมวงอยู่ กำลังกินและดื่มสุราอยู่ตรงนั้น บ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านใหม่ ไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป แต่ก็นับว่าสะอาดสะอาดทีเดียว ใจกลางลานบ้านมีหินโม่ตลอดจนอุปกรณ์ทำไร่ทำสวนวางไว้อีกด้วย คงไม่ใช่บ้านของคนที่มีเงินทองอะไร ซานเอ๋อร์เคยแอบได้ยินพี่หลินหลันพูดคุยกับพี่จ้าว ดูเหมือนเกี่ยวกับตระกูลฉินกำลังจ้องเล่นงานพี่หลินหลันและพี่เขยอยู่อะไรทำนองนี้ ดังนั้นคนเหล่านี้ก็คงเป็นคนของตระกูลฉินกระมัง! ว่าแต่ที่นี่มันเป็นที่ไหนกันล่ะ?