ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่300-1ให้เจ้าสั่งสอนอบรม
หลี่หมิงอวินส่ายหน้า “เกรงว่าจะเป็นการยาก หากโหว์เหยียปลอดภัย เขาอาจยังพอระดมกำลังพลกองทัพซีซานและเป่ยซานได้ ตอนนี้แม้แต่เขาก็…นั่นจึงถือว่าเป็นอะไรที่สิ้นหวังแล้วจริงๆ”
“เช่นนั้นในใจเจ้าคิดเห็นอย่างไรหรือ” หลินหลันซักไซ้
หลี่หมิงอวินยิ้มขมขื่น “ทุกคนต่างกล่าวว่าองค์รัชทายาทก่อกบฏ ตามจริงผู้ที่ก่อกบฏแท้จริงแล้วเป็นองค์ชายสี่ต่างหาก ซึ่งความจริงแล้วเขาไม่ต้องรีบร้อนเพียงนี้ก็ย่อมได้ เพราะเดิมทีฮ่องเต้ก็ตั้งใจจะยกตำแหน่งให้เขาอยู่แล้ว ทว่ายามนี้ หากข้าฝืนใจยอมจำนน ก็เท่ากับไม่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้ ฮ่องเต้มีความเชื่อมั่นในตัวข้าอย่างยิ่ง แล้วข้าจะ…แต่หากไม่ยอมจำนน เกรงก็แต่จุดจบจะไม่งดงาม ลำพังตัวข้าเองน่ะไม่เท่าใดหรอก แต่กลัวว่าจะพาลให้เจ้าและตระกูลหลี่ติดร่างแหไปด้วยน่ะสิ…”
ก็นั่นน่ะสิ องค์รัชทายาทปากกล่าวว่ารักและหวงแหนในความสามารถและพรสวรรค์ที่ปรากฏ ทว่าหลินหลันเข้าใจเป็นอย่างดี องค์รัชทายาทเป็นผู้มีความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว มิเช่นนั้นคงไม่ทำเรื่องประเภทนี้ได้ แต่ผู้ใดก็ตามที่ไม่ทำคุณประโยชน์ให้เขา องค์รัชทายาทคงไม่ใจอ่อนออมมือเป็นแน่ นางจึงยิ่งเข้าใจความกลัดกลุ้มและสับสนของหมิงอวิน เดิมทีคิดว่าคราวนี้จะช่วยฮ่องเต้กวาดล้างตระกูลฉินได้ คงไว้ซึ่งเสถียรภาพของการปกครองราชสำนัก ไม่เคยคิดเลยว่า เมื่อกวาดล้างหมาป่าได้แล้วดันดึงดูดเสือเข้ามาแทนที่ เป็นดังคำที่กล่าวว่าการวางแผนขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ทว่าผลสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับโชคชะตา…ตามจริงหลินหลันอยากกล่าวว่า เช่นนั้นก็ทำเป็นวีรบุรุษที่รู้จักเวล่ำเวลาและหน้าที่เสียเถอะ! ทว่านิสัยของหมิงอวิน นางเองก็เข้าใจเป็นอย่างดี หากทำเช่นนี้จริง เกรงว่าเรื่องราวนี้จะกลายเป็นปมในใจที่แก้ไม่ได้ของหมิงอวินไปชั่วชีวิต จะถูกเขามองว่าเป็นจุดด่างพร้อยหนึ่งไปทั้งชีวิต
หลินหลันเม้มริมฝีปากขณะครุ่นคิด ก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าจะคิดหาวิธีเข้าเฝ้าฝ่าบาทสักครั้ง”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยความตระหนกตกใจ “เจ้าอย่าได้กระทำการอันใดผลีผลามเชียวนะ ตอนนี้ฮ่องเต้ถูกกักบริเวณ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็เข้าเฝ้ามิได้ทั้งนั้น”
หลินหลันกล่าวเชิงปลอบใจ “เรื่องราวอยู่ที่การกระทำของบุคคล ข้าคิดว่า มีคนผู้หนึ่งอาจพอมีวิธีช่วยได้”
“ใครหรือ เจ้าหมายถึงแม่ทัพหลิน?” หลี่หมิงอวินกล่าวเชิงคาดเดา
“ประเด็นนี้เจ้ามิต้องสนใจหรอก ระยะนี้เจ้าแค่รับมือองค์รัชทายาทไว้ก็พอ คอยรับมือไว้ อย่าได้พูดอันใดจนไร้ทางหนีทีไล่” หลินหลันกล่าวกำชับ
หลี่หมิงอวินพยักหน้า “ข้าไม่ได้หลุดปากอะไรเลย และก็ไม่ได้ปฏิเสธด้วยเช่นกัน มิเช่นนั้นก็คงไม่มีชีวิตจนถึงวันนี้ได้”
หลินหลันรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว เรื่องราวในบ้าน เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป พวกเราล้วนสบายดี”
ตามจริงนางรู้ดีว่าต่อให้นางไม่มาครั้งนี้ ท้ายที่สุดหมิงอวินก็เจรจาประนีประนอมได้เช่นกัน เพราะหมิงอวินเป็นห่วงนาง เป็นห่วงคนในครอบครัว เพียงแต่นางไม่อยากให้หมิงอวินแบกรับความรู้สึกผิดจากสำนึกผิดชอบชั่วดีนี้ไปทั้งชีวิต
“หลี่ฮูหยิน ถึงเวลาแล้วขอรับ” ขันทีส่งเสียงตะโกนจากด้านนอก
หลินหลันซบเข้าหาอ้อมกอดหมิงอวิน กอดรัดเข้าอย่างแนบแน่น พลางกล่าวด้วยความอาลัยอาวรณ์ “เจ้าต้องดูแลตนเองให้ดีๆ ด้วยล่ะ”
หลี่หมิงอวินโอบกอดนาง พลางตบแผ่นหลังของนางอย่างเบามือเชิงปลอบประโลม และเอ่ยกระซิบ “ข้ายังหวังว่าเจ้าจะไม่เข้าไปเสี่ยงอันตราย เพื่อเจ้า ข้ายอมทำได้ทุกสิ่งอย่าง”
หลินหลันซบอยู่ที่แผงอกของเขา ฟังเสียงจังหวะหัวใจเขาที่เต้นแรงอย่างจะเป็นจังหวะมั่นคง ราวกับว่านี่คือเสียงอันไพเราะที่สุดในโลก นางเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้ม และเผยแววตาอบอุ่นงดงามยิ่ง ประดุจดอกเหมยสีแดงสดท่ามกลางหิมะในฤดูหนาว ตามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่เอื้อนเอ่ยออกมา “ข้าเองก็เช่นกัน! เพื่อเจ้า ข้าล้วนยอมทำได้ทุกสิ่งอย่าง เจ้าวางใจได้ ข้าจะระมัดระวังอย่างสุดความสามารถ ไม่เพียงแค่เพื่อเจ้า แต่ยังมีโหว์เหยีย และฮ่องเต้อีกด้วย”
ปากประตูพระราชวัง หลินจื้อย่วนยืนกระสับกระส่ายอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งหลินหลันออกมาถึงได้สงบลง คิ้วที่ขมวดกันในตอนแรกของหลินจื้อย่วนคลายออก แล้วเดินเข้ามาหา “ได้พบเจอแล้วหรือ”
หลินหลันพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจอกันแล้วเจ้าค่ะ”
หลินจื้อย่วนถอนหายใจอีกระรอก “ได้ยินว่าองค์ชายรัชทายาทเรียกเจ้าเข้าเฝ้าด้วย เล่นเสียข้ากังวลใจจนเหงื่อท่วมตัว”
หลินหลันกล่าวอย่างไม่แยแสระหว่างเดิน “ท่านมีอันใดให้น่ากังวลใจหรือ ข้ามิใช่คนประเภทไม่รู้จักประมาณตนเสียหน่อย ตัวข้ารับมือเองได้เจ้าค่ะ”
หลินจื้อย่วนสาวฝีก้าวยาวเดินตามไปติดๆ เขารู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อยต่อท่าทีไม่แยแสของหลินหลัน จึงกล่าวเชิงตำหนิด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้าจะไปรู้อันใด องค์ชายรัชทายาทในตอนนี้กำลังเคลือบแคลงใจอย่างมาก เพียงคำพูดเดียวที่ไม่เข้าหู เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นการรนหาที่ตาย”
หลินหลันชะงักฝีก้าว ชำเลืองมองเขา และกระตุกยิ้มมุมปากถากถาง “มีบิดาที่เป็นถึงขุนนางผู้ซึ่งองค์รัชทายาทโปรดปรานอย่างท่าน ต่อให้ข้าพูดอันใดผิดไป องค์รัชทายาทก็คงต้องเห็นแก่หน้าท่าน ไม่ถือโทษเอาความอันใดกับข้าไปได้มิใช่หรือเจ้าคะ”
หลินจื้อย่วนเกือบใจหายวูบ เขากัดฟันแน่นแล้วกล่าว “ไปเถอะ หาสถานที่สักแห่งพูดคุยกัน”
หลินหลันมีเรื่องขอความช่วยเหลือจากเขาอยู่พอดีจึงเดินตามไป
ตลอดทาง หลินหลันมองเห็นเจ้าหน้าที่ทหารกำลังจับกุมผู้คนไม่ขาดสาย สภาพจิตใจรู้สึกถึงความหนักอึ้งอย่างยิ่ง องค์รัชทายาทเพื่อยึดครองอำนาจในการปกครองบ้านเมือง ถึงกับเชือดไก่ให้ลิงดูอย่างไร้คุณธรรม ทว่าการสร้างความตื่นตระหนกและหวาดกลัว รวมไปถึงเข่นฆ่ากันมากเกินไป มีแต่จะทำให้ผู้คนตื่นกลัวและรู้สึกถึงอันตราย นี่มันหาใช่เรื่องดีงามอันใดไม่
รถม้ามุ่งหน้าเข้าสู่จวนแม่ทัพ หลินหลันตามหลินจื้อย่วนเข้าไปยังห้องหนังสือชั้นใน หลินจื้อย่วนสั่งให้คนที่อยู่ออกไปจนหมด เมื่อภายในห้องหนังสือปราศจากผู้อื่น หลินจื้อย่วนถึงกล่าวขึ้น “เจ้าคิดว่าพ่อยอมละทิ้งหลักการเพื่อช่วยเหลือองค์รัชทายาท และไม่จงรักภักดีใช่หรือไม่”
หลินหลันไม่ได้โต้ตอบใดๆ แต่สีหน้าอารมณ์ที่แสดงออกถึงการดูหมิ่นเหยียดหยามนั่น ถือเป็นคำตอบที่ชัดเจน
หลินจื้อย่วนถอนหายใจด้วยความอึดอัดใจแล้วจึงเอื้อนเอ่ย “องค์รัชทายาทเห็นความสำคัญของพ่อ แต่นั่นก็เพราะพ่อเป็นกำลังสำคัญในกองทัพ ตอนนี้องค์รัชทายาทขึ้นว่าราชกิจ กอบกุมอำนาจยิ่งใหญ่ กำลังทหารใต้บัญชาของพ่อส่วนมากอยู่ที่ตอนเหนือทั้งนั้น แล้วจะเอาอันใดไปต่อต้านองค์รัชทายาทได้หรือ หากพ่อไม่ทำเช่นนี้ แล้วจะปกป้องหมิงอวินของเจ้าได้อย่างไร ปกป้องโหว์เหยียได้อย่างไร หากไร้การประคองสถานการณ์จากพ่อ ไม่รู้จริงๆ ว่าบรรดาขุนนางฝ่ายทหารที่หัวร้อนเหล่านั้นจะลงมือกระทำการอันใดลงไปบ้าง หลันเอ๋อร์ แนวโน้มสถานการณ์แทบจะสิ้นหวังแล้วก็ว่าได้!”
นั่นสิ! แนวโน้มสถานการณ์มันแทบจะสิ้นหวังแล้ว องค์ชายสี่ดำเนินการทีละขั้นทีละตอน วางแผนมาเนิ่นนานก็เพื่อวันนี้ พูดอย่างไม่น่าฟังหน่อยก็คือ พรุ่งนี้เขาจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ก็ไม่มีผู้ใดขัดขวางเขาได้เช่นกัน ที่เขาอดทนอยู่ ก็แค่เพื่อสยบคำวิพากษ์วิจารณ์ทั่วหล้า และไม่ว่าจะเป็นหมิงหวินหรือโหว์เหยีย รวมไปถึงบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่เหล่านั้นที่กำลังสับสน ไม่ช้าก็เร็วล้วนต้องยอมจำนนต่อความจริงนี้
“ข้าอยากให้ท่านช่วยอะไรบางอย่างเจ้าค่ะ” หลินหลันชายตาขึ้นขณะกล่าว
หลินจื้อย่วนตกตะลึงเล็กน้อย “เจ้าต้องการทำอันใด”
หลินหลันจ้องมองเขาอย่างสงบ “ข้าอยากเข้าเฝ้าฮ่องเต้สักครั้ง”
หลินจื้อย่วนมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างยิ่ง และกล่าวเสียงหลง “เจ้าอยากตายหรือไร ตอนนี้ฮ่องเต้ถูกกักบริเวณอยู่ที่ตำหนักเจาเฮอ ทหารรักษาการณ์ด้านนอกคอยเฝ้าระวังแน่นหนา หากไม่ได้รับการอนุญาตขององค์รัชทายาท แม้แต่แมลงวันสักตัวก็บินเข้าไปมิได้ด้วยซ้ำ ไม่ได้ เรื่องนี้กระทำมิได้เป็นอันขาด”
หลินหลันเดินขึ้นไปเบื้องหน้าหนึ่งฝีก้าว ด้วยท่าทีเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “ฮ่องเต้ถูกกักบริเวณก็จริง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนเข้าไปปรนนิบัติ ส่งข้าวปลาอาหาร และให้การตรวจวัดชีพจร ตราบใดที่มีความมุ่งมั่นจะทำมัน ก็ต้องหาวิธีทางจนได้ ข้าต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทให้ได้สักครั้งเจ้าค่ะ”
เผชิญหน้ากับความดื้อรั้นของบุตรสาว หลินจื้อย่วนถึงกับกัดฟันแน่นด้วยความโกรธเกรี้ยวแต่ก็จนปัญญา ทำได้เพียงกล่าวเกลี้ยกล่อมให้เชื่อฟัง “หลันเอ๋อร์ เจ้าเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้วอย่างไรหรือ เจ้าคิดว่าเรื่องราวมาถึงตอนนี้แล้ว ฮ่องเต้ยังจะทวงคืนบัลลังก์ได้อีกหรือ ตอนนี้สำนักทหารลาดตระเวน กองทัพทหารรักษาพระองค์ ค่ายซีซาน เป่ยซานล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมขององค์รัชทายาท ยิ่งไปกว่านั้น องค์รัชทายาทยังมีบรรดาแม่ทัพจำนวนมากที่ให้การสนับสนุน ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่ขุนนางฝ่ายบุ๋นจะขยับฝีปากก็เปลี่ยนแปลงเรื่องราวทางราชสำนักได้ ผู้ใดมีอำนาจอยู่ในมือ ผู้นั้นต่างหากที่จะเป็นผู้กำหนด ข้าแนะนำเจ้าให้รีบล้มเลิกความนึกคิดนี้ไปเสียโดยเร็ว”
หลินหลันกล่าว “ข้าเข้าใจดีว่าแนวโน้มสถานการณ์มันแทบจะสิ้นหวังแล้ว ข้ามิได้คิดกระทำการสิ่งนั้นเพื่อให้สถานการณ์พลิกผัน และข้าก็ไม่มีความสามารถนั้นด้วยเช่นกัน คิดว่าฮ่องเต้เองก็คงรู้ดีแก่ใจเช่นเดียวกัน เพียงแต่แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่นั่นมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ความรู้สึกที่ไม่จำยอมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ฮ่องเต้ไม่อาจจำยอมได้ บางทีฮ่องเต้อาจคิดว่า ต่อให้องค์รัชทายาทหาญกล้าเพียงใดก็คงไม่กระทำเรื่องการปลิดชีพฮ่องเต้ได้ แต่พระองค์มองข้ามประเด็นหนึ่งไป พลังอำนาจที่สูงสุดเป็นสิ่งดึงดูจิตใจของผู้คนได้อย่างมาก ความดึงดูดนี้ทำให้ผู้คนสูญเสียตัวตนดั้งเดิมได้ หากองค์รัชทายาทต้องการปลิดชีพฮ่องเต้ เขากระทำได้โดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ด้วยซ้ำ เมื่อใดก็ตามที่ได้เวลาอันสมควร องค์รัชทายาทไม่มีทางยอมออมมือเป็นแน่ ทว่าก่อนสิ่งเหล่านี้บังเกิด จะมีคนจำนวนมากที่ต้องล้มตายเพราะความจงรักภักดีนี้ อาจเป็นหมิงอวิน หรืออาจเป็นโหว์เหยีย...ที่ข้าอยากทำ เพียงแค่บอกความจริงนี้ต่อฮ่องเต้ โชคชะตาพลิกผันได้ แล้วนับประสาอันใดกับแนวโน้มสถานการณ์ ตอนนี้มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่จะแก้ไขสถานการณ์ความตายนี้ได้ ไม่ว่าเป็นการทำเพื่อตนเองหรือเพื่อผู้อื่น ฮ่องเต้ควรเป็นผู้ตัดสินใจถึงจะถูก” หลินหลันชะงักไปชั่วครู่ แล้วยิ้มขมขื่น “องค์รัชทายาทต้องการแต่งตั้งข้าเป็นต้าอี้ฮูหยิน ซึ่งมีความหมายว่าผู้มีมนุษยธรรมอันยิ่งใหญ่ ความจริงข้าไม่ใช่คนที่มีมนุษยธรรมอันใดเลย เรื่องที่ไม่ได้ผลประโยชน์ตอบแทน ข้าล้วนไม่กระทำมัน ข้าเพียงแค่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับสามีข้า ตอนนี้หมิงอวินตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ และข้าก็ไม่อาจดำรงชีวิตตามลำพังโดยปราศจากเขาได้”
หลินจื้อย่วนมองดูบุตรสาวที่แน่วแน่อย่างรู้สึกเหลือเชื่อ เขารับรู้มาโดยตลอดว่าบุตรสาวผู้นี้มีความนึกคิดเป็นของตนเอง แต่กลับไม่รู้ว่านางจะมองปัญหาได้ทะลุปรุโปร่งเพียงนี้ ตราบใดที่ฮ่องเต้ยังคงยืนหยัดต่อไป ก็เท่ากับการกดดันให้ขุนนางผู้ซื่อสัตย์เหล่านั้นกับบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่จนตรอก หากยืนหยัดอยู่ได้จนถึงวันฟ้าเปิดก็แล้วไป ปัญหาคือ นั่นมันเป็นการนึกคิดเพ้อฝันชัดๆ เขารู้อยู่เช่นกันว่าบุตรสาวและหมิงอวินมีความรักลึกซึ้งมั่นคงต่อกัน แต่กลับไม่รู้ว่าจะถึงขั้นยอมตายตามกันไป เด็กสาวไร้เดียงสาผู้นี้นี่นะ…หมิงอวิน หนุ่มน้อยนั่นช่างโชคดีจริงๆ
“ก็ได้ๆๆ พ่อจะลองดูแล้วกันว่าช่วยจัดการให้เจ้าได้หรือไม่ เรื่องนี้จำเป็นต้องละเอียดรอบคอบและระมัดระวังอย่างยิ่ง พ่อจะไม่ยอมให้เจ้าไปเสี่ยงอันตรายเป็นอันขาด” หลินจื้อย่วนยอมคล้อยตามอย่างจำใจ