ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่287-2เจ้าจะไปไม่ไป
หลินเฟิงมองดูจินฮวาที่กำลังร้องห่มร้องไห้ประหนึ่งฟ้าจะถล่มดินจะทลาย ยิ่งมองดูยิ่งไม่ต่างจากลักษณะของบุคคลที่ขาดประสบการณ์และไม่รู้จักการดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกับสังคม ทำให้ฮานเอ๋อร์ร้องไห้ด้วยความตระหนกตกใจ ภายในใจรู้สึกหดหู่เกินบรรยาย เขาอุ้มฮานเอ๋อร์ขึ้นมาด้วยมือเดียวแล้วกล่าวต่อจินฮวา “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่”
เหยาจินฮวาตะลึงงันอีกรอบ ในที่สุดก็ตระหนักแล้วว่าหลินเฟิงไม่ได้กำลังล้อเล่น แต่ว่า…นางทุบอกรับประกันกับพ่อสามีไว้อย่างดิบดี ว่าจะต้องโน้มน้าวหลินเฟิงให้ยอมรับเขาเป็นบิดาได้แน่นอน อุตส่าห์ได้ตกมาอยู่ในครอบครัวผู้ร่ำรวยและสูงศักดิ์ทั้งที จะต้องเดินจากไปตัวเปล่าเช่นนั้นหรือ นี่มันเป็นความร่ำรวยและสูงส่งที่นางไม่กล้าร้องขอแม้กระทั่งฝันถึงด้วยซ้ำ! ชีวิตนายหญิงสะใภ้ใหญ่ของนางยังไม่ทันเริ่มต้นก็ต้องจบลงแล้วหรือ จะให้นางทำใจยอมรับได้อย่างไรกัน
เหยาจินฮวาปีนป่ายลุกขึ้นมา แสดงอากัปกิริยาที่อ่อนน้อมลงกล่าวขอร้อง “หลินเฟิง เจ้าหยุดโง่เขลาได้แล้ว นั่นเป็นท่านพ่อเจ้านะ ไยต้องดื้อดึงที่จะก่อความวุ่นวายถึงเพียงนี้ อีกอย่าง ท่านพ่อเจ้ามิได้ตั้งใจเสียหน่อย เหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมให้อภัยล่ะ เจ้าเชื่อฟังข้าเถิด อย่าสร้างความวุ่นวายอีกเลย พวกเรามาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายก็สิ้นเรื่องแล้วมิใช่หรือ”
หลินเฟิงจ้องเขม็งใส่นาง “เจ้าจะไปหรือไม่”
เหยาจินฮวาจับมือเขาไว้ “ข้าไม่ไป เจ้าก็ห้ามไปไหนด้วยเช่นกัน เจ้ากระทำเช่นนี้มันอกตัญญู มีลูกที่ไหนไม่ยอมรับบิดาของตนเอง? พูดออกไปจะถูกคนเขานินทาว่าร้ายเอาได้ ข้าให้เจ้าทำเยี่ยงนี้มิได้…”
หลินเฟิงสะบัดมือของเหยาจินฮวาออก และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าต้องการยอมรับก็รับไป เจ้าจะอยู่ต่อ เช่นนั้นเจ้าก็อย่าได้มาเสียใจภายหลังแล้วกัน” สิ้นคำ หลินเฟิงก็อุ้มฮานเอ๋อร์เดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เหยาจินฮวางงเป็นไก่ตาแตก คาดไม่ถึงว่าหลินเฟิงบอกว่าจะไปก็ไปเสียดื้อๆ นางอึ้งอยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วถึงนึกขึ้นมาได้ว่าฮานเอ๋อร์ถูกหลินเฟิงอุ้มไปแล้ว จึงรีบวิ่งตามออกไปด้วยความร้อนใจ “หลินเฟิง เจ้า ไอ้คนสารเลว เอาฮานเอ๋อร์มาคืนข้าเดี๋ยวนี้นะ…”
สำหรับหลินเฟิงมันแทบจะเป็นการหลบหนีก็ว่าได้ บรรดาข้ารับใช้จำนวนหนึ่งพยายามขัดขวางเขา แต่ล้วนถูกเขาเตะตัดขาจนเปิดทางมาได้ จากนั้นก็วิ่งหนีออกจากจวนแม่ทัพหลี่ราวกับโบยบิน ฮานเอ๋อร์ยื่นมือน้อยๆ พลางร้องห่มร้องไห้ “ข้าจะหาท่านแม่ ท่านแม่…ท่านแม่…”
เหยาจินฮวามองดูหลินเฟิงหนีไป แม้วิ่งตามก็ตามไม่ทัน ทั้งเดือดดาลทั้งร้อนรนใจ นางกระทืบเท้าและตะโกนด่าทอทั้งน้ำตา
หลินจื้อย่วนและนางเฝิงเร่งรีบออกมาหลังได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย
“นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” นางเฝิงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจปนตกใจ ขณะมองดูเหยาจินฮวาที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง กำลังร้องห่มร้องไห้อย่างหนัก
เหยาจินฮวากล่าวทั้งน้ำตา “เขาไปแล้ว เขาอุ้มฮานเอ๋อร์ไปด้วยเจ้าค่ะ…”
หลินจื้อย่วนถึงกับหน้าซีดเผือด ไอ้ลูกชายผู้ดื้อรั้นคนนี้ นี่ใจแข็งไม่ต้องการเขาผู้นี้เป็นพ่อถึงเพียงนี้เชียวหรือ
หลังกลับมาถึงบ้าน หลี่หมิงอวินนำเรื่องราวที่ว่าเหยาจินฮวามาถึงเมืองหลวงแล้วบอกกล่าวนาง หลินหลันรู้สึกราวกับปอดแทบระเบิด เหยาจินฮวาเป็นตัวซวยของพี่ชาย เห็นได้ชัดว่าการที่ตาเฒ่านั่นรับเหยาจินฮวามานั้นมีจุดมุ่งหมายแอบแฝง ก็คือต้องการใช้เหยาจินฮวาสองแม่ลูกบังคับพี่ชายนาง คราวนี้พี่ชายนางหนีไปไหนมิได้เป็นแน่
“ช่างเถอะ ข้าไม่สนใจแล้ว หากพี่ใหญ่ต้องการรับเขาเป็นพ่อก็เชิญรับไป ข้าไม่ขอยอมรับเป็นแน่ จะพูดอะไรก็ไม่ให้อภัยเขาทั้งนั้น” หลินหลันหงุดหงิดแทบทนไม่ไหว จึงเอ่ยอย่างใส่อารมณ์เล็กน้อย
หลี่หมิงอวินถอนหายใจ เกรงว่าเรื่องราวมันไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น แม่ทัพหลินเพื่อให้บุตรสาวและบุตรชายยอมรับตนเอง เรียกได้ว่าทุ่มเทสุดแรงกายแรงใจกันเลยทีเดียว ความตั้งใจของเขาเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ทว่าวิธีการจัดการออกจากเร่งรีบเกินไปหน่อย เกรงก็แต่ว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนดังใจหวังน่ะสิ!
“หลันเอ๋อร์ อย่าคิดมากไปเลย ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้ายังมีข้าอยู่ทั้งคน!” หลี่หมิงอวินตบบ่าของนางอย่างเบามือเพื่อแสดงถึงการปลอบใจ “ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ!”
หลินหลันรู้สึกหดหู่ใจถึงขีดสุด “ข้าไม่อยากกิน”
“จะได้อย่างไรกัน ต่อให้โกรธเกรี้ยวเพียงใดก็ต้องดูแลร่างกายของตนเองด้วยเช่นกัน หากเจ้าไม่กิน ข้าก็ไม่อยากกินเช่นกัน” หลี่หมิงอวินเกลี้ยกล่อมพลางจูงมือหลินหลันไปยังโต๊ะอาหาร
“อืม…วันนี้มีหมูผักพริกสดที่เจ้าชอบกินด้วย ในที่สุดก็กินอาหารรสจัดได้แล้ว ดูเจ้าสิ ระยะนี้ดื่มและกินแต่อาหารรสชาติจืดชืด ผอมแห้งจนเป็นอะไรไปแล้ว” หลี่หมิงอวินกดหลินหลันให้นั่งลงแล้วช่วยตักอาหารให้นางด้วยตนเอง
“นานมากแล้วที่ไม่ได้กินเนื้อหมูผักพริกสดฝีมือกุ้ยซ่าว แค่ดมกลิ่นก็น้ำลายไหลแล้ว มา ลองชิมดู…” หลี่หมิงอวินคีบมันขึ้นมาแล้วป้อนหลินหลันถึงปาก
หลินหลันส่ายหน้าพลางขมวดคิ้ว “ข้าไม่อยากกินจริงๆ”
“อย่าดื้อ กินเข้าไปมากๆ หน่อย เจ้าเป็นเช่นนี้ ข้าปวดใจนะ” หลี่หมิงอวินยังคงคีบตะเกียบอยู่เช่นนั้นอย่างไม่ยอมลดละ
หลินหลันจนปัญญา ทำได้เพียงอ้าปากกินเข้าไปหนึ่งคำ
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นคีบกับข้าวที่นางชอบรับประทานใส่ชามนางพลางโน้มน้าว “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแน่วแน่แล้วก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มไปแล้ว คนอื่นอยากพูดอันใด หรืออยากทำอันใดก็ปล่อยให้พวกเขาพูดไป ตราบใดที่สามีเจ้าอย่างข้าสนับสนุนเจ้าก็เป็นพอแล้ว เอาความผิดพลาดของผู้อื่นมาลงโทษตนเองมิเท่ากับเป็นการไม่ปล่อยวางหรอกหรือ”
หลินหลันเม้มปาก “ข้ามิได้ไม่ปล่อยวางเสียหน่อย เพียงแต่เขาก่อเรื่องขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าเลยรู้สึกรำคาญใจ”
“แง้ๆ…” เสียงเด็กร้องให้ดังขึ้นมาจากด้านนอกกะทันหัน
หลินหลันมองหน้าหมิงอวินอย่างตะลึงงัน หมิงอวินเผยสีหน้างุนงงเช่นกัน
“ไอหยา นายท่าน นี่ท่าน…ท่านไปเอาเด็กบ้านไหนมาเจ้าคะ” แม่โจวเอ่ยถาม
หลินเฟิงร้อนรนใจอย่างยิ่ง “น้องสาวข้าล่ะ หมิงอวินล่ะ”
“กำลังรับประทานอาหารด้านในเจ้าค่ะ!” แม่โจวกล่าวตอบ
“เอ่อ! เหมือนจะเป็นพี่ชายข้ากับฮานเอ๋อร์” หลินหลันชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นรีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป หลี่หมิงอวินวางตะเกียบลงแล้วเดินตามออกไปติดๆ เช่นกัน
หลินเฟิงรู้สึกสมองแทบระเบิดเพราะเสียงร้องไห้ของฮานเอ๋อร์ เขาไม่เคยปลอบประโลมเด็กๆ เสียด้วย ไม่รู้วิธีการเลยสักนิด หากไม่ใช่นี่เป็นบุตรชายของตนเอง เขาก็อยากโยนทิ้งไว้ริมทางไม่สนใจไยดีจริงๆ
“น้องพี่ ช่วยปลอบเร็วเข้า เขาร้องไห้ตลอดเลย จะพูดอย่างไรก็ไม่ฟังทั้งนั้น” หลินเฟิงเห็นน้องสาวเสมือนเห็นผู้ช่วยชีวิต
“นี่คือฮานเอ๋อร์หรือ ท่านอุ้มฮานเอ๋อร์มาได้อย่างไรกัน แล้วพี่สะใภ้ล่ะ” หลินหลันรับเด็กไว้พลางเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“อย่าได้เอ่ยถึงนาง นางจะอยู่ที่จวนแม่ทัพไม่ยอมมาด้วย ก็ปล่อยให้นางอยู่นั่นไปดีแล้ว ลูกของข้า ข้าต้องอุ้มมาด้วยอยู่แล้ว” หลินเฟิงกล่าวด้วยความหงุดหงิด
หลี่หมิงอวินขมวดคิ้ว นี่มันจะวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ เสียแล้ว
“พี่ใหญ่ ยังไม่ได้กินข้าวสินะขอรับ” หลี่หมิงอวินเอ่ยถาม
หลินเฟิงกล่าวด้วยความหดหู่ใจ “ยังจะกินลงที่ไหนกัน”
หลินหลันบอกกล่าวหยินหลิ่ว “ไปบอกกุ้ยซ่าวให้เพิ่มกับข้าวอีกสักสองสามอย่างทีสิ”
หลี่หมิงอวินมองดูฮานเอ๋อร์ร้องไห้ไม่หยุดจึงกล่าวด้วยความกังวล “เจ้ารีบปลอบประโลมเด็กเถอะ ขืนปล่อยให้ร้องไห้ต่อไป มีหวังได้ร้องไห้จนคอแตกเป็นแน่”
หลินหลันกล่าวขณะอุ้มฮานเอ๋อร์ “ได้ๆ ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง เจ้าพูดคุยเป็นเพื่อนพี่ใหญ่แล้วกัน”
“ฮานเอ๋อร์เด็กดี ไม่ร้องนะ ข้าเป็นอาของเจ้า เป็นอาที่เอ็นดูเจ้ามากที่สุด ไม่ร้องนะ เดี๋ยวอาจะเอาขนมหวานให้เจ้ากิน…” หลินหลันอุ้มฮานเอ๋อร์เข้าไปยังห้องชั้นใน แม่โจวรีบเดินตามเข้าไปติดๆ รวมไปถึงหรูอี้ที่ถือถาดขนมหวานเข้าไปด้วย
“ฮานเอ๋อร์ เจ้าดูสิ นี่คือลูกกวาดม่ายหยา[1] มา ลองกินสักอันหนึ่งนะ”
“คุณชายน้อยฮานเอ๋อร์ นี่คือขนมอบกรอบเหอเถา[2] อร่อยมากเลยนะเจ้าคะ!”
“คุณชายน้อยฮานเอ๋อร์ ท่านดูนี่สิเจ้าคะ ตุ๊กตาเสืออย่างไรเจ้าคะ ต้องการหรือไม่เจ้าคะ…”
ทั้งสามคนหยิบของทั้งหมดที่พอมีอยู่ออกมาปลอบประโลมเด็กน้อย ถึงอย่างไรฮานเอ๋อร์ก็เป็นเด็กน้อย ถูกของกินและของเล่นละลานตาหลอกล่อเข้าหน่อยก็ดึงดูดได้อยู่หมัดแล้ว หยาดน้ำตาที่ไหลรินจึงค่อยๆ หยุดไหลไป ทว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าล้วนดูแปลกตาเสียเหลือเกิน เขาจึงเริ่มจากการเอื้อมไปหยิบตุ๊กตาเสือมาโอบกอดไว้ในอ้อมแขน ดวงตาคู่ใสที่เคลือบไว้ด้วยหยาดน้ำตาจ้องมองพวกเขาอย่างระแวดระวัง
“ฮานเอ๋อร์ว่านอนสอนง่ายจริงๆ เลย อาเอ็นดูจ้าเหลือเกิน” หลินหลันมองดูฮานเอ๋อร์ที่ดูจ้ำม่ำน่าเอ็นดู ความรู้สึกสนิทชิดเชื้ออย่างที่มาจากสายสัมพันธ์ทางสายเลือดทำให้ชื่นชอบเด็กคนนี้อย่างไร้เหตุผล นั่นทำให้นางรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน
“คุณชายน้อยรูปร่างล่ำสำจริงๆ เลยนะเจ้าคะ เด็กลักษณะนี้น่ารักยิ่งนัก” แม่โจวกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มขณะมองดูฮานเอ๋อร์
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ฮานเอ๋อร์ของพวกเราเป็นเด็กน้อยที่ดูกำยำผู้หนึ่งเลยล่ะ!” หลินหลันเข้าไปหอมแก้มฮานเอ๋อร์ด้วยอย่างมันเขี้ยว
ฮานเอ๋อร์มองหลินหลันอย่างตะลึงงัน แล้วมองไปยังแม่โจวกับหรูอี้ จากนั้นเบะปากงอแง“ท่านแม่…”
“ฮานเอ๋อร์เด็กดี ฮานเอ๋อร์ว่าง่าย อาจะพาเจ้าไปหาแม่เจ้าตกลงหรือไม่”
หรูอี้พลิกหาป๋องแป๋งอันขึ้นออกมา ของเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่นายหญิงสะใภ้รองเตรียมไว้มอบให้คุณชายเล็กที่ยังไม่กำเนิด ในยามนี้มันมีประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว
ป๋องแป๋ง ป๋องแป๋ง หรูอี้ยิ้มแย้มขณะเขย่าของเล่นที่ก่อให้เกิดเสียงดังป๋องแป๋งแล้วเอ่ยถามฮานเอ๋อร์ “คุณชายน้อยฮานเอ๋อร์ ชอบเจ้าสิ่งนี้หรือไม่เจ้าคะ”
ฮานเอ๋อร์มองดูอยู่สักพัก จากนั้นเอื้อมมือไปคว้ามือของหลินหลันอย่างกล้าๆ กลัวๆ “จะเอา…จะเอา…”
หลินหลันหลุดหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย เจ้าเด็กน้อยนี่ ตนเองอยากได้แท้ๆ แต่กลับต้องให้คนอื่นหยิบให้เขา “อาหยิบให้เจ้าเอง ของเหล่านี้ทั้งหมดให้ฮานเอ๋อร์”
ฮานเอ๋อร์ถือป๋องแป๋งเขย่าอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วยื่นป๋องแป๋งไปเขย่าเบื้องหน้าหลินหลันสองสามที ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ ขณะจ้องมองหลินหลัน แสดงความหมายถึงการร้องขอคำเชยชม
“ฮานเอ๋อร์ช่างเก่งจริงๆ เลย ใช่แล้ว เขย่าแบบนั้นละ ป๋องแป๋ง ป๋องแป๋ง ดวงหน้ากลมๆ เสมือนเด็กจ้ำม่ำใส่ตุ้มหู ซ้ายที ขวาที เขย่านำเพลงที่ขับขานขึ้นมา…”
ฮานเอ๋อร์เขย่าป๋องแป๋งไปตามจังหวะของหลินหลัน จากนั้นหลินหลันหยิบลูกกวาดม่ายหยายัดใส่ปากเขา เด็กน้อยนี่อมลูกกวาดไว้ในปาก ขณะที่มือยังคงเขย่าป๋องแป๋งอยู่เช่นนั้น ไม่นานนักหลังสลัดมารดาออกไปจากสมองได้ ก็ส่งเสียงหัวเราะร่าเริงขึ้นมา
แม่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย เดี๋ยวบ่าวดูแลคุณชายน้อยเองเจ้าค่ะ! บ่าวจะคอยหลอกล่อเขาไว้ ท่านรีบไปรับประทานอาหารหน่อยเถิด อย่ามัวหิวอยู่เลยเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่หิว ข้าจะเล่นเป็นเพื่อนเขาอีกสักประเดี๋ยว เจ้าไปเอาของกินมาให้เด็กสักหน่อยทีสิ”
แม่โจวขานรับด้วยรอยยิ้มเบิกบานแล้วจึงเดินออกไป หลินหลันขับขานขึ้นมาอีกบทเพลง ช่างดีจริงๆ นี่คือบุตรของพี่ชายนี่นะ! ยามที่นางจากเฟิงอานมา เด็กน้อยนี่ยังอยู่ในครรภ์มารดา เพียงพริบตาเดียวก็เติบใหญ่เพียงนี้แล้ว ดีที่ยังไม่ถูกเหยาจินฮวาพาเสียนิสัย คราวนี้พี่ชายนับว่าแข็งข้อมากพอจริงๆ ถึงขั้นสลัดเหยาจินฮวาทิ้งมาหน้าตาเฉย คาดว่ายามนี้เหยาจินฮวาคงต้องบ้าคลั่งแล้วเป็นแน่ ฮ่าๆ แค่คิดๆ ก็สุขใจแล้ว
[1] ม่ายหยา (麦芽) คือ ข้าวงอกที่ทำให้แห้งของพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hordeum vulgare L.วงศ์ Gramineae หรือเรียกว่าแบะแง้ สรรพคุณช่วยย่อย บำรุงกระเพาะ. รสชาติหวานปานกลาง
[2] ขนมอบกรอบเหอเถา (核桃酥) คุกกี้วอลนัท