ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่277-1หลบหนี
พอถูกซานเอ๋อร์ยกยอปอปั้นชุดใหญ่ พวกเหล่าเถี่ยก็ไม่ดุร้ายใส่ซานเอ๋อร์เพียงนั้นอีกแล้ว ทั้งยังรู้สึกว่าเล่นกับเด็กน้อยนี่ก็สนุกดีทีเดียว
ช่วงกลางคืน ซานเอ๋อร์กล่าวว่านอนคนเดียวกลัวผี ดื้อดึงลากเว่ยจื่อมาอยู่เป็นเพื่อนเขาให้ได้ ทว่าเว่ยจื่อต้องไปจัดการเรื่องราวบางอย่าง จึงให้เหล่าเถี่ยอยู่เป็นเพื่อน ซานเอ๋อร์กล่าวว่านอนก็นอน จากนั้นก็นอนหลับอย่างสำราญใจ เหล่าเถี่ยตอนแรกยังนั่งจับตามองเขาอย่างเป็นจริงเป็นจัง จากนั้นเมื่อเห็นว่าซานเอ๋อร์นอนหลับไปแล้วถึงขั้นน้ำลายไหลย้อยลงมาอีกด้วย อย่าว่าแต่ปลุกเขาให้ตื่นเลย ต่อให้จับเขาโยนลงบนถนนก็คงไม่ตื่นด้วยซ้ำไป ขณะนั้นเองเหล่าเถี่ยจึงค่อยๆ ผ่อนปรนการเฝ้าระวัง เขายกสองแขนขึ้นกอดอก และเอนกายพิงกับเสาหัวเตียงพร้อมกับหาวหวอด
ค่ำคืนนี้เฝิงซูหมิ่นไม่กลับจวนแม่ทัพแล้วเช่นกัน นางพักค้างแรมอยู่ที่จวนหลี่เพื่อจะได้รับรู้สถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที หลินหลันก็เกรงใจเกินกว่าจะขัดความต้องการนางได้ จึงให้คนช่วยจัดเตรียมห้องให้เฝิงซูหมิ่นเข้าพัก
กลางดึก หลินหลันนอนพลิกตัวไปมา ลูบคลำดาบไม้ขนาดเล็กที่อยู่ใต้หมอนหนุน นึกถึงซานเอ๋อร์ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือผู้ร้ายตอนนี้ อาจกำลังหิว อาจถูกทุบตี หรืออาจ…ในใจของนางก็รู้สึกเสมือนถูกคนใช้มีดกรีด แม้แต่หายใจก็ยังรู้สึกเจ็บปวด อุตส่าห์ป้องกันอย่างระมัดระวังเพียงนั้น ท้ายที่สุดกลับเกิดเรื่องจนได้ และดันเป็นการเกิดเรื่องกับซานเอ๋อร์ หากเป็นไปได้ นางยินยอมให้ใช้ตัวนางแลกเปลี่ยนซานเอ๋อร์กลับคืนมา
เหล่าเถี่ยนอนหลับไปถึงกลางดึก ถูกสายลมเย็นยะเยือกพัดโชยมาสร้างความหนาวสั่นจึงตื่นขึ้นกะทันหัน เห็นว่าบนเตียงปราศจากเรือนร่างคน ภายในห้องมีเพียงความว่างเปล่า เมื่อมองไปยังบานหน้าต่างที่เคยปิดอยู่กำลังเปิดกว้าง ใต้หน้าต่างมีเก้าอี้ตัวเตี้ยหนึ่งตัววางอยู่ ความรู้สึกตื่นตระหนกจึงบังเกิดขึ้นทันใด เขาพุ่งตัวออกไปจากห้อง ตะโกนใส่เอ้อร์หนิวและชายฉกรรจ์รูปร่างผอมที่คอยเฝ้ายามอยู่บริเวณปากประตู “รีบตื่นเร็วเข้า ตื่นเร็วเข้าโว้ย ไอ้เด็กบ้านั่นหนีไปแล้ว”
เอ้อร์หนิวถูกเหล่าเถี่ยตะคอกใส่ จนสะดุ้งโหยงไปทั้งตัว คางกระแทกเข้ากับด้ามมีดดาบ ทั้งยังกัดลิ้นตนเองเข้าเสียแล้ว เขาจึงบ่นโอดครวญพึมพำอยู่ในปาก “ดึกดื่นขนาดนี้ เจ้าจะตะโกนทำซากอะไรหรือ ข้ากำลังฝันว่าได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเสี่ยวเถาหงอยู่เลยเชียว!”
โซ่วจื่อชายฉกรรจ์รูปร่างผอมขยี้ตาอย่างสะลึมสะลือ มองดูประตูใหญ่ที่ยังคงปิดสนิทอยู่ “เหล่าเถี่ย เจ้าฝันไปหรือไง! เจ้าเด็กนั้นปีนกำแพงหรือเดินทะลุกำแพงไม้ไปได้หรือไง! เขาจะหนีไปได้อย่างไรหรือ”
เหล่าเถี่ยถึงได้ตระหนักขึ้นมาได้ ก็นั่นสิ? เจ้าเด็กนั่นแขนขาสั้นแล้วยังปีนข้ามกำแพงไปได้เสียที่ไหนกันล่ะ? ไม่แน่ว่ากำลังแอบอยู่ตรงไหนสักแห่ง
เอ้อร์หนิวกลับจ้องมองรถม้าสองล้อคันหนึ่งที่มุมกำแพงด้วยสีหน้าตะลึงงัน บนรถนั้นยังวางถังไม้คว่ำไว้อีกด้วย คราวนี้จึงเป็นอันตื่นตระหนกกันถ้วนหน้า แม้แต่ความรู้สึกเจ็บปวดที่ลิ้นก็มลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“เหล่าเถี่ย ไอ้ผอม พวกเจ้าดูสิ…” เอ้อร์หนิวชี้ไปมุมกำแพง
เหล่าเถี่ยและชายฉกรรจ์รูปร่างผอมสบตากัน ภายในสมองเต็มไปด้วยความตะลึงงันไปสามวินาที จากนั้นส่งเสียงออกมาอย่างพร้อมเพรียง “หนีไปแล้วจริงๆ ด้วย…”
“รีบตามไปเร็วเข้า ไอ้เด็กเวรนี่ยังหนีไปไม่ไกลเป็นแน่…” เอ้อร์หนิววิ่งนำไปเปิดประตูบานใหญ่ จากนั้นทั้งสามคนก็พร้อมใจกันวิ่งหน้าตั้งออกไป
ภายในลานบ้านเงียบสงัด ซานเอ๋อร์คลานออกมาจากใต้เตียง สะบัดมือสะบัดขาแล้วเดินไปยังบริเวณประตู มองดูในลานบ้าน ปรากฏว่าไม่มีผู้คนอยู่แล้วจริงๆ ด้วย เขาจึงรีบวิ่งไปยังประตูบานใหญ่ นี่เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากหนีไม่รอด จากนี้ก็อย่าได้หวังว่าจะหนีไปได้อีกแล้ว ซานเอ๋อร์ใจเต้นอย่างรุนแรง ครั้งนี้ต้องหนีออกไปให้ได้อย่างราบรื่น เมื่อกลับไปคงต้องขอบคุณพี่จ้าวอย่างดี ครั้งนี้ต้องขอบคุณที่พี่จ้าวบอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้นกับเขา
หลังซานเอ๋อร์พ้นบริเวณลานบ้านไปแล้ว เห็นปากทางประตูเป็นตรอกสายหนึ่ง ช่วงกลางดึก ภายในตรอกมืดสนิทและเงียบสงัดจนชวนหวาดกลัว ซานเอ๋อร์รู้สึกขลาดกลัวจึงพยายามปลุกระดมความกล้าหาญ โดยการพูดว่าบนโลกนี้ไม่มีผี ที่ทำอะไรพิสดารแปลกประหลาดล้วนเป็นฝีมือคนทั้งสิ้น ซานเอ๋อร์ไม่แยกทิศตะวันตกตะวันออก ท่อนขาน้อยๆ เริ่มวิ่งหน้าตั้ง วิ่งไปถึงปากตรอก เห็นบริเวณปากตรอกมีกองขยะหนึ่งกอง ซานเอ๋อร์หยุดชะงักฝีก้าวลง และทะยานเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในกองขยะโดยไม่สนว่าจะเหม็นหรือไม่ จะสกปรกหรือไม่ เขานำขยะทับถมบนเรือนร่างตนเองไว้จนมิดชิด
ปรากฏว่า ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังมา
“เอ้อร์หนิว ทางด้านเจ้านั่นมีหรือไม่” เป็นเสียงของเหล่าเถี่ย
เอ้อร์หนิวหอบหนัก “ไม่มี ว่ากันตามหลัก ไอ้เด็กเวรนั่นไม่น่าวิ่งไวขนาดนี้”
เหล่าเถี่ยกล่าวด้วยความร้อนใจ “ครั้งนี้ซวยแน่ หัวหน้าไม่ให้อภัยพวกเราแน่”
“มันน่าประหลาดจริงๆ เลยเว้ย ไอ้เด็กเวรนี่มันหายตัวได้หรืออย่างไร ข้าพลิกหาทั่วทั้งถนนฝั่งตะวันตกและตะวันออกแล้วแท้ๆ”
ชายฉกรรจ์รูปร่างผอมกล่าว “ข้าว่า ไอ้เด็กนี่มันจัดฉากล่อเสือออกจากถ้ำให้พวกเราแล้วหรือไม่”
ทั้งสามคนถึงกับตะลึงงันไปทันที จากนั้นเหล่าเถี่ยจึงเอ่ยปากขึ้น “ไป กลับไปดูกัน”
ฝีเท้าค่อยๆ เคลื่อนห่างไกลออกไป
ซานเอ๋อร์ไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวใดๆ อีก แต่ก็ยังไม่กล้าขยับเขยื้อน รอจนกระทั่งพวกเขาออกมาจากบ้านหลังดังกล่าวอีกครั้ง คราวนี้ พวกเขามุ่งไปทางทิศตะวันออก และอีกคนมุ่งไปทางทิศใต้ เวลานี้เอง ซานเอ๋อร์ถึงได้ปัดเศษขยะบนศีรษะออกอย่างระมัดระวัง และปีนป่ายออกมาอย่างเบามือเบาเท้า เมื่อพ้นตรอกทางทิศตะวันตกจึงวิ่งสุดกำลัง เขาไม่รู้แน่ชัดเจนกันว่าบ้านของเขาอยู่ทิศทางไหน รู้เพียงว่าต้องหนีคนชั่วร้ายเหล่านี้ให้ไกลเข้าไว้ถึงจะปลอดภัย
ในค่ำคืนเดียวกัน ในห้องหนังสือของตระกูลฉิน แสงไฟกำลังส่องสว่าง ใบหน้าของฉินจ้งเคร่งขรึมจนแทบจะกลั่นน้ำหมึกออกมาก็ว่าได้
“ไอ้พวกขยะ ไม่ได้เรื่องสักตัว สูญเสียคนไปจำนวนมากเพียงนี้ แม้แต่ขนมันก็ไม่ได้แตะเลยด้วยซ้ำ นี่มันเป็นขยะชัดๆ” ฉินจ้งกล่าวตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยว
เมื่อเผชิญหน้าบิดาที่กำลังเดือดดาล ฉินเฉิงซื่อจึงไม่กล้าปริปากใดๆ ฝ่ามือที่ซ่อนในแขนเสื้อสั่นเทิ้ม การลอบสังหารครั้งนี้พังไม่เป็นท่า กำลังพลกล้าตายสามร้อยนายที่ตระกูลฉินส่งไปไม่เหลือรอดกลับมาแม้แต่คนเดียว แม้กระทั่งแม่ทัพหม่าโหยวเหลียงก็ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ซึ่งนั่นเป็นคนที่ตระกูลฉินแทรกแซงไว้ในค่ายกองทัพเป่ยซานมานานหลายปี การสูญเสียครั้งนี้มันเกินกว่าที่จะคาดเดาได้ ผู้ที่หมายมั่นเอาชีวิตมากที่สุดคือหลี่หมิงอวินก็ข้ามเส้นทางภูเขาไท่หางมาแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะถึงเมืองหลวง หากตระกูลฉินคิดจะปลิดชีพเขาอีกครั้ง เกรงว่าคงไม่ง่ายดายเสียแล้ว
“ท่านพ่อ ข้างกายหลี่หมิงอวินมีทหารองครักษ์สามพันนายของหนิงซิ่ง ต้องการลอบสังหารเขาไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ ขอรับ โชคดีที่ตอนนี้เรามีตัวประกันอยู่ในมือ คงพอจะต่อรองกับเขาได้บ้างขอรับ” ฉินเฉิงซื่อกล่าวอย่างระมัดระวัง
แววตาฉินจ้งลุกวาวขึ้น และกล่าวอย่างเย็นชา “ตัวประกัน? พวกเจ้าดันเอาตัวเด็กคนนั้นมาน่ะหรือ หลี่หมิงอวินหาได้มีบุตรชายไม่”
ฉินเฉิงซื่อกล่าวโต้แย้ง “แม้ว่าเด็กนั่นไม่ใช่บุตรชายของหลี่หมิงอวิน แต่ก็เป็นคนที่สะใภ้รองตระกูลหลี่คอยให้อยู่ข้างกายตลอดเวลา คิดๆ ดูแล้วก็คงเป็นญาติมิตรของครอบครัวเขานะขอรับ”
“หลี่หมิงอวินแม้แต่บิดาของตนเองจะเป็นหรือตายยังไม่แยแส แล้วนับประสาอะไรกับญาติมิตร?” ฉินจ้งไม่เห็นว่าคนที่เรียกว่าตัวประกันนั่นจะมีน้ำหนักเพียงพอแต่อย่างใด
ฉินเฉิงซื่อไร้คำโต้แย้งใดๆ หลี่หมิงอวินเป็นคนโหดเหี้ยมคนหนึ่งจริงๆ ตัวประกันทั่วไปคงใช้ต่อกรอะไรกับเขาไม่ได้จริงๆ
ฉินจ้งรู้สึกเดือดดาลอย่างยิ่ง คิดๆ ดูเรื่องราวมันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ร้อนใจไปก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน จึงทำเพียงกล่าว “เก็บตัวประกันไว้ก่อน และคอยจับตาดูไว้ให้ดีๆ ด้วย เมื่อหลี่หมิงอวินกลับมาแล้ว ดูการเคลื่อนไหวของพวกเขาแล้วค่อยว่ากันอีกที”
“ขอรับ! ท่านพ่อ” ฉินเฉิงซื่อขานรับทันควัน
“หลายวันมานี้อาการป่วยของไท่โฮ่วเปลี่ยนไปในทางที่ดี พรุ่งนี้ข้าจะเข้าวังไปขอเข้าเฝ้าไท่โฮ่ว จะได้กำหนดเรื่องงานแต่งของอู่หยางให้เรียบร้อยเสียก่อน อาศัยช่วงที่พ่อลูกแห่งแคว้นเจิ้นหนานอยู่เมืองหลวง เร่งรีบจัดงานแต่งให้เรียบร้อยเสีย เมื่อมีอ๋องเจิ้นหนานช่วยสนับสนุนอีกแรง หากเรื่องราวไปถึงขั้นนั้นจริง พวกเราก็ไม่ต้องเกรงกลัวใดๆ เช่นกัน” ฉินจ้งกล่าวเชิงปลอบใจตนเอง
“จริงอย่างที่ท่านพ่อกล่าวขอรับ ส่วนทางด้านค่ายเป่ยซานนั้น ลูกจะเร่งหาคนมาแทนตำแหน่งแม่ทัพหม่าโดยเร็วขอรับ” ฉินเฉิงซื่อกล่าวอย่างนอบน้อม
ฉินจ้งพยักหน้า “เรื่องนี้เร่งมือหน่อย อย่าให้องค์ชายสี่แทรกคนของเขาเข้าไปยังค่ายเป่ยซานได้เชียว”
ฉินเฉิงซื่อเดินออกมาจากห้องหนังสือของบิดา เงาดำร่างหนึ่งยืนอยู่ใต้ชายคาระเบียงทางเดิน
ฉินเฉิงซื่อขมวดคิ้ว เดินมุ่งตรงออกจากลานบ้าน แล้วถึงเอ่ยถามขึ้น “มีเรื่องอันใด”
เรือนร่างในเงามืดกล่าวด้วยน้ำเสียงสลดหดหู่ “ตัวประกันหนีไปแล้วขอรับ”
ฉินเฉิงซื่อรู้สึกราวกับสมองจะระเบิดขึ้นมาฉับพลัน “อะไรนะ หนีไปแล้ว?”
ฟ้าสว่างรำไร ตามด้วยเสียงไก่เสียงนก บ้านเก่าหลังหนึ่งทางด้านทิศตะวันตกของเมืองหลวง ประตูไม้ที่เก่าทรุดโทรมเปิดออกเกิดเสียงดัง แอ๊ด ภรรยาสาวชาวบ้านผู้หนึ่งถือชามกระเบื้องใบหนึ่งเดินไปยังสุ่มไก่ แล้วเปิดสุ่มไก่ออก จากนั้นปล่อยไก่ออกมากินอาหาร
“กุ๊กๆๆ…กุ๊กๆๆ…กินเข้าไปให้เยอะๆ จะได้ออกไข่ให้มากหน่อย” ภรรยาสาวชาวบ้านโปรยเมล็ดข้าวเปลือกลงบนพื้น จากนั้นแม่ไก่จำนวนหนึ่งก็ส่งเสียงร้องและวิ่งเข้ามาจิกกินข้าวเปลือกบนพื้นอย่างรวดเร็ว
ภรรยาสาวชาวบ้านวางชามกระเบื้องลงด้วยสีหน้าเบิกบาน จากนั้นไปหยิบไม้กวาดที่วางอยู่ข้างกองฟางเพื่อเตรียมกวาดลานบ้าน
“หยา…” ภรรยาสาวชาวบ้านส่งเสียงร้องด้วยความตระหนกตกใจ ตื่นตกใจจนโยนไม้กวาดทิ้งออกไปไกล
“ชุ่ยเอ๋อร์ เจ้าโหวกเหวกโวยวายทำไมแต่เช้าหรือ ท่านแม่ยังป่วยอยู่เลย! อย่าทำให้ท่านแม่ตื่นตระหนกไปสิ” บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเดินพ้นประตูออกมากล่าวอย่างไม่พอใจพลางสวมใส่เสื้อผ้าไปในขณะเดียวกัน
“พ่อเอ้ย เจ้ารีบมาดูนี่เร็วเข้า” ภรรยาสาวกวักมือเรียกเขาพัลวัน
“อะไรหรือ” บุรุษหนุ่มเดินเข้ามา เมื่อมองไปตามนิ้วของภรรยาที่ชี้ไป เขาเองก็ตื่นตกใจจนสะดุ้งเฮือกเช่นกัน บริเวณข้างกองฟางนี้เหตุใดถึงมีเด็กน้อยนอนหลับอยู่ล่ะ! มาจากแห่งหนใดหรือ
สองสามีภรรยาหย่อนตัวลงนั่งข้างเด็กน้อยและจ้องมองดู
“พ่อเอ้ย เจ้าดูสิ เสื้อผ้าบนเรือนร่างเด็กคนนี้ใหม่เอี่ยมและเงาวาว ต้องเป็นบุตรของครอบครัวคนมีเงินแน่นอน”
บุรุษหนุ่มพยักหน้า “คนยากจนอย่างเราๆ คงเลี้ยงดูเด็กให้มีน้ำมีนวลเพียงนี้มิได้หรอก”
“เจ้าว่าเหตุใดเขาถึงเข้ามาในบ้านเราล่ะ ประตูนี้ก็ไม่ได้เปิดไว้เสียหน่อย!”
บุรุษหนุ่มหันหน้ามองไปยังช่องโหว่ใต้มุมกำแพง “บางทีอาจแทรกตัวเข้ามาจากช่องไหนสักช่อง”
“เช่นนั้น…ทำอย่างไรดีหรือ แจ้งทางการขุนนางดีหรือไม่”
เมื่อคืนซานเอ๋อร์วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต วิ่งจนเหน็ดเหนื่อยสุดขีด เมื่อเห็นหลุมสุนัขรอดของบ้านครอบครัวหนึ่งก็เลยหมุดเข้ามาแล้วไปซุกตัวอยู่ข้างกองฟางด้วยอยากงีบหลับชั่วครู่ พอได้งีบก็หลับลึกไปเสียแล้ว ยามนี้ถูกเสียงของสองสามีภรรยาปลุกให้ตื่น เขาจึงค่อยๆ หรี่ตาลืมขึ้น
“ท่านอา ท่านน้าขอรับ…”
เห็นเด็กน้อยตื่นขึ้น แล้วยังเรียกพวกเขาอย่างสุภาพ บุรุษหนุ่มจึงเอ่ยถาม “เจ้าเป็นลูกของตระกูลไหนหรือ เหตุใดถึงมาอยู่บ้านข้าได้ล่ะ”
ซานเอ๋อร์เบะปาก ดวงตาคู่กลมเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมา กล่าวอย่างกำลังจะร้องไห้ “มีคนไม่ดีลักพาตัวข้า ต้องการนำข้าไปขายขอรับ ข้าแอบหนีออกมา ท่านอา ท่านน้า รบกวนพวกท่านไปที่จวนแม่ทัพฮ๋วยหยวนและบอกให้คนมารับข้าทีนะขอรับ คนในครอบครัวจะให้รางวัลตอบแทนท่านอย่างหนักแน่นอนขอรับ”
สองสามีภรรยาถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก เด็กน้อยนี่เป็นบุตรของตระกูลท่านแม่ทัพหรอกหรือ…