ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่291ทุกอย่างบนโลกคือความไม่แน่นอน
อาการปวดท้องคลอดดำเนินไปอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงตอนเย็น ติงหลั้วเหยียนเป็นคนที่อดทนอดกลั้นและไม่ค่อยแสดงออกผู้หนึ่ง ต่อให้ปวดจนทนไม่ไหวก็เขินอายที่จะร้องโอดโอย จึงได้ยินเพียงเสียงครวญครางชวนอึดอัดที่ถี่ขึ้นเรื่อยๆ และเห็นเพียงหยาดเหงื่อบนหน้าผากของนางที่หนาขึ้นเรื่อยๆ
“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย เป็นอย่างไรบ้าง ใกล้แล้วหรือไม่” ติงฮูหยินมองดูบุตรสาวที่กำลังทรมานเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกปวดใจเกินบรรยาย จึงอดเอ่ยถามหลินหลันเป็นระยะไม่ได้
ในใจหลินหลันมีความกังวลเล็กน้อย ตลอดทั้งวันอาการปวดคลอดของติงหลั้วเหยียนเว้นระยะถี่ขึ้นเรื่อยๆ และปวดรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน ทว่าปากมดลูกยังเปิดไม่ถึงสองนิ้วมือ ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าเมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญ เรี่ยวแรงของติงหลั้วเหยียนจะไม่เพียงพอเอาได้
“ติงฮูหยินอย่าเพิ่งกระวนกระวายไปเลยเจ้าค่ะ อาการของพี่สะใภ้ใหญ่อยู่ในเกณฑ์ดี เพียงแต่ต้องรอเวลาเท่านั้นเจ้าค่ะ” หลินหลันให้คำตอบติงฮูหยินแล้วหันไปสั่งการแม่เหยา “ไปหยิบโสมหั่นแว่นมาให้ต้าเส้าหน่ายนายอมไว้ทีสิ”
ติงฮูหยินนั่งอยู่ตรงขอบเตียง กอบกุมมือของติงหลั้วเหยียนไว้แน่น อดพร่ำบ่นไม่ได้ “เหตุใดตอนนี้หมิงเจ๋อถึงยังไม่กลับมาอีก เมียตนเองจะคลอดลูกอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าเขามัวไปพิรี้พิไรอยู่แห่งหนใด ใครๆ ต่างกล่าวว่าบุรุษไร้หัวจิตหัวใจ ข้าว่าเขายังเป็นคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจมิได้จริงๆ…”
ติงหลั้วเหยียนปวดมาระยะหนึ่งแล้ว นางผ่อนลมหายใจเนิบช้า กล่าวเสียงอ่อน “ท่านแม่ ท่านอย่าพูดเช่นนี้เลย เพราะเด็กดันคลอดก่อนกำหนด แล้วหมิงเจ๋อจะรู้ได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ…”
ติงฮูหยินรู้สึกรำคาญในความไม่คู่ควรนี้ “เจ้าก็รู้จักแต่ช่วยพูดแก้ต่างให้เขา ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าไปถูกตาต้องใจอันใดในตัวเขานักหนา”
ในห้องคลอดมีข้ารับใช้อยู่ด้วยจำนวนไม่น้อย การที่ติงฮูหยินแสดงความไม่พึงพอใจของนางอย่างเปิดเผยและตำหนิผู้เป็นนายใหญ่ของเรือนนี้ ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ตั้งแต่จวนหลี่ถูกค้นบ้านยึดทรัพย์สิน ติงฮูหยินก็ดูถูกเหยียดหยามตระกูลหลี่ไม่เลิกรา ปัจจุบันนี้คุณชายรองได้เลื่อนเป็นขุนนางแล้ว ทว่าคุณชายใหญ่ยังคงเป็นสามัญชนคนหนึ่ง นี่พอมาเปรียบเทียบกัน ติงฮูหยินจึงยิ่งเดือดดาลเข้าไปอีก ทุกครั้งที่แวะเวียนมา ไม่ใช่ตำหนิคุณชายใหญ่ว่าไม่ได้เรื่องได้ราว ก็เป็นการตำหนินายหญิงสะใภ้ใหญ่ว่ามีตาหามีแววไม่
เดิมทีติงหลั้วเหยียนก็รู้สึกเสมือนตกอยู่ในขุนนรก ทุกข์ทรมานเกินกว่าจะบรรยาย มารดายังพูดแดกดันอยู่ด้านข้างอีก อาจทำให้ข้ารับใช้ที่อยู่ในห้องหัวเราะเยาะเอาได้ นางรู้สึกโกรธเสมือนมีบางอย่างพัวพันในลำคอ จนความโกรธเกรี้ยวจุกอยู่ตรงนั้น ไม่อาจระบายออกไปได้
หลินหลันขมวดคิ้ว ติงฮูหยินท่านนี้ช่างทำให้คนรู้สึกรำคาญเสียเหลือเกิน รังเกียจคนจนรักใคร่คนรวยโดยไม่ดูสถานการณ์บ้างเลย บุตรสาวปวดจนแทบแย่อยู่แล้ว ยังจะทำเช่นนี้อีก เกรงว่าบุตรสาวจะร้อนรุ่มใจไม่พอหรือไรกัน
“ติงฮูหยิน พูดสิ่งเหล่านี้ในยามนี้เกรงว่าคงไม่ค่อยดีเท่าใดกระมังเจ้าคะ สตรีที่กำลังจะคลอดลูก จะคลอดได้อย่างราบรื่นหรือไม่ สภาพจิตใจเป็นสิ่งสำคัญยิ่งนะเจ้าคะ อีกอย่าง วันเวลาแปรผันไป ทุกสิ่งจึงล้วนเปลี่ยนแปลงกันได้ทั้งนั้น อย่าเอาแต่ดูถูกคนหนุ่มสาวที่ยากจนเลยเจ้าค่ะ! ไม่แน่ว่าในภายภาคหน้า ท่านยังต้องพึ่งพิงลูกเขยที่ไม่เข้าตาผู้นี้เสียด้วยซ้ำ!” หลินหลันกล่าวด้วยท่าทีและน้ำเสียงเรียบเฉย
หลินหลันพูดเช่นนี้โดยมีที่มาที่ไป ใต้เท้าติงแม้ว่าไม่ใช่บุคคลสำคัญในหมู่บรรดาข้าราชบริพารองค์รัชทายาท แต่กลับเห็นได้ชัดเจนโจ่งแจ้งว่าฝักฝ่ายองค์รัชทายาท ตำแหน่งองค์รัชทายาทในยามนี้ไม่มั่งคงอีกแล้ว รอองค์ชายสี่ขึ้นครองตำแหน่งเมื่อใด อนาคตในเส้นทางหน้าที่การงานของใต้เท้าติงก็จะเป็นอันถึงทางตัน ทว่าหมิงเจ๋อมีการช่วยเหลือและสนับสนุนของหมิงอวิน การเข้ารับตำแหน่งใหม่อีกครั้งเป็นปัญหาแค่จะช้าหรือเร็วก็เท่านั้น ยามนี้ติงฮูหยินดูถูกหมิงเจ๋อ มีแต่จะทำให้ตนเองทำตัวลำบากในภายภาคหน้า ทว่าอย่างไรก็ตาม คนประเภทนี้เกรงว่าหนังหน้าจะหน้าใช่ย่อย จึงไม่ละอายแก่ใจแต่อย่างใด
สีหน้าติงฮูหยินบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด ขณะกำลังจะโต้แย้งคำพูดของหลินหลัน ติงหลั้วเหยียนสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ แล้วปล่อยมือของมารดา จากนั้นกล่าวอย่างลำบาก “ข้าคงไม่คลอดออกมาในเร็วๆ นี้เช่นกัน ท่านแม่กลับไปก่อนจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
“อาการเจ้าเช่นนี้ แม่จะวางใจกลับไปได้อย่างไรหรือ” ติงฮูหยินเห็นบุตรสาวโกรธเสียแล้วจึงรีบกล่าว “ข้าไม่พูดแล้วก็สิ้นเรื่อง?” แม้ปากจะพูดเช่นนี้ ทว่าในใจกลับพร่ำตำหนิไม่เลิก คนโง่เขลาอย่างหมิงเจ๋อน่ะหรือ ยังจะโดดเด่นมีหน้ามีตาขึ้นมาได้ ฮึ! จะหวังพึ่งพิงเขา? ยังไม่สู่พึ่งพิงเสาประตูจะน่าพึ่งพิงเสียกว่า
ความมืดมิดยามราตรีค่อยๆ คืบคลานมา จันทราค่อยๆ เด่นชัด ภายในจวนหลี่ สติของทุกคนล้วนตึงเครียด ไม่กล้าผ่อนคลายลงแม้แต่นาทีเดียว ภายในใจครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย ดวงตาจ้องมองไปยังเรือนเวยอวี่ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของจวนหลี่อย่างไม่รู้ตัว พลางขอพรภาวนาให้นายหญิงสะใภ้ใหญ่คลอดคุณชายน้อยหรือคุณหญิงน้อยได้อย่างปลอดภัย
หลี่หมิงอวินก็แทบไม่ได้หลับตลอดทั้งคืน เขาเชื่อมั่นในทักษะการแพทย์ของหลินหลัน เพียงแต่สงสารหลินหลันที่ต้องเหน็ดเหนื่อย และหลั้วเหยียนที่ต้องลำบากไม่แพ้กัน สงสารจนเขาเกิดความหวาดกลัวต่อการให้กำเนิดบุตรขึ้นมา เกิดในอนาคตข้างหน้าหลันเอ๋อร์คลอดบุตรก็ต้องเจ็บปวดอย่างมากมายเพียงนี้ เขาขอยินยอมไม่มีลูกก็ย่อมได้ ทางด้านนี้ยังคงไม่มีข่าวคราวใดๆ เวลาที่ต้องไปว่าราชการดันมาถึงเสียแล้ว หลี่หมิงอวินทำได้เพียงกำชับตงจึ ทันทีที่มีข่าวคราวให้รีบไปแจ้งให้เขาทราบที่ฝ่ายครัวเรือนทันที
เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ทว่าความเจ็บปวดยังคงไม่สิ้นสุด
“พี่สะใภ้ใหญ่ รีบตักตวงเวลาพักผ่อนสักหน่อยนะเจ้าคะ อีกประเดี๋ยวข้าจะให้ท่านออกแรง ท่านค่อยหายใจตามวิธีที่ข้าบอกไว้คู่กับออกแรง พวกเราอดทนอีกหน่อยนะเจ้าคะ เด็กใกล้จะออกมาพบเจอท่านแล้วเจ้าค่ะ” หลินหลันฉีกยิ้มเล็กน้อยและหยิบผ้าสะอาดมาช่วยซับเหงื่อเต็มใบหน้าหลั้วเหยียน ติงหลั้วเหยียนในยามนี้ทั้งเรือนร่างเปียกโชกเสมือนเพิ่งช้อนขึ้นมาจากน้ำ หลินหลันมองดูด้วยความปวดใจขณะกล่าวให้กำลังใจ
ติงหลั้วเหยียนแทบจะไร้เรี่ยวแรงแม้แต่กะพริบตา นึกสงสัยจริงๆ ว่าตนเองจะยังยืนหยัดถึงนาทีสุดท้ายได้หรือไม่
“หมิงเจ๋อล่ะ เขากลับมาแล้วหรือไม่” ติงหลั้วเหยียนเอ่ยถามอย่างอ่อนแรง
แม่เหยายื่นน้ำน้ำแกงโสมเข้มข้นให้ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ น้ำแกงโสมอุ่นหมดแล้วเจ้าค่ะ”
หลินหลันรับน้ำแกงโสมมาไว้ หงซางรีบเข้าไปประคองนายหญิงสะใภ้ใหญ่ทันที และให้นายหญิงสะใภ้ใหญ่พิงอยู่ในอ้อมแขนนาง
“ตอนนี้พี่ใหญ่ต้องกำลังอยู่ระหว่างเดินทางแน่นอนเจ้าค่ะ ข้าส่งเหล่าอู๋ไปรอรับที่ท่าเรือแล้ว ท่านทำใจให้สบายนะเจ้าคะ มีข้าอยู่ทั้งคน ท่านไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ตอนนี้ช่วงเวลาปวดถี่ขึ้นเรื่อยๆ อาศัยช่วงขณะนี้ที่ไม่รู้สึกปวด รีบดื่มน้ำแกงโสมเถอะเจ้าค่ะ! อีกประเดี๋ยวจะได้มีเรี่ยวแรง” หลินหลันเกลี้ยกล่อม ค่อยๆ ป้อนนางจิบเข้าไปทีละนิด
ท้องนภาค่อยๆ สว่างโร่ เรือที่ล่องลอยบนผืนน้ำค่อยๆ มากขึ้นมาด้วยเช่นกัน เรือโดยสารลำหนึ่งมุ่งหน้าจากตอนใต้ขึ้นเหนือเทียบท่าเรือ หลังผูกเชือกยึดกับฝั่งเป็นที่เรียบร้อย ผู้คุมเรือจึงส่งเสียงตะโกนดังลั่น “ท่านผู้โดยสาร ถึงท่าเรือเมืองหลวงแล้วขอรับ”
ไม่นานนัก บุรุษหนุ่มในชุดตัวยาวสีขาวก็เดินออกมาจากเรือ ใบหน้าหล่อเหลางดงาม ความตาคู่นั้นที่เดิมทีดูสงบนิ่ง หลังจ้องมองไปยังก้อนศิลาบนฝั่งที่สลักคำว่า ‘ท่าเรือเมืองหลวง’ ทันใดนั้นก็ปรากฏแววแห่งความดีใจขึ้นมาทันที เขาเดินกลับเข้าไปในเรือเพื่อหยิบห่อสัมภาระออกมา จากนั้นให้ตั๋วเงินใบใหญ่หนึ่งใบและเงินก้อนจำนวนหนึ่งแก่ผู้คุมเรือ แล้วจึงสาวฝีเท้ายาวเดินข้ามไม้กระดานที่เชื่อมระหว่างตัวเรือและชายฝั่ง
ในที่สุดก็กลับมาแล้ว คาดไม่ถึงว่าพอไปครั้งนี้ก็กินเวลาไปถึงสามสี่เดือน เดิมทีคิดว่าพิธีศพของผู้เป็นย่าจะจัดการเรียบร้อยได้โดยรวดเร็ว เขาก็จะได้กลับมาเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ใครจะรู้ว่าลุงใหญ่กลับลูกไม้มากมาย ประเดี๋ยวไม่ถูกใจหลุมศพของมารดาเขาเพราะดูไม่สง่างามโอ่อ่าพอ ประเดี๋ยวก็กล่าวขึ้นมาอีกว่าปีนี้เป็นปีชงของมารดา ทางที่ดีที่สุดไว้รอปีหน้าค่อยเอาลงหลุมฝัง โดยสรุปคือมักหาข้ออ้างมาเรื่อยไม่สิ้นสุด หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ‘ยื้อเวลา’ ยื้อเวลาแล้วได้ประโยชน์อะไรน่ะหรือ ตราบใดที่พิธีศพผู้เป็นย่าเขายังจัดการไม่เรียบร้อย หลี่หมิงเจ๋อก็กลับเมืองหลวงไม่ได้อย่างไรล่ะ! เมื่อนึกถึงหลั้วเหยียนที่กำลังตั้งครรภ์ หลี่หมิงเจ๋อก็กินข้าวกินปลาไม่ลง นอนไม่หลับ ดังนั้นท้ายที่สุด หลี่หมิงเจ๋อจึงทำได้เพียงเจรจาประนีประนอม โดยการยกพื้นที่ในส่วนของเขาผืนนั้นให้ลุงใหญ่รับผิดชอบเพาะปลูก ส่วนของน้องรองผืนนั้นให้ครอบครัวอาสามรับผิดชอบ ลุงใหญ่ถึงได้เป็นอันยอมรีบจัดพิธีศพของหญิงชราไปอย่างราบรื่น เขาทำได้เพียงรอให้จัดการทางด้านนั้นเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็รีบมุ่งหน้ากลับมาอย่างไม่หยุดพัก ด้วยเกรงว่าจะกลับมาไม่ทันช่วงเวลาที่บุตรลืมตาดูโลก นั่นเป็นช่วงเวลาที่สำคัญยิ่ง หากเขาอยู่เคียงข้างกายหลั้วเหยียนไม่ได้คงเป็นความเสียดายไปชั่วชีวิต เพราะนั่นเป็นบุตรคนแรกของพวกเขาเชียวนะ
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ฝีก้าวของหลี่หมิงเจ๋อก็เร่งความเร็วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“ต้าเส้าเหยีย...ต้าเส้าเหยียขอรับ…” เสียงตะโกนเรียกดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน
หลี่หมิงเจ๋อเงยหน้าตามสัญชาตญาณ สายตามองสำรวจไปท่ามกลางฝูงชน แม้ว่าเขาไม่มั่นใจว่ามีคนกำลังเรียกเขา
เป็นเหล่าอู๋นั่นเอง หลี่หมิงเจ๋อมองเห็นเหล่าอู๋ที่โบกไม้โบกมือขณะเดินแหวกฝูงชนมุ่งเคลื่อนเข้ามาใกล้เขา
“ต้าเส้าเหยีย ในที่สุดท่านก็มาถึงเสียที” เหล่าอู๋เผยรอยยิ้มหน้าชื่นตาบาน
“เหล่าอู๋ เหตุใดท่านถึงรู้ว่าข้าจะมาถึงวันนี้ล่ะ” หลี่หมิงเจ๋อกล่าวด้วยความประหลาดใจ แม้ว่าเขาเขียนจดหมายส่งให้ทางบ้านก่อนออกเดินทาง แต่เขาคิดว่าความเร็วในการส่งจดหมายคงไม่รวดเร็วไปกว่าตัวเขาที่กลับมาด้วยซ้ำ
ขณะนี้เองเหล่าอู๋ถึงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “บ่าวรู้เสียที่ไหนล่ะขอรับว่าต้าเส้าเหยียจะกลับมาวันนี้ เป็นเอ้อร์เส้าหน่ายนายสั่งการให้บ่าวมารอต้าเส้าเหยียที่นี่ต่างหากขอรับ เพราะว่าเต้าเส้าหน่ายนายกำลังจะคลอดแล้วขอรับ”
หลี่หมิงเจ๋อประหลาดใจและตระหนกตกใจขึ้นมาสุดขีดทันทีทันใด “ต้าเส้าหน่ายนายจะคลอดแล้ว เรื่องเกิดขึ้นเมื่อใดหรือ”
“เมื่อวานขอรับ เมื่อวานต้าเส้าหน่ายนายก็เริ่มปวดท้อง ยามนี้ไม่แน่ว่าเด็กจะคลอดออกมาแล้วก็เป็นได้นะขอรับ!” เหล่าอู๋คาดเดา ภรรยาและลูกสะใภ้ทั้งสองคนของครอบครัวเขาล้วนคลอดบุตรออกมาอย่างราบรื่นในเวลาไม่ถึงหนึ่งวัน ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มแล้วนับจากที่เขาออกมา
หลี่หมิงเจ๋อโยนห่อสัมภาระให้เหล่าอู๋ แล้วกล่าวถามด้วยเสียงร้อนใจ “รถม้าล่ะ”
เหล่าอู๋ถือห่อสัมภาระอยู่ จึงมุ่ยปากชี้ไปทิศทางเบื้องหน้าฝั่งขวา “อยู่ทางด้านนั้นขอรับ”
หลี่หมิงเจ๋อไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบวิ่งหน้าตั้งไปทางรถม้าอย่างรวดเร็ว เหล่าอู๋ตะลึงงันอยู่ชั่วขณะ จากนั้นรีบวิ่งตามไป “ต้าเส้าเหยีย ท่านระมัดระวังหน่อยขอรับ”
หลี่หมิงเจ๋อมาถึงรถม้าก็ปลดเชือกผูกม้ากับตัวรถ “เหล่าอู๋ ข้าจะขี่ม้าไป ส่วนตัวเจ้าคิดหาวิธีกลับมาเองแล้วกัน! ในห่อสัมภาระมีเงินอยู่” หลี่หมิงเจ๋อกล่าวขณะพลิกตัวขึ้นหลังม้า ทันทีที่สองขาคร่อมลงหลังม้าเป็นที่เรียบร้อย แส้ม้าก็ถูกสะบัดทันที “ไป…”
เกือกม้าตัวสีขาวทั้งสี่ข้างวิ่งทะยานมุ่งไปเบื้องหน้าเสมือนบิน
เหล่าอู๋มองดูตัวรถที่ไร้ม้าลากอย่างตะลึงงัน แล้วนี่จะให้เขากลับไปอย่างไรหรือ จะให้ใช้มือลากกลับไปหรือ ไม่ใช่ระยะทางที่ใกล้ๆ เลยนะนั่น!
หลี่หมิงเจ๋อใช้ระดับความเร็วสูงสุดเร่งกลับมายังจวนหลี่ ตลอดทางเกือบชนคนหลายคนที่เดินผ่านไปมา แล้วยังชนคนหาบเร่สินค้าจนล้มคว่ำ เขาไม่ได้สนใจจะขอโทษขอโพย ทำเพียงโยนเงินก้อนหนึ่งให้พ่อค้าหาบเร่ ถือเป็นค่าชดเชยความเสียหาย
หลี่หมิงเจ๋อกระโดดลงจากม้า สาวฝีเท้ายาวมุ่งเข้าไปในจวนหลี่ เหล่าจางผู้คุมประตูเห็นว่าคุณชายใหญ่กลับมาแล้วจึงทักทายด้วยความดีใจ “ต้าเส้าเหยีย ท่านกลับมาเสียที”
“ต้าเส้าหน่ายนายคลอดแล้วหรือไม่” หลี่หมิงเจ๋อเอ่ยปากถามทันที
“ยังเลยขอรับ! ครั้งนี้ต้าเส้าหน่ายนายคงต้องทนทรมานหน่อยขอรับ…” เหล่าจางรู้สึกเศร้าใจ
สีหน้าของหลี่หมิงเจ๋อตึงเครียดยิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แทบจะมุ่งหน้าวิ่งไปยังเรือนเวยอวี่ หลี่หมิงเจ๋อไปอย่างรีบร้อน ขณะไปถึงบริเวณประตูชั้นกลางของบริเวณบ้านชนเข้ากับคนผู้หนึ่งเต็มเปา หลี่หมิงเจ๋อเกือบล้มคะมำ ส่วนคนผู้นั้นล้มกระเด็นออกไปไกลพอประมาณ
“ใครวะ…เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเลยหรือไร” คนผู้นั้นลูบคลำก้นก่นด่าด้วยความเดือดดาล
หลี่หมิงเจ๋อลูบคลำคางที่ได้รับความเจ็บปวดด้วยเช่นกัน และจ้องเขม็งไปยังคนที่ขวางทางเขาด้วยความโกรธเกรี้ยว
“เจ้าทำงานอยู่ใต้คำสั่งผู้ใด” เห็นคนผู้นี้รูปร่างหน้าตาหยาบกระด้าง กิริยาท่าทางไม่สงบเสงี่ยม แล้วยังมีความโอหังถึงเพียงนั้น หลี่หมิงเจ๋อจึงขมวดคิ้วเอ่ยถาม
มองดูเหยาจินฮวาและคุณชายใหญ่ชนกันเข้าเสียแล้ว หรูอี้ได้แต่มองตาโตอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ได้ยินคำถามของคุณชายใหญ่ ขณะเตรียมเป็นผู้ให้คำตอบ กลับเห็นเหยาจินฮวาปีนป่ายลุกขึ้นมา แล้วเดินพุ่งเข้ามาเบื้องหน้าคุณชายใหญ่ จากนั้นชี้จมูกคุณชายใหญ่กล่าวอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าถามว่าข้าเป็นคนรับใช้ใต้คำสั่งใครอย่างนั้นหรือ ข้าต้องเป็นฝ่ายถามเจ้ามากกว่าว่าเป็นคนรับใช้ใต้คำสั่งใคร นี่มันบริเวณบ้านชั้นใน เจ้าเป็นบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง บุกเข้ามาตามอำเภอใจได้ด้วยหรือ เดินก็ไม่รู้จักแหกตาดูเสียบ้าง เดี๋ยวข้าจะบอกน้องสาวสามีข้าให้จัดการเจ้า หักเงินเดือนเจ้า แล้วขับไล่เจ้าออกไปเสีย”