ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่278-1กลับมาแล้ว
เมื่อมีเบาะแสที่ซานเอ๋อร์มอบให้ ไม่ทันไรหัวหน้ามือปราบเจิ้งก็เสาะหาเบื้องลึกเบื้องหลังของคนร้ายเหล่านั้นได้อย่างกระจ่างแจ้ง พวกเหล่าเถี่ยเดิมทีเป็นนักเลงในแถบเขตเป่าติง อาศัยว่ามีทักษะศิลปะการต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ ช่วยลงไม้ลงมือแทนผู้อื่นได้ ส่วนเว่ยจื่อผู้นั้นยังควานหาต้นตอไม่เจอ หลังเว้นไปหนึ่งวัน ก็จับกุมตัวพวกเหล่าเถี่ยได้ในแทบเขตสุ่นอี้ ตามข้อมูลที่พวกเขาบอกกล่าว พวกเขาไม่ได้เป็นคนลักพาตัว พวกเขามีหน้าที่เพียงแค่คอยจับตาดูไว้ เรื่องราวต่างๆ ล้วนมีเว่ยจื่อเป็นผู้ติดต่อกับเบื้องบนอีกที เมื่อซานเอ๋อร์หนีไป พวกเขาเกรงกลัวว่าหัวหน้าจะไม่ให้อภัยก็เลยหนีตายมาเช่นกัน พวกเขาไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจนของเว่ยจื่อเช่นกัน รู้เพียงเว่ยจื่อเคยอยู่ในค่ายทหารมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว
เรื่องภายในค่ายทหาร หัวหน้ามือปราบเจิ้งไม่อาจแทรกแซงได้ หลินหลันจึงส่งข่าวไปทางจิ้งปั๋วโหว์
หลังจากนั้น ในเมืองหลวงก็เริ่มมีข่าวคราวแพร่งพรายออกไปว่า หลินซานบุตรชายคนเดียวของแม่ทัพฮ๋วยหยวนหายตัวไป ถูกคนลักพาตัวไปแล้ว เพียงชั่วครู่เดียวเรื่องราวนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่ว แต่ละครอบครัวต่างเป็นกังวลต่อบุตรหลานของตนเองขึ้นมา จึงให้ผู้ดูแลในบ้านคอยดูแล ไม่ให้ออกจากประตูใหญ่เป็นอันขาด เรื่องนี้สร้างความตื่นตระหนกไปถึงฮ่องเต้ ฮ่องเต้โกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง แม่ทัพฮ๋วยหยวนเป็นผู้สร้างคุณประโยชน์ให้แก่ราชสำนักไว้ใหญ่หลวง คนเขาสละเลือดเนื้ออยู่ที่ชายแดน บุตรชายอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีฮ่องเต้เป็นผู้ปกครองดันถูกคนลักพาตัวไปได้ แล้วนี่จะไม่เป็นการทำให้คนเขารู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งหรอกหรือ ด้วยเหตุนี้จึงสั่งการกองอำนวยการจัดการดูแลเมืองหลวง และหน่วยงานลาดตระเวนประจำเมืองดำเนินการอย่างเคร่งครัดทันที จะต้องตามหาตัวเด็กกลับมาให้จงได้ และลงโทษผู้ร้ายสถานหนัก
บรรดาฮูหยินที่ปกติแล้วมีมิตรสัมพันธ์ดีงามกับเฝิงซูหมิ่นต่างทยอยมาถึงบ้าน โดยอาศัยข้ออ้างที่ว่าต้องการปลอบใจนางเพื่อมาถามไถ่สถานการณ์ภายใน ทว่าเฝิงซูหมิ่นใช้ข้ออ้างว่านางไม่สบายจึงไม่ขอพบเจอผู้ใด
ในเวลาเดียวกันนี้ ท่ามกลางเมืองหลวงมีคำบอกกล่าวที่น่าสนใจผุดขึ้นมาอีกครั้ง โดยกล่าวว่าบุตรชายของแม่ทัพฮ๋วยหยวนถูกลักพาตัวไปตอนอยู่ในจวนหลี่ฐานะแขกคนหนึ่ง เดิมทีคนเหล่านั้นคิดจะกระทำไม่ดีต่อคนของจวนหลี่…แล้วใครกันที่ต้องการกระทำไม่ดีต่อจวนหลี่? สมองของทุกคนล้วนครุ่นคิดกันไม่หยุดหย่อน ไม่นานนักก็นำเรื่องที่ตระกูลฉินก่อกบฏมาเชื่อมกันเป็นหนึ่งเดียว ยิ่งไปกว่านั้นผู้ก่อการกบฏนี้ก็ยังคิดจะจับตัวฮูหยินหลี่ไปเป็นเครื่องต่อรองอีกด้วย ด้วยการคาดเดาอันรุนแรงดุเดือดยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้ ทำให้ตระกูลฉินถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยผู้คนในสังคมอย่างโหดร้ายและดุดัน
ฉินเฉิงซื่อถูกฉินจ้งว่ากล่าวสั่งสอนอย่างรุนแรงอีกชุดใหญ่ ถูกกระดาษฟ่อนหนาทุบตีหัวแทบตายด้วยซ้ำ ความสัมพันธ์ของตระกูลฉินกับบรรดาขุนนางและทหารในราชสำนักเดิมทีก็ลุ่มๆ ดอนๆ อยู่แล้ว อยู่ดีไม่ว่าดีดันไปจับตัวบุตรชายของตระกูลแม่ทัพฮ๋วยหยวนมาไว้ หากเรื่องนี้ความแตกขึ้นมา คงเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ ฉินเฉิงซื่อรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสมือนไม่ได้รับความยุติธรรม แต่ก็ไม่กล้าโต้เถียงใดๆ ทำได้เพียงยอมรับความซวยนี้ ใครจะรู้ว่าเด็กที่อยู่ข้างกายสะใภ้รองของตระกูลหลี่เป็นบุตรชายของตระกูลแม่ทัพฮ๋วยหยวนล่ะ ฉินเฉิงซื่ออดคิดอย่างไม่สบอารมณ์ไม่ได้ สองปีมานี้ตระกูลฉินทำเรื่องอะไรก็ไม่ราบรื่นไปหมด ได้แต่มองดูการก้าวเดินเข้าสู่สถานการณ์หายนะทีละก้าว หรือมันจะเป็นจดจบของตระกูลที่ยิ่งใหญ่แล้ว?
ในที่สุดหลินหลันก็รู้สึกโล่งอกโล่งใจเสียที จากสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ ตระกูลฉินถูกเพ่งเล็ง ก็คงไม่กล้ากระทำการไม่ดีต่อนางขึ้นมาอีก อย่าว่าแต่ตระกูลฉินไม่กล้าเลย ตระกูลฉินยังต้องขอพรว่าอย่าให้จวนหลี่เกิดเรื่องไม่คาดคิดอะไรขึ้นมาอีกถึงจะเป็นการดี เพราะหากจวนหลี่เกิดเรื่องไม่ดีอะไรขึ้นมาอีก บัญชีนี้คงถูกนับรวมมาถึงพวกเขาด้วยเป็นแน่
เรื่องดีๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง จิ้งปั๋วโหว์ให้คนมาส่งข่าวคราว กล่าวว่าแม่ทัพหลินกำลังกลับมายังราชสำนักแล้ว นี่หมายความว่าหมิงอวินก็ใกล้กลับมาแล้วเช่นกัน ฟ้าสดใสหลังเมฆครึ้มฝนกำลังมาเยือนเสียที
หลินหลันอารมณ์ดีอย่างยิ่ง นางกำลังหักนิ้วนับจำนวนวัน คำนวณได้ว่าแยกห่างจากหมิงอวินเป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้ว
วันนี้โม่จื่อโหย่วมาหาถึงที่บ้าน กล่าวว่าระยะนี้เขาและศิษย์พี่รองว่างงานจนแทบคลั่ง รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด เลยมาถามไถ่ว่าหุยชุนถางจะกลับมาเปิดทำการอีกครั้งเมื่อใด ดวงตาคู่หนึ่งกลับแอบชำเลืองมองไปยังหยินหลิ่ว หยินหลิ่วจ้องเขม็งใส่เขา ดวงหน้าแดงระเรื่อของเขาจึงหันหนีทันที ผ่านไปเพียงชั่วครู่เดียวก็อดหันไปมองอีกครั้งไม่ได้
ทั้งสองใช้สายตาทำสงครามต่อกัน หลินหลันทำเป็นมองไม่เห็น แต่แอบยิ้มอยู่ภายในใจ ว่างงานจนแทบคลั่งอะไรกัน เห็นๆ อยู่ว่าเพราะไม่ได้เจอะเจอใครคนหนึ่งมาพักใหญ่แล้ว จึงคิดคะนึงถึงแทบแย่ต่างหาก
“ทางด้านหุยชุนถางนี้ไม่อาจรีบเปิดทำการได้ เหวินซานส่งจดหมายมาว่าโรงผลิตเออเจียวที่เมืองตงอาทางด้านนั้นจัดการไปเกือบสมบูรณ์แล้ว ท่านและศิษย์พี่รองหากว่างงานจนเบื่อหน่ายจริงๆ ก็ไปเที่ยวเล่นทางด้านเมืองตงอาเสียก่อนสิ จะได้ถือโอกาสนำสูตรตัวยาติดไปด้วย จากนั้นทำการผลิตสินค้าออกมาชุดหนึ่งแล้วนำกลับมาดู” หลินหลันกล่าวอย่างใจเย็น
โม่จื่อโหยวอ้าปากพะเงิบพะงาบ เนิ่นนานพอตัวกว่าจะเค้นคำพูดออกมาได้ “ศิษย์น้อง หากข้ากับศิษย์พี่รองไปกันหมด แล้วทางด้านนี้หากเจ้าต้องการเปิดทำการหุยชุนถาง แล้วยังมีภาระงานทางด้านบัญชีกองพะเนินต้องจัดการอีกด้วย! เมื่อถึงตอนนั้นกำลังคนไม่พอจะทำไหวได้อย่างไรล่ะ หรือไม่ให้ศิษย์พี่รองไปตงอาก็พอ ให้ข้าคอยอยู่ช่วยเหลือเจ้าที่นี่”
หลินหลันกลั้นหัวเราะ กล่าวออกไปอย่างสบายๆ “นี่ใช่ปัญหาเสียที่ไหนกัน ข้าแค่รอพวกท่านกลับมาแล้วค่อยเปิดทำการหุยชุนถางก็ได้ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่ได้มีเรื่องอันใดต้องใช้เงินอยู่แล้ว”
คราวนี้โม่จื่อโหยวถึงกับไปต่อไม่ถูก เพียงแต่ใบหน้าของเขาถึงกับแดงก่ำขึ้นมา เนิ่นนานผ่านไปเขากัดฟันแน่น แล้วจึงกล่าว “ศิษย์น้อง มีเรื่องหนึ่ง ข้าอยากปรึกษาหารือกับเจ้า”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ “ศิษย์พี่มีอันใดก็ว่ามาได้เลย”
โม่จื่อโหยวมองไปยังหยินหลิ่วอย่างเขินอาย จากนั้นกล่าวอ้ำๆ อึ้งๆ “เรื่องนี้ ข้าต้องพูดคุยกับเจ้าตามลำพัง”
เห็นท่าทางร้อนรนใจของศิษย์พี่ทั้งสอง หลินหลันจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่อหยินหลิ่ว “หยินหลิ่ว เจ้าออกไปทำงานของเจ้าก่อนเถอะ”
หยินหลิ่วมองค้อนใส่โม่จื่อโหยว จากนั้นย่อตัวคาราวะแล้วถอยออกไป
“ว่ามาสิ! มีเรื่องอันใดหรือ” หลินหลันเอ่ยถามอย่างใจเย็น
โม่จื่อโหยวกล่าวด้วยสีหน้าหดหู่ “ศิษย์น้อง คือว่า…เจ้าดูสิ ศิษย์พี่รองอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว จนถึงวันนี้ยังใช้ชีวิตตัวคนเดียว เขาเป็นคนหน้าบางและไม่กล้าพูดจาอะไรมากมาย พวกเราในฐานะศิษย์น้องก็ควรช่วยเขาคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ใช่หรือไม่ ศิษย์น้อง เจ้ารู้จักคนมากมาย ช่วยศิษย์พี่รองคัดสรรคนดีๆ ให้เขาได้กระชุ่มกระชวยสักคน เมื่อมีครอบครัวแล้วก็จะได้มั่นคงสบายใจ อย่าว่าแต่ไปตงอาเลย ต่อให้ไปไกลอีกหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องต้องกังวลแต่อย่างใด…”
หลินหลันนึกขำขันอยู่ในใจ ศิษย์พี่ห้าอยากสู่ขอหยินหลิ่ว แต่ดันหยิบยกเรื่องของศิษย์พี่รองมาพูดเห็นๆ
หลินหลันพยักหน้าเล็กน้อย “ตามหลักมันก็ควรเป็นเช่นนี้ ความจริงข้าก็มองๆ ดูอยู่ตลอดละ! ก็แค่ยังไม่เจอคนที่เหมาะสม หรือไม่อีกสองสามวันข้าจะหาแม่สื่อช่วยหาคนดีๆ มีเสน่ห์มาให้ศิษย์พี่รองแล้วกัน”
โม่จื่อโหยวกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ศิษย์น้องช่างมีน้ำใจดีงามจริงๆ ตามจริงคนอย่างศิษย์พี่รองนี้ไม่ได้อะไรมากมายหรอก ขอเพียงอุปนิสัยใจคอดี รูปลักษณ์พอไปวัดไปวาได้ ไอ้พวกชาติตระกูลอะไรนั่นไม่สำคัญเลย ถึงอย่างไรพวกเราก็มีภูมิหลังเป็นเด็กธรรมดาๆ ที่ฝ่าฟันความยากลำบากมาก่อน ไม่เรื่องมากหรอก”
หลินหลันยิ้มเล็กยิ้มน้อย นางไม่ขอเปิดโปงความนึกคิดของเขา ทำเพียงกล่าวไปตามน้ำ “อืม! อุปนิสัยดี เป็นคนมีคุณธรรม สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง แต่อย่างไรก็จะพิถีพิถันมากเกินไปมิได้เช่นกัน เมื่อแต่งงานกันไปก็ถือเป็นเรื่องของทั้งชีวิต จะสะเพร่ามิได้เชียว”
โม่จื่อโหยวร้อนรนใจจนแทบเหงื่อตก นี่ศิษย์น้องแสร้งทำเป็นเลอะเลือนไม่เข้าใจหรือเลอะเลือนจริงๆ กันแน่ โม่จื่อโหยวส่งเสียงกกระแอมสองครั้งและถอนหายใจเฮือกยาวออกมา “เจ้าว่าข้ากับศิษย์พี่รองตามจริงก็ห่างกันไม่กี่เดือน ก็เพราะเขาเข้ามาทำงานก่อนหน้าข้า เขาก็เลยเป็นศิษย์พี่รอง…”
หลินหลันเลิกคิ้วและกล่าว “ท่านไม่บอกข้าคงได้ลืมไปแล้วจริงๆ ดูเหมือนศิษย์พี่ห้าจะอ่อนกว่าศิษย์พี่รองสองเดือนสินะ!”
โม่จื่อโหยวรีบกล่าวทันควัน “ก็ใช่น่ะสิ”
หลินหลันชำเลืองตามองเขา “ว่ากันตามนี้ ศิษย์พี่ห้าก็อายุไม่น้อยแล้วเช่นกันสินะ! ก็ควรจะแต่งงานมีครอบครัวได้แล้วเช่นกัน”
โม่จื่อโหยวหัวเราะแห้งขึ้นมา นานๆ ทีจะได้เห็นเขาในลักษณะเขินอายเช่นนี้