ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่297การเปลี่ยนแปลงที่ชวนตื่นตระหนก
หลังหลินหลันส่งพี่ชายกลับไป จากนั้นก็มุ่งไปบ้านตระกูลเยี่ย
หลังเยี่ยเต๋อฮ๋วยรับรู้ถึงความหมายการมาเยือนของหลินหลัน จึงตัดสินใจให้นางหวังพาลูกสะใภ้พร้อมหลานชายทั้งสองกลับไปยังเฟิงอานเสียก่อน
เพียงชั่วพริบตาเดียววันขึ้นแปดค่ำเดือนสิบสองก็มาถึง ในเมืองหลวงมีหิมะตกลงมาหลายครั้งหลายคราว สภาพอากาศจึงเย็นลงเรื่อยๆ นับวันหมิงอวินก็ยิ่งเสร็จสิ้นจากการว่าราชการช้าขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
วันนี้ อาเซียงพาซานเอ๋อร์มาหา หลังไม่เจอะเจอกันหลายเดือน ซานเอ๋อร์ดูสูงขึ้นไม่น้อยทีเดียว ทว่าใบหน้ารูปไข่ยังคงกลมมน ผิวพรรณนุ่มนิ่มน่าเอ็นดู คลุมชุดคลุมตัวใหญ่สีเขียวเข้มที่ขลิบชายด้วยขนสุนัขจิ้งจอกสีขาว รับกับดวงหน้าเล็กๆ และปากสีแดงระเรื่อ ช่างชวนให้รักใคร่เอ็นดูยิ่งนัก
หลินหลันบีบดวงหน้าเล็กๆ ของเขา เผยรอยยิ้มมันเขี้ยวแล้วกล่าว “ซานเอ๋อร์นึกอันใดถึงได้มาหากันในวันนี้หรือ รีบเข้าไปในห้องอุ่นๆ เร็วเข้า”
ซานเอ๋อร์มุ่ยปาก กล่าวว่า “ข้าอยากมาตั้งนานแล้ว ทว่าท่านแม่ต้องการให้ข้าเรียนหนังสือ ท่านพ่อข้าต้องการให้ข้าฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ จึงมาไม่ได้เสียที วันนี้เป็นวันเทศกาลล่าปา ท่านแม่ข้าถึงได้ใจดีปล่อยให้ข้าหยุดพักได้หนึ่งวัน ข้าก็เลยรีบมาหาโจ๊กล่าปาอร่อยๆ กินสักหน่อยขอรับ”
แม่โจวนำเตาอุ่นมือโส่วหลูหนึ่งก้อนยัดใส่มือซานเอ๋อร์แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “โอ๊ะ คุณชายน้อยซานเอ๋อร์ของพวกเรายุ่งอย่างกับคนโตแล้วสินะเจ้าคะ”
“จะว่าเช่นนั้นก็ใช่กระมัง ท่านแม่ข้ากล่าวว่า ท่านพี่เขยความรู้ความสามารถล้ำเลิศโดดเด่น ต้องการให้ภายภาคหน้าข้าสอบจอหงวนได้เช่นท่านพี่เขย ท่านพ่อข้ากล่าวว่า ท่านพี่ใหญ่ศิลปะการต่อสู้ล้ำเลิศโดดเด่น ต้องการให้ข้าได้อย่างท่านพี่ใหญ่ และเป็นแม่ทัพในภายภาคหน้า เฮ้อ! ข้าไม่รู้เลยว่าภายภาคหน้าข้าจะเป็นจอหงวนดี หรือเป็นแม่ทัพดี” ซานเอ๋อร์พร่ำพรรณนาด้วยใบหน้ากลัดกลุ้ม เสมือนเป็นปัญหาหนึ่งที่ชวนให้เขาคิดไม่ตกอย่างยิ่ง
ได้ยินซานเอ๋อร์ถอนหายใจราวกับลักษณะผู้ใหญ่ในคราบเด็ก ทุกคนจึงหลุดหัวเราะออกมา
หลินหลันให้หยินหลิ่วหยิบของกินอร่อยๆ มาต้อนรับซานเอ๋อร์ แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นตัวซานเอ๋อร์เองคิดจะเป็นแบบไหนหรือ”
ดวงตาซานเอ๋อร์มองขึ้นด้านบนและครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “ข้าคิดว่าการเป็นจอหงวนมันค่อนข้องมีสง่าราศี อย่างท่านพ่อข้ามีดีอะไรหรือ ตั้งแต่หัวปีถึงท้ายปี อยู่บ้านได้ไม่กี่วันเอง”
หยินหลิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณชายน้อยซานเอ๋อร์พูดถูกอย่างยิ่งเลยเจ้าค่ะ เป็นจอหงวนดีกว่านะเจ้าคะ ได้เข้าสังคมพบปะสังสรรค์ ได้นั่งบนรถม้าโลดแล่นไปตามท้องถนน มีสง่างามราศีเสียยิ่งอะไรดีเลยเจ้าค่ะ!”
ซานเอ๋อร์พยักหน้าเห็นด้วย เสมือนว่าคว้าการสอบผ่านขั้นจอหงวนมาแล้วอย่างไรอย่างนั้น และกล่าวด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง “เช่นนั้นก็เป็นจอหงวนแล้วกัน!”
ทุกคนพร้อมใจกันหัวเราะร่าอีกครั้ง “ซานเอ๋อร์อยากเป็นจอหงวน ช่างมีความทะเยอทะยานไม่น้อยเลยนะเรา ทว่าจอหงวนน่ะมิได้เป็นกันง่ายๆ เพียงนั้นหรอกนะ อย่างพี่เขยเจ้านั่น กินข้าวก็ถือตำราไม่ห่างมือ เดินก็ถือตำราไม่ว่างเว้น ต้องพากเพียรอย่างยิ่งถึงจะได้”
ซานเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยถามอย่างใสซื่อ “ท่านพี่เขยกินข้าวก็อ่านตำราด้วย จะไม่สำลักเอาหรือขอรับ อีกอย่าง เดินแล้วอ่านตำราไปด้วย จะไม่สะดุดล้มเอาหรือขอรับ”
หลินหลันถึงกับชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนยื่นมือไปบีบปลายจมูกน้อยๆ ของเขา และกล่าวอย่างมันเขี้ยว “สมองน้อยๆ ของเจ้านี้มัวขบคิดสิ่งเหล่านี้ไปก็ไร้ประโยชน์เปล่าๆ”
ซานเอ๋อร์หัวเราะเจื่อนแล้วกล่าว “ที่ท่านพี่เอ่ยมานั้น ซานเอ๋อร์ล้วนเข้าใจได้ทั้งสิ้นขอรับ ท่านพี่ต้องการให้ซานเอ๋อร์เลียนแบบซุนจิ้งและซูฉินผู้นั้นสินะขอรับ ต้องเก็บตัวอ่านตำราหามรุ่งหามค่ำอยู่แต่ในห้อง และใช้หนามทิ่มแทงก้น ท่านพี่วางใจได้ขอรับ ซานเอ๋อร์จะขยันขันแข็งขอรับ”
แม่โจวกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ดูๆ ดูทำเข้าสิเจ้าคะ คุณชายน้อยซานเอ๋อร์ของพวกเรา ไม่เจอกันไม่กี่เดือน มีความรู้เพิ่มพูนขึ้นมาไม่น้อยเลยนะเจ้าคะ!”
ซานเอ๋อร์รู้สึกเห็นต่างออกไป “เรื่องราวเหล่านี้ ท่านอาจารย์เคยพูดกับพวกเราไว้ตั้งนานแล้ว แต่ข้าคิดว่าการเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องเอาหนามทิ่มก้นนั่งอ่านตำราหามรุ่งหามค่ำ แต่เมื่อก้นโดยทิ่มจนเจ็บ มันจะยิ่งนั่งไม่ได้มิใช่หรือ ก้นเจ็บก็อยากจะนอนอยู่เรื่อย ก้นก็โดนทิ่มระบมไปหมดแล้ว เช่นนั้นจะไม่ป่วยเอาหรือ พอล้มป่วยลงก็ไม่อาจอ่านตำราได้แล้วมิใช่หรือ”
หลินหลันเผยรอยยิ้มเจื่อน “แล้วใครใช้ให้เจ้าเอาหนามมาทิ่มก้นจริงๆ กันล่ะ ไว้เดี๋ยวพี่จะเอายาขี้ผึ้งสำหรับทาที่ช่วยให้กระปรี้กระเปร่าให้ หากเจ้าอ่านตำราแล้วง่วง ก็นวดบริเวณขมับสักเล็กน้อย จะช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก”
ซานเอ๋อร์กล่าวด้วยความดีใจ “เช่นนั้นก็เยี่ยมที่สุดเลยขอรับ ทว่าท่านพ่อข้าคงไม่ปล่อยข้าอย่างง่ายดายเพียงนั้น ใจเขาต้องการให้ข้าเป็นทหารลูกเดียว! เห็นกล่าวจะว่าได้สืบทอดต่อๆ กันไปอะไรทำนองนั้นขอรับ”
“เหอะ! อย่างท่านพ่อเจ้าความรู้น้อยนิดเพียงนั้น อย่าไปสนใจ” หลินหลันดูถูก
ซานเอ๋อร์หัวเราะเจื่อน “คำพูดนี้ข้ามิกล้าพูดกับท่านพ่อหรอกขอรับ หรือไม่ท่านพี่ช่วยไปพูดให้ข้าทีสิ! ท่านพ่อจะต้องฟังท่านเป็นแน่ ท่านพูดได้ผลยิ่งกว่าท่านแม่ข้าพูดเสียอีก”
หลินหลันกล่าว “ต้องวุ่นวายเพียงนั้นเสียที่ไหนกัน เจ้าแค่กลับไปบอกท่านพ่อเจ้าว่า พี่หลันเอ๋อร์คิดว่าร่ำเรียนตำราจะดีกว่า ก็เป็นอันสิ้นเรื่องแล้ว”
ซานเอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นข้ากลับไปแล้วจะลองดูขอรับ หากมิได้ ท่านพี่ต้องช่วยข้านะขอรับ”
หรูอี้อุ้มฮานเอ๋อร์เข้ามา วันนี้ฮานเอ๋อร์สวมใส่เสื้อกั๊กผ้าไหมสีเขียวยาสูบ ท่อนล่างเป็นกางเกงสีส้มแสด บนศีรษะสวมใส่หมวกหัวเสือ คนทั้งคนดูไม่ต่างจากลูกหนังกลมๆ ขนาดจิ๋ว
ซานเอ๋อร์ส่งเสียงตะโกนด้วยความดีใจทันทีที่เห็นฮานเอ๋อร์ “ฮานเอ๋อร์ลองเรียกอารองให้ฟังเร็วเข้า”
เด็กในวัยเล็กอย่างฮานเอ๋อร์ ชื่นชอบเด็กที่โตกว่าตนเองเป็นที่สุด ถึงจะไม่ได้รู้จักกันแต่แรก ทว่าก็ยังเอ่ยเรียกอย่างว่าง่าย “ท่านอา…”
ซานเอ๋อร์ปรบมืออย่างพึงพอใจ “ท่านพี่ ท่านฟังสิ ฮานเอ๋อร์เรียกข้าว่าท่านอาด้วยละ…ในที่สุดข้าก็มิใช่เด็กเล็กที่สุดในครอบครัวอีกแล้ว”
หลินหลันเผยรอยยิ้มเอ็นดูแล้วกล่าวขึ้นด้วยความหมั่นเขี้ยว “เจ้าเป็นอารองนี่มิใช่แค่ขึ้นชื่อว่าเป็นอาเท่านั้น วันนี้เจ้าต้องเล่นเป็นเพื่อนฮานเอ๋อร์เขาด้วย”
หรูอี้วางฮานเอ๋อร์ลงบนเตียงเตา ซานเอ๋อร์ถอดรองเท้าแล้วขึ้นไปนั่งบนเตียงเตา จากนั้นก็เริ่มหยอกล้อเล่นกับฮานเอ๋อร์
อวิ๋นอิงส่งเสียงที่แสดงถึงความร้อนใจอยู่ด้านนอก “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ต้าเส้าเหยียเชิญท่านไปทางด้านนั้นด่วนเลยเจ้าค่ะ”
หลินหลันตระหนกตกใจ เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วหรือ นางรีบหันไปสั่งการแม่โจวและคนอื่นๆ ให้คอยดูแลซานเอ๋อร์และฮานเอ๋อร์ไว้อย่างดี ระหว่างนั้นหยินหลิ่วคว้าเสื้อคลุมตัวใหญ่สีแดงเลือดหมูมาคลุมให้แก่นาง จากนั้นทั้งสองคนจึงรีบมุ่งหน้าไปยังโถงรับแขกส่วนหน้า
หลี่หมิงเจ๋อกำลังเดินกำมือวกไปวนมาอยู่ในห้องด้วยสีกระวนกระวายใจ เมื่อเห็นหลินหลันมาถึงแล้ว หลี่หมิงเจ๋อจึงรีบเดินเข้ามาหาและกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรนใจ “น้องสะใภ้ แย่แล้ว”
หลินหลันพยายามทำใจให้สงบเข้าไว้ “พี่ใหญ่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป ค่อยๆ พูดเถอะเจ้าค่ะ”
“ข้าเพิ่งกลับมาจากร้านใบชา ตอนนี้ด้านนอกโกลาหลอย่างยิ่ง ว่ากันว่าอีกเดียวจะมีประกาศกฎอัยการศึกแล้ว” หลี่หมิงเจ๋อกล่าว
ในที่สุดพายุครั้งใหญ่ก็มาเยือนแล้วสินะ หลินหลันเอ่ยถามด้วยสภาพอารมณ์ที่ยังคงสงบนิ่ง “พี่ใหญ่เห็นสถานการณ์เป็นเช่นไรบ้างหรือเจ้าคะ”
หลี่หมิงเจ๋อกล่าว “ข้าเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเช่นกัน เห็นแค่ว่าตามท้องถนนเต็มไปด้วยทหารม้า บรรดาชาวบ้านล้วนหลบกลับเข้าไปในบ้าน ข้าได้ให้จ้าวจัวอี้ไปสืบเสาะดูแล้ว ตอนนี้ข้ากังวลเพียงแค่น้องรอง น้องรองยังไม่กลับมาเลย!”
หลินหลันเป็นห่วงมากเช่นกัน สถานการณ์ต้องเลวร้ายเอาการเป็นแน่ แต่ละบริเวณถึงได้เต็มไปด้วยทหารม้า ไม่รู้ว่าทางด้านฝ่ายครัวเรือนทางด้านนั้นปลอดภัยหรือไม่ จะได้รับผลกระทบบ้างหรือไม่
“พี่ใหญ่ พวกเราปิดประตูบานหลักให้แน่นหนาก่อน และสั่งการบรรดาข้ารับใช้อย่าเพิ่งออกจากจวน รอให้ทราบสถานการณ์แน่ชัดแล้วค่อยว่ากันอีกที” หลินหลันกล่าวอย่างใจเย็น
หลี่หมิงเจ๋อพยักหน้า “ตกลง ข้าจะสั่งการลงไปเดี๋ยวนี้ละ”
หลังเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ จ้าวจัวอี้ถึงได้กลับมาด้วยสีหน้าตึงเครียด “พี่สะใภ้ สถานการณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าใด วังหลวงถูกปิดแน่นหนาเลยไม่ได้ข่าวคราวอันใดทั้งสิ้น หน่วยงานพระราชวังทั้งหกกรมเหมือนจะถูกโจมตีด้วยเช่นกัน ได้ยินว่ามีขุนนางล้มตายไปจำนวนไม่น้อย ตอนนี้ทหารม้าลาดตระเวนกำลังตอบโต้ฝ่ายกบฏ แต่ยังคงกำราบไม่อยู่หมัด”
สีหน้าของหลี่หมิงเจ๋อเปลี่ยนไปทันที เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือ “รู้เกี่ยวกับคนที่เสียชีวิตเหล่านั้นบ้างหรือไม่”
จ้าวจัวอี้ส่ายหน้า
หลินหลันรู้สึกมึนงงขึ้นมาชั่ววูบ หลี่หมิงอวินอยู่ที่ฝ่ายครัวเรือนแห่งกรมคลัง ตระกูลฉินจงเกลียดหมิงอวินเข้ากระดูกดำ คงต้องเล่นงานหมิงอวินเป็นอันดับแรกก่อนแน่นอน
“พี่สะใภ้ ท่านอย่าเพิ่งกระวนกระวายไป ใต้เท้าหลี่เป็นคนดีฟ้าคุ้มครอง คงไม่เกิดเรื่องอันใดกับเขาไปได้ อีกประเดี๋ยวข้าจะออกไปสืบเสาะดูอีกครั้ง และจะพาใต้เท้าหลี่กลับมาให้จงได้ขอรับ” จ้าวจัวอี้รีบกล่าวปลอบใจ
หลี่หมิงเจ๋อกล่าวด้วยความร้อนใจ “เช่นนั้นก็รบกวนผู้ใต้บัญชาจ้าวด้วย”
จ้าวจัวอี้ยกสองมือขึ้นคาราวะและกล่าว “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ละ ส่วนในจวนนี่ข้าก็แบ่งกำลังคนไว้แล้วด้วยเช่นกัน ได้ยินว่าพวกทหารกบฏโจมตีจวนขุนนางบางส่วนด้วยเช่นกัน พวกท่านต้องปิดประตูให้แน่นหนาไว้ด้วย ระมัดระวังเข้าไว้จะเป็นการดีที่สุด”
“อืม! ข้าเข้าใจแล้ว ผู้ใต้บัญชาจ้าวก็ระมัดระวังตัวด้วยเช่นกัน” หลี่หมิงเจ๋อเดินออกไปส่งจ้าวจัวอี้
หลินหลันรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกไปทั่วทั้งเนื้อตัว ตระกูลฉินมีรากฐานที่มั่นคงแข็งแกร่ง การต่อกรด้วยจึงไม่ง่ายดายเพียงนั้น มิเช่นนั้นฮ่องเต้ก็คงไม่อดทนครั้งแล้วครั้งเล่า ตระกูลฉินมักใช้วิธีลอบกัด การโจมตีเอาคืนคราวนี้จึงไม่อาจประมาทได้ เพียงแต่นางคาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะดำเนินไปอย่างรุนแรงถึงขั้นนี้ หากเกิดเรื่องร้ายกับหมิงอวิน แล้วนางจะทำอย่างไรดี เมื่อนึกมาถึงประเด็นนี้ หลินหลันรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง ในใจรู้สึกเสมือนกับถูกคนเอามีดมากรีดจนโลหิตไหลรินอย่างเจ็บปวด เจ็บปวดจนไม่อาจหายใจได้
หยินหลิ่วรีบรินน้ำร้อนแล้วยื่นส่งให้นายหญิงสะใภ้รอง พลางกล่าวปลอบใจ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ท่านอย่าได้กระวนกระวายใจไปเลยนะเจ้าคะ เอ้อร์เส้าเหยียฉลาดเฉลียวมีไหวพริบมาแต่ไหนแต่ไร จะต้องมีวิธีเอาตัวรอดจากสถานการณ์ยากลำบากได้เป็นแน่ พี่จ้าวก็ต้องพาเอ้อร์เส้าเหยียกลับมาอย่างปลอดภัยได้แน่นอนเจ้าค่ะ”
ในสมองหลินหลันเต็มไปด้วยความว่างเปล่า มีเพียงหัวใจดวงหนึ่งที่รู้สึกเจ็บปวดเป็นพักๆ
หลังจ้าวจัวอี้หายออกไปไม่นานนัก ผู้ดูแลอวี๋แห่งจวนแม่ทัพก็พากำลังพลหทารมาเยือน กล่าวว่ารับคำสั่งแม่ทัพให้มาอารักขาความปลอดภัยให้จวนหลี่ และให้คุณชายน้อยซานเอ๋อร์อยู่ที่จวนหลี่ก่อนเป็นการชั่วคราว ห้ามไม่ให้ทุกคนออกไปด้านนอก
ช่วงเวลาอันตรายเช่นนี้ หลินหลันไม่อาจมัวหยิ่งยโสต่อความหวังดีของตาเฒ่าได้เช่นกัน จึงให้คนใต้บัญชาของจ้าวจัวอี้จัดการแบ่งหน้าที่ให้แก่คนที่เหล่าอวี๋พามา ความกังวลภายในใจทวีเพิ่มขึ้น แม้แต่ตาเฒ่านี่ก็ยังกังวลถึงเพียงนี้ สถานการณ์คงต้องย่ำแย่เกินกว่าที่คาดคิดไว้เป็นแน่
เวลาแห่งการรอคอยมักยาวนานเป็นพิเศษ ยามนี้ความรู้สึกไม่ต่างจากการถูกทอดอยู่บนกระทะน้ำมันร้อนๆ ติงหลั้วเหยียนมารอคอยเป็นเพื่อนหลินหลัน และคอยปลอบใจนางอยู่เรื่อยว่าไม่มีข่าวก็ยังถือว่าเป็นข่าวดี
คำพูดหลอกตนเองเหล่านี้ไม่ช่วยอะไรหลินหลันเลย หลินหลันคิดเพียงแต่ว่า หากหมิงอวินประสบเรื่องแย่ๆ ที่ไม่คาดคิด นางก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเช่นกัน ในใจนางเศร้าโศกอย่างยิ่ง
ฮานเอ๋อร์หรือจะรับรู้ว่าด้านนอกกำลังอลหม่านอย่างยิ่ง จึงยังหัวเราะคิกคักต้องการให้อารองเล่นเป็นเพื่อนเขา ซานเอ๋อร์เห็นสีหน้าพี่สาวซีดเผือดประหนึ่งกระดาษ สีหน้าของทุกคนล้วนตึงเครียดพอๆ กัน เขาแม้ไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว แต่ก็พอรู้ว่าจะต้องเป็นเรื่องราวที่ร้ายแรงอย่างมากแน่นอน
ซานเอ๋อร์กล่าวด้วยเสียงกระซิบ “ฮานเอ๋อร์เด็กดี พวกเราไม่รบกวนท่านอาหญิงนะ!”
ฮานเอ๋อร์เห็นว่าอารองไม่เล่นกับเขาแล้วจึงเบ้ปากเตรียมจะร้องไห้ออกมา แม่โจวจึงรีบแสดงสัญญาณให้หรูอี้อุ้มฮานเอ๋อร์ออกไปเพื่อไม่เสียงดังรบกวนนายหญิงสะใภ้รอง
จากนั้นก็รอคอยแล้วรอคอยเล่าอยู่เช่นนี้ รอจนกระทั่งท้องฟ้ามืดมิด ในที่สุดจ้าวจัวอี้ก็กลับมา ทว่าหลี่หมิงอวินไม่ได้กลับมาด้วย
หลินหลันเห็นว่ามีเพียงจ้าวจัวอี้กลับมาตามลำพัง ในใจลึกๆ รู้สึกผิดหวัง นางเอ่ยถามออกไปอย่างกระตือรือร้น “ตามหาเขาเจอหรือไม่”
จ้าวจัวอี้ส่ายหน้าอย่างหดหู่ “หกกรมที่ถูกพวกกบฏโจมตีถูกควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว ทว่าพวกเขาก็จับตัวขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไปหลายคน ภายใต้การตรวจสอบเรือนร่างศพที่อยู่ภายในหกกรมไม่พบใต้เท้าหลี่ จึงเกรงว่าใต้เท้าหลี่จะถูกพวกเขาจับตัวไปด้วยเช่นกันขอรับ”
ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยความไม่เข้าใจ “พวกเขาจับตัวบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทำไมหรือ”
หลี่หมิงเจ๋อถอนหายใจ แล้วกล่าว “ยังจะทำอะไรได้อีก นอกจากเอาไปเป็นตัวประกัน!”
“พวกกบฏเหล่านี้ ควรถูกมีดประหารให้สิ้นซาก” ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยความเคืองแค้น
“แล้วตงจึล่ะ ไม่เห็นตงจึเลยหรือ” หลี่หมิงเจ๋อถามขึ้นอีกครั้ง
จ้าวจัวอี้ส่ายหน้าอีกครั้ง เขาไม่ได้บอกกล่าวทุกคนด้วยซ้ำว่า สภาพภายในหกกรมน่าอนาถมากเพียงใด หลายครอบครัวต่างรอคอยโดยไม่อาจได้หัวหน้าครอบครัวของตนเองกลับไปเสียแล้ว
หลินหลันทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ไม่พบร่างไร้วิญญาณของหมิงอวิน นั่นหมายความว่าหมิงอวินยังมีชีวิตอยู่ ทว่าหากหมิงอวินตกไปอยู่ในเงื้อมมือตระกูลฉิน ก็มีเพียงหนทางแห่งความตายสถานเดียวเช่นกันมิใช่หรือ
จ้าวจัวอี้เห็นพี่สะใภ้มีท่าทางราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง ในใจรู้สึกถึงความละอายแก่ใจอย่างยิ่ง เขารับปากพี่สะใภ้ไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะพาใต้เท้าหลี่กลับมาให้จงได้ แต่ผลปรากฏว่าตอนนี้ไม่รู้แม้แต่ว่าใต้เท้าหลี่อยู่แห่งหนใด
“พี่สะใภ้ หรือไม่ข้าไปถามไถ่ทางด้านจวนจิ้งปั๋วโหว์ดูสักหน่อยดีล่ะขอรับ”
หลินหลันโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง “ช่างเถอะ ยามนี้เกรงว่าแม้แต่จิ้งปั๋วโหวเองก็อาจยุ่งจนตัวเองยังเอาตัวไม่รอดด้วยซ้ำ เจ้าไปก็เสียเที่ยวเปล่า”