ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่298-2โชคดี
หลังเวลาผ่านไปกว่าชั่วโมง จ้าวจัวอี้ก็กลับเข้ามา ทั้งยังเป็นการกลับมาพร้อมข่าวดีและข่าวร้าย ข่าวดีคือทหารกบฏของตระกูลฉินถูกควบคุมไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งในตอนนี้กำลังจับกุมตัวผู้ร่วมขบวนการก่อความวุ่นวายอยู่ ส่วนข่าวร้ายคือ…นายท่านแห่งตระกูลติงก็ถูกจับกุมด้วยเช่นกัน
“ว่าอย่างไรนะ ท่านพ่อตาถูกจับกุมด้วยหรือ” หลี่หมิงเจ๋อกล่าวเสียงหลง
จ้าวจัวอี้กล่าว “ไม่เพียงแค่ใต้เท้าติงเท่านั้น แต่รวมไปถึงองค์รัชทายาทก็ด้วย เกรงว่าคราวนี้คงยากแก่การหลุดพ้นหายนะไปได้”
หลี่หมิงเจ๋อทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ด้วยความตระหนกตกใจพลางพึมพำ “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี หากหลั้วเหยียนรับรู้เข้าคงร้อนใจแย่เป็นแน่”
หลินหลันกล่าวปลอบใจ “พี่ใหญ่อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป แม้ว่าใต้เท้าติงเป็นคนใต้บัญชาองค์รัชทายาท แต่อย่างมากเขาก็เป็นแค่คนที่สนับสนุนองค์รัชทายาทเท่านั้น เรื่องก่อการกบฏประเภทนี้คงไม่ได้มีส่วนร่วมเป็นแน่…” ตามจริงหลินหลันอยากกล่าวว่า ใต้เท้าติงไม่ได้มีความสามารถถึงขั้นจะได้รับมอบ ‘ภาระหน้าที่สำคัญ’ จากองค์รัชทายาทไปได้
“ยิ่งไปกว่านั้น พรรคพวกขององค์รัชทายาทมีจำนวนคนไม่น้อย หากฮ่องเต้จัดการลงโทษทั้งหมด มิเท่ากับการทำลายรากฐานของประเทศชาติบ้านเมืองไปด้วยหรือ รอฮ่องเต้ตรวจสอบชัดเจนแล้ว ก็คงลงโทษเฉพาะผู้ก่อการกบฏเหล่านั้น คงไม่ลากโยงจนกว้างเกินไปหรอกเจ้าค่ะ” ระหว่างกล่าว หลินหลันหันไปถามจ้าวจัวอี้ “ณ ตอนนี้สถานการณ์ด้านนอกเป็นเช่นไรบ้าง ยังควบคุมด้วยกฎอัยการศึกอยู่หรือไม่”
จ้าวจัวอี้พอเป็นอันเข้าใจได้ จึงกล่าวว่า “ยังอยู่ในการควบคุมด้วยกฎอัยการศึก ทว่าสถานการณ์ดีกว่าเมื่อวานมาก หากท่านหลี่ต้องการไปจวนติง ข้าไปเป็นเพื่อนท่านได้ น่าจะไม่มีปัญหาอันใด”
หลินหลันพยักหน้า “ตอนนี้ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือ ต้องทราบให้ชัดเจนก่อนว่าใต้เท้าติงมีส่วนร่วมถึงขั้นไหน ได้กระทำความผิดใหญ่หลวงหรือไม่ พวกเราถึงจะพอประมาณการณ์ได้ มีหมิงอวินอยู่ทั้งคน เมื่อถึงตอนนั้นก็น่าจะช่วยใต้เท้าติงพูดอะไรได้บ้าง”
หลี่หมิงเจ๋อสงบนิ่งลง จากนั้นลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว “ข้าจะไปจวนติงเดี๋ยวนี้ละ”
หลังทั้งสองคนพากันเดินออกไปแล้ว หยินหลิ่วจึงบ่นพึมพำ “ใต้เท้าติงจงเกลียดต้าเส้าเหยีย และดูถูกดูแคลนกันเพียงนั้น แต่ต้าเส้าเหยียก็ยังห่วงใยเรื่องราวของตระกูลติง หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยไม่ขอแยแสหรอกเจ้าค่ะ”
หลินหลันถลึงตาใส่นาง “เจ้าจะไปรู้อันใด ต้าเส้าเหยียร้อนใจไปก็ทำเพื่อต้าเส้าหน่ายนายมิใช่หรือ ถึงอย่างไรติงฮูหยินก็เป็นมารดาของต้าเส้าหน่ายนาย หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดอันใดกับตระกูลติงจริงๆ ต้าเส้าหน่ายนายจะไม่กลัดกลุ้มแย่หรอกหรือ”
หยินหลิ่วหุบปากด้วยสีหน้าสลด
ป้าจางมารายงานว่า ภรรยาพี่ชายของนายหญิงสะใภ้รองมาเยือน
เหยาจินฮวาหอบห่อสัมภาระขนาดใหญ่มา ตลอดทั้งวันทั้งคืน นางตื่นกลัวแทบแย่ นางกำลังอยู่บนท้องถนนระหว่างไปซื้อข้าวของ จู่ๆ ความโกลาหลก็บังเกิดขึ้น ทุกคนต่างหนีเอาตัวรอด บนท้องถนนเต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวาย นางจึงรีบหลบกลับเข้าไปในบ้าน จากนั้นได้ยินว่ามีคนก่อกบฏ ผู้คนล้มตายจำนวนมาก ตลอดทั้งคืนนางไม่กล้าออกมา จนกระทั่งรุ่งเช้าได้ยินว่ากำราบพวกกบฏได้แล้ว นางถึงเก็บข้าวข้องราวกับหัวขโมย แล้ววิ่งแจ้นมาถึงจวนหลี่
“หลินหลัน ข้าจำเป็นต้องหลบอยู่กับเจ้าที่นี่ ยุคสมัยประเภทนี้ ข้าไม่กล้าอยู่คนเดียวหรอก” เหยาจินฮวาส่งเสียงโหวกเหวกทันทีที่เจอ
หลินหลันขมวดคิ้ว ยุคสมัยนี้ต่างหากที่ปวงประชาอยู่กันอย่างปลอดภัยสงบสุขน่ะ! ไอ้ที่ไม่ปลอดภัยล้วนเป็นบรรดาคนร่ำรวยและพวกขุนนางเหล่านั้นต่างหาก อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเหยาจินฮวาดื้อดึงจะอยู่ให้ได้ นางก็ไม่อาจขัดขวางได้เช่นกัน
“เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เมื่อวานข้าก็อยากไปตามหาเจ้า แต่ด้วยกฎอัยการศึก จึงออกไปไหนมิได้ ในเมื่อเจ้ากลัวที่จะอยู่คนเดียว เช่นนั้นก็เข้ามาสิ! ข้าจะให้แม่เหยาจัดเตรียมห้องพักให้เจ้า” หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ไม่ต้องลำบากเป็นพิเศษหรอก ข้าพักอาศัยกับฮานเอ๋อร์ก็ได้ ข้าจะได้ดูแลฮานเอ๋อร์สะดวกหน่อยด้วย” เหยาจินฮวากล่าวเสมือนเกรงใจ แต่ความจริงหาใช่ความเกรงใจไม่ เพราะนางต้องการเข้าไปอยู่อาศัยในห้องของฮานเอ๋อร์ต่างหากล่ะ
หลินหลันรีบกล่าวคัดค้านนางทันควัน “พี่สะใภ้ ท่านให้ฮานเอ๋อร์อยู่ลำพังเถอะ! ฮานเอ๋อร์มีสาวใช้แม่นมคอยดูแลอยู่แล้ว”
ฝีก้าวของเหยาจินฮวาชะงัก นางหันกลับมาชำเลืองมองหลินหลัน พลางกล่าวอย่างไม่พึงพอใจ “หมายความอย่างไร ฮานเอ๋อร์เป็นลูกชายของข้า ข้าจะอยู่ดูแลลูกชายของข้าเอง ไยต้องให้แม่นมมายุ่งด้วยหรือ อีกอย่าง แม่นมหรือจะรักและเอ็นดูฮานเอ๋อร์เท่ามารดาแท้ๆ หรือ ดูแลได้ละเอียดรอบคอบเท่าหรือ?”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “พี่สะใภ้อย่าโมโหไปเลย ข้าทำเช่นนี้ก็เพราะหวังดีต่อฮานเอ๋อร์ คุณชายในครอบครัวใหญ่โตพอหย่านมแล้วก็ต้องมีแม่นมคอยดูแลทั้งนั้น เพราะเกรงว่าจะถูกมารดาแท้ๆ เอาใจเกินไปจนทำให้เด็กเสียนิสัย พี่ใหญ่กล่าวว่า ฮานเอ๋อร์เป็นหลานชายคนโตของตระกูลหลิน จะต้องอบรบ บ่มนิสัยให้ดีๆ ข้าก็แค่ทำตามประสงค์ของพี่ใหญ่ พี่สะใภ้ก็อย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย อีกอย่าง ต่างก็อยู่อาศัยในจวนเดียวกัน เจ้าอยากมาเยี่ยมเยียนฮานเอ๋อร์ก็แวะเวียนมาได้ทุกเมื่อ”
เหยาจินฮวาแสยะยิ้ม กล่าวว่า “ข้าว่าเจ้ากลัวฮานเอ๋อร์จะเกาะติดแม่แท้ๆ อย่างข้าละสิไม่ว่า!”
หลินหลันยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม “พี่สะใภ้พูดเป็นเล่นไปได้ ไม่ว่าอย่างไรฮานเอ๋อร์ก็คือลูกชายของเจ้า ข้าจะกลัวอันใดหรือ เพียงแต่ กว่าฮานเอ๋อร์จะคุ้นชินกับชีวิตที่นี่ได้ หาใช่เรื่องง่ายดาย…”
“เขาคุ้นชินแล้วจะอย่างไรหรือ ภายภาคหน้าก็ยังต้องติดตามข้าไปอยู่ดี ลูกชายของข้า ข้าเลี้ยงดูเองได้ ไม่ต้องการให้ผู้อื่นมาแทรกแซง” เหยาจินฮวากล่าวอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นจึงหันหนีแล้วเดินจากไป
หลินหลันค่อยๆ หุบยิ้ม หยินหลิ่วจึงเอ่ยถามด้วยเสียงบางเบา “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
หลินหลันนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนกล่าวขึ้น “ปล่อยนางไป เจ้าไปบอกกล่าวหรูอี้สักหน่อยว่า ให้นางคอยจับตาดูไว้ อย่างอื่นไม่กลัวหรอก อย่าปล่อยให้นางพาฮานเอ๋อร์ไปก็เป็นพอ”
เห็นทีว่าระยะนี้จะต้องเผชิญหน้ากับเหยาจินฮวาทุกวันเสียแล้ว หลินหลันถอดถอนหายใจอย่างหงุดหงิด
หลี่หมิงเจ๋อหายไปเป็นครึ่งค่อนวันถึงกลับมาด้วยสีหน้าหม่นหมอง ติงหลั้วเหยียนรับรู้แล้วว่าในครอบครัวเกิดเรื่องขึ้น และกำลังรอคอยด้วยความวิตกกังวล
“เป็นอย่างไรบ้างหรือ” เมื่อเห็นสีหน้าของหลี่หมิงเจ๋อ ติงหลั้วเหยียนก็พอรู้ทันทีว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงเอ่ยถามด้วยความเศร้าใจ
หลี่หมิงเจ๋อกอบกุมมือของติงหลั้วเหยียน ไม่รู้ว่าควรเริ่มพูดอย่างไร
“เจ้าพูดมาเร็วเข้าสิ!” ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยความร้อนใจ
หลี่หมิงเจ๋อเม้มริมฝีปาก กล่าวอย่างค่อยเป็นค่อยไป “พ่อตาและท่านลุงใหญ่ถูกจับกุม ตอนนี้จวนติงมีทหารคอยควบคุมอยู่ หากมิใช่ท่านพี่จ้าวหาคนที่พอรู้จักนำเข้าไป ข้าก็คงเข้าไปในจวนมิได้”
ติงหลั้วเหยียนถึงกับหน้าซีดเผือด กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “แล้ว…ท่านพ่อข้าสรุปแล้วเกิดเรื่องร้ายแรงหรือไม่ ท่านแม่ข้าว่าอย่างไรบ้าง”
หลี่หมิงเจ๋อประคองนางนั่งลง กล่าวปลอบใจ “เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป ข้าได้ถามไถ่ท่านแม่ยายแล้ว นางกล่าวว่าท่านพ่อตามิได้เข้าร่วมก่อกบฏด้วย เพียงแต่ตอนนี้อยู่ในสถานการณ์คับขัน จะรีบร้อนไปมิได้ ไว้รอเรื่องราวคลี่คลายลงแล้ว พวกเราค่อยร้องขอให้น้องรองช่วยอีกแรง น่าจะไม่มีปัญหาใหญ่โตอันใด อย่างมากก็แค่ถูกถอดตำแหน่ง” ตามจริงเรื่องราวถือว่าร้ายแรงหรือไม่ มันล้วนขึ้นอยู่กับประโยคเดียวของฮ่องเต้ที่ตรัสออกมา ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสภาพอารมณ์ของฮ่องเต้เท่านั้นที่เป็นตัวกำหนด
ติงหลั้วเหยียนร้องไห้กระซิกขึ้นมา “ตามจริงน้องสะใภ้เคยเตือนข้าไว้ตั้งนานแล้วว่า ให้ท่านพ่ออยู่ห่างๆ จากพรรคพวกขององค์รัชทายาทไว้หน่อย ข้าก็เคยพูดกับท่านแม่ไว้แล้วเช่นกัน ทว่าท่านแม่…ตอนนี้ดันมาเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เกรงว่าคงยากที่จะทำใจรับได้”
“เจ้าอย่าพยายามคิดไปในแง่ร้ายสิ น้องสะใภ้กล่าวว่า กลุ่มพรรคพวกองค์รัชทายาทมีจำนวนไม่น้อย คนเหล่านั้นล้วนเป็นกระดูกสันหลังของราชสำนัก หากลงโทษขั้นรุนแรงทั้งหมด มิเท่ากับจะขาดรากฐานของประเทศชาติบ้านเมืองหรือ หากไม่ได้เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏ ฮ่องเต้คงไม่ลงโทษสถานหนักไปได้” หลี่หมิงเจ๋อกล่าวปลอบใจ
ติงหลั้วเหยียนร้องไห้อยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวด้วยความเศร้าเสียใจ “ฮ่องเต้เป็นผู้แต่งตั้งองค์รัชทายาทด้วยพระองค์เองแท้ๆ องค์รัชทายาทก็คือว่าที่กษัตริย์ของประเทศชาติบ้านเมือง การสนับสนุนองค์รัชทายาทมันผิดอันใดหรือ”
หลี่หมิงเจ๋อนิ่งเงียบ ว่าที่กษัตริย์ของประเทศชาติบ้านเมือง ตราบใดที่ยังไม่ขึ้นเป็นกษัตริย์ ก็คือขุนนางผู้หนึ่ง หากคิดว่าเมื่อได้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทแล้ว ก็จะมั่นใจอย่างยิ่งว่าจะได้ขึ้นครองบัลลังก์มังกร นั่นคงเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ ตั้งแต่สมัยโบราณจนปัจจุบัน องค์รัชทายาทจำนวนมากมายเพียงใดที่ถูกกำจัด ถึงขั้นเอาชีวิตไม่รอดก็มี การแข่งขันเพื่อแย่งชิงมาซึ่งอำนาจฮ่องเต้โหดเหี้ยมมาแต่ไหนแต่ไร พ่อลูกฟาดฟันกันเอง พี่น้องฟาดฟันกันเอง มีให้เห็นถมเถไปมิใช่หรือ คงเป็นอย่างที่น้องรองว่า การเป็นขุนนางบริสุทธิ์ จักต้องจงรักภักดีต่อผู้ครองบัลลังก์มังกรอยู่เท่านั้น ถึงกล่าวได้ว่ากำลังอยู่บนเส้นทางขุนนาง!