ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่301ปรนนิบัติให้ดีๆ
หลินหลันหันไปพยักหน้าเล็กน้อยให้กลุ่มคนเชิงให้สัญญาณบอกกล่าว “พวกเจ้าไปคอยด้านนอก”
กลุ่มคนคารวะ แล้วเดินเรียงออกไป ทันใดนั้นภายในห้องจึงเหลือเพียงพี่สะใภ้และน้องสามีสองคน หลินหลันชำเลืองมองเหยาจินฮวาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา “นี่มันก็ใช่ พี่สะใภ้อยู่ในหมู่บ้านก็มีปากเสียงกับคนอื่นเขาอยู่บ่อยครั้ง ถึงขั้นลงไม้ลงมือก็ไม่ใช่เพียงครั้งสองครั้งเช่นกัน แม้แต่กับแม่สามีของตนเองก็กล้าด่าสาดเสียเทเสีย ดังนั้นพี่สะใภ้จึงไม่เห็นบรรดาข้ารับใช้อยู่ในสายตาแต่อย่างใดเป็นธรรมดา พี่สะใภ้ช่างหาญกล้า เรียกได้ว่าเป็นสตรีปากตลาดหมายเลขหนึ่งของหมู่บ้านเจี้ยนซีก็ว่าได้”
เหยาจินฮวาโยนเมล็ดทานตะวันในมือทิ้ง แล้วชี้นิ้วใส่หลินหลันด้วยความโกรธเกรี้ยว “ใครเป็นสตรีปากตลาด เจ้าว่าใคร”
หลินหลันชำเลืองมองปลายนิ้วของเหยาจินฮวาที่ชี้หน้าตนเองอยู่อย่างเย็นชา แล้วตะคอกขึ้นกะทันหันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เหยาจินฮวา เอานิ้วมือของเจ้าลงไป มิเช่นนั้นข้าจะหักมันเสียเลยเชื่อหรือไม่”
เหยาจินฮวากล่าวด้วยน้ำเสียงเชิงท้าทาย “เจ้ากล้า?” แต่กลับชักนิ้วมือหดกลับไป
“แล้วเจ้าว่าข้ากล้าหรือไม่? เหยาจินฮวา ทางที่ดีที่สุดเจ้าช่วยทำตัวให้มันฉลาดหน่อย เมื่อก่อนท่านแม่ข้ายอมเจ้าเพราะไม่อยากให้เรื่องเน่าเสียภายในบ้านแพร่งพรายออกสู่ภายนอก ที่ข้ายอมเจ้า นั่นเป็นเพราะเห็นแก่หน้าพี่ชายข้า ยามนี้ เจ้าคิดว่าพี่ชายข้ายังจะยอมอ่อนข้อตกอยู่ในกำมือเจ้า และปล่อยให้เจ้ากำเริบได้ตามใจอีกหรือ หากเจ้ายอมอยู่อย่างสงบก็แล้วไป หากทำนิสัยบ้าอำนาจอีกละก็ เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าพี่ชายข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่เอาเจ้าไว้” หลินหลันกล่าวอย่างดุดันด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เหยาจินฮวาเดือดดาลจนลนลานทำอะไรไม่ถูก “ข้าก็ว่าแล้ว เจ้าตั้งใจยุแยงพี่ชายเจ้าให้หย่าร้างกับข้า ข้าว่าแล้วว่าเหตุใดหลินเฟิงถึงเปลี่ยนไป นั่นเป็นเพราะเจ้ายุแยงตะแคงรั่วเป็นแน่ เจ้ายังคิดจะให้ฮานเอ๋อร์อยู่ห่างจากข้าเข้าไว้อีกด้วย เจ้า…เจ้าต่างหากที่เป็นสตรีผู้ชั่วร้ายที่สุด”
หลินหลันเชิดคางขึ้น ดวงตาทอประกายเยือกเย็น กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นั่นเป็นเพราะเจ้าหาเรื่องใส่ตัวต่างหาก เจ้าไม่เชื่อฟังบิดามารดา เป็นผู้ไร้ศีลธรรมอันดีงาม ปฏิบัติต่อน้องสาวสามีอย่างทารุณ ไม่เห็นบรรดาข้ารับใช้เป็นมนุษย์เหมือนกัน ตบตีด่าทอเขาไปทั่วตามอำเภอใจ เป็นเพราะขาดคุณธรรม เจ้าถึงละโมบโลภมากและลุ่มหลงในยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่รู้จักพินิจพิจารณาจากสถานการณ์โดยรวม เป็นเพราะไร้คุณธรรม เรียกได้ว่าเจ้าเป็นคนหนึ่งที่ไร้คุณธรรมอันดีงามอย่างไม่ต้องสงสัย สตรีที่หยาบคายไร้ยางอายไม่คู่ควรที่จะเป็นสะใภ้ของตระกูลหลินด้วยซ้ำ และไม่คู่ควรที่จะเป็นมารดาของฮานเอ๋อร์ด้วยเช่นกัน เจ้าอยู่ในที่ของข้า ก็แค่แขกคนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังกล้าริอาจวางอำนาจปานนี้ หากในภายภาคหน้าเจ้ากลายเป็นเจ้านายคนในบ้าน จะไม่ก่อปัญหาถึงขั้นเอาชีวิตคนเลยหรือ เจ้าคิดว่าเมืองหลวงเป็นหมู่บ้านเจี้ยนซีที่จะกระทำผิดไร้สาระได้ตามอำเภอใจหรือ อย่าว่าแต่ตอนนี้ที่อยู่ในช่วงเวลาตึงเครียดเลย ต่อให้บ้านเมืองสงบสุขร่มเย็นแล้ว ก็ยังคงมีเจ้าหน้าที่ขุนนางจำนวนมากคอยจับจ้อง ตระกูลใดเกิดเรื่องไม่ดีงามเหล่านั้นแพร่งพรายออกไป ก็ไปถึงหูเบื้องบนได้ง่ายๆ อย่าว่าแต่หน้าที่การงานของพี่ชายข้าในภายภาคหน้าจะต้องเป็นอันเสียหายไปด้วย ดีไม่ดีคงไม่อาจรักษาชีวิตให้รอดปลอดภัยอีกแล้ว…”
“เจ้า…เจ้าไม่ต้องมาขู่ข้า” เหยาจินฮวากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือภายใต้สีหน้าซีดเผือด
หลินหลันแสยะยิ้มเย็นชา “ข้าขู่เจ้า? เช่นนั้นเจ้าก็ออกไปแหกตาดูด้วยตนเองสิว่า ณ ตอนนี้ด้านนอกสถานการณ์เป็นเช่นไร มีเสียงฆ้องระฆังดังมากเพียงใด ตระกูลผู้ร่ำรวยมั่งคั่งสูงศักดิ์ เพียงชั่วข้ามคืนก็ตกไปอยู่ในคุกมืด ซึ่งบางทีอาจเป็นเพราะเมื่อวานในจวนไปซื้อเป็ดไก่มา หรืออาจไปสรรหาเนื้อปลาเนื้อหมูมาก็เป็นได้ พอเรื่องดังกล่าวเข้าหูเจ้าหน้าที่ทางการ คนเหล่านี้จึงกลายเป็นผู้กระทำผิดที่ต้องถึงแก่ชีวิตอย่างไรเล่า”
“นี่เจ้ากำลังข่มขู่ข้า” เหยาจินฮวากล่าวด้วยความหวาดกลัว สถานการณ์ภายนอกนางพอรับรู้อยู่บ้าง ทว่ามันรุนแรงอย่างที่หลินหลันพูดจริงหรือ
“ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรเชื่อที่ข้าพูด เหยาจินฮวา หากเจ้าคิดจะอยู่ที่นี่ต่อ ก็ช่วยสงบเสงี่ยมเจียมตัวไว้ ขืนให้ข้าได้ยินเรื่องไม่ดีเหล่านั้นอีก เจ้าก็เชิญไสหัวไปได้เลย” หลินหลันลุกขึ้นยืนแล้วชำเลืองมองนางอย่างเย็นชาทันทีที่กล่าวจบก็เดินจากไป
เหยาจินฮวาจ้องแผ่นหลังของหลินหลันเขม็ง พลางกัดฟันแน่นด้วยความเกลียดชัง จากนั้นปัดจานเมล็ดทานตะวันร่วงลงไปบนพื้น
หลังหลินหลันพ้นประตูออกไป แม่โจวจึงพากลุ่มคนไปยังใต้ชายคาระเบียง หลินหลันชายตาขึ้นมอง และกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุม “คุณชายน้อยไม่ใช่เด็กอ่อนแล้ว จึงควรหย่านมแม่ได้แล้ว ตั้งแต่บัดนี้ไป แม่นมไม่ต้องคอยปรนนิบัติแล้ว หากคุณชายน้อยต้องการดื่มนม ให้ใช้นมวัวแทนแล้วกัน”
แม่โจวขานรับ “เจ้าค่ะ!”
“ระยะนี้จิ้วฮูหยินอารมณ์เอาแน่เอานอนอันใดมิได้ ดังนั้นย้ายคุณชายน้อยไปอยู่เรือนปีกตะวันออก เพื่อจะได้ไม่รบกวนความสงบของจิ้วฮูหยิน” หลินหลันกล่าวพลางมองหรูอี้และคนอื่นๆ “ในเมื่อจิ้วฮูหยินไม่ชอบพวกเจ้าที่ปรนนิบัติไม่ดี หลังจากนี้พวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องปรนนิบัติจิ้วฮูหยินอีกแล้ว ไม่มีธุระอันใดก็ปรากฏต่อหน้าจิ้วฮูหยินให้น้อยเข้าไว้ แม่โจว ไปบอกให้แม่เหยาให้เลือกคนที่ปรนนิบัติได้อย่างดีเยี่ยมมาสองคน มาคอยปรนนิบัติจิ้วฮูหยิน”
หลินหลันจงใจเน้นหนักคำที่ว่า ‘ดีเยี่ยม’ ซึ่งแม่โจวเป็นอันเข้าใจความหมายดังกล่าว “บ่าวจะบอกกล่าวให้จัดการตามคำสั่งของเอ้อร์เส้าหน่ายนายแน่นอนเจ้าค่ะ”
เหยาจินฮวาได้ยินดังกล่าว แม้ภายในใจจะโกรธเกรี้ยวจนต้องการจะออกมาเถียง คาดไม่ถึงว่าเพียงเท้าเดียวที่ก้าวออกไป ดันไปเหยียบเมล็ดทานตะวันที่ตนเองเทกระจายอยู่บนพื้น จึงลื่นล้มหงายหลัง นอนแย่อยู่เช่นนั้นเนิ่นนานเพราะลุกไม่ขึ้น
อวิ๋นอิงและคนอื่นๆ ทั้งดีใจทั้งผิดหวังเล็กน้อย เหตุใดนายหญิงสะใภ้รองถึงไม่ขับไล่จิ้วฮูหยินไปนะ?
หลังสั่งการเป็นที่เรียบร้อยหลินหลันรู้สึกหายใจโล่งขึ้นบ้าง จึงให้ทุกคนแยกย้าย
หยินหลิ่วติดตามนายหญิงสะใภ้รองกลับเข้าไปในห้อง ช่วยนายหญิงปลดผ้าคลุมกันลม แล้วเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “หากจิ้วฮูหยินก่อความวุ่นวายอีกจะทำอย่างไรหรือเจ้าคะ”
หลินหลันก้าวไปยังเตียงเตาแล้วหย่อนตัวลงนั่ง สีหน้าเผยให้เห็นถึงความอ่อนล้าอย่างชัดเจน “หยินหลิ่ว เจ้านำคำพูดไปบอกกล่าวทุกคนทีว่า จิ้วฮูหยินจะอยู่ที่นี่อีกไม่นานหรอก จากนี้เมื่อเจอหน้าแค่รักษามรรยาทไว้ก็เป็นพอ ไม่จำเป็นต้องแยแสนาง ยามนี้เป็นช่วงเวลาจำเป็น ปล่อยให้นางออกไป ข้าเกรงว่านางจะก่อปัญหาให้ข้าเอาได้ ให้นางอยู่ที่นี่ไปก่อนจะดีกว่า อย่างน้อยๆ ก็มีคนคอยจับตามอง ข้ายังพอวางใจได้หน่อย”
หยินหลิ่วขานรับด้วยเสียงบางเบา “ข้าน้อยเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
หลินหลันรับประทานโจ๊กร้อนๆ เข้าไปเล็กน้อย แล้วเอนกายพิงอยู่บนเตียงเตาเพื่อพักผ่อน ระหว่างนั้นแม่โจวเข้ามารายงาน “แม่เหยาเลือกภรรยาของจางซิ่งและภรรยาของหรงเซิงไปคอยปรนนิบัติจิ้วฮูหยินเจ้าค่ะ”
หลินหลันยิ้มกรุ้มกริ่ม และส่งเสียง “อ้อ”
แม่โจวกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ทั้งสองคนนี้ใช้ได้ทีเดียวเจ้าค่ะ พละกำลังเรี่ยวแรงดี ฝีปากก็แกร่งกล้าเอาการ บ่าวได้บอกกล่าวไว้แล้วเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งพวกนางก็เข้าใจดีว่าต้องทำเช่นไรเจ้าค่ะ”
หลินหลันเผยรอยยิ้มจางๆ “ให้พวกนางปรนนิบัติอย่างระมัดระวังหน่อย ทั้งหมดให้เป็นไปตามกฎระเบียบ อย่าให้คนเขาเอาผิดได้”
แม่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายวางใจเถิดเจ้าค่ะ ไม่ผิดพลาดเป็นแน่เจ้าค่ะ”
“จากนี้เรื่องทางด้านนั้น ท่านช่วยจัดการหน่อยแล้วกัน ควรทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้น ไม่ต้องมารายงานข้าหรอก เรื่องกังวลใจของข้ามากพอแล้ว” หลินหลันกล่าวอย่างเหนื่อยหน่าย
แม่โจวเอ่ยถามอย่างลังเล “เอ้อร์เส้าเหยีย...”
“เอ้อร์เส้าเหยียไม่เป็นไร ส่งคนไปบอกกล่าวต้าเส้าเหยีย โดยกล่าวตามนี้ก็เป็นพอ”
“เจ้าค่ะ…”
“สองสามวันนี้ตระกูลเยี่ยเป็นเช่นไรบ้างหรือ”
“หลังนายท่านลุงใหญ่ได้ยินคำพูดของเอ้อร์เส้าหน่ายนาย ก็จัดการปิดร้านทันที ส่วนในจวนก็มีการเฝ้าระวังประตูบานหลักแน่นหนา ระมัดระวังอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
หลินหลันพยักหน้า “เช่นนี้ข้าก็วางใจแล้วละ”
“เพียงแต่…” แม่โจวอ้ำอึ้ง
“เพียงแต่อันใดหรือ” หลินหลันเอ่ยถาม
แม่โจวลังเลใจชั่วครู่ ก่อนกล่าวออกมา “เมื่อเช้าตรู่วันนี้ต้าเส้าหน่ายนายแอบกลับไปยังจวนติง ป้าจางกล่าวว่าต้าเส้าหน่ายนายร้องไห้กลับมา ดวงตาบวมแดงอย่างกับผลเฮอเถาเลยเจ้าค่ะ ต้าเส้าเหยียกำลังปลอบใจอยู่ในยามนี้เจ้าค่ะ”
หลินหลันนิ่งเงียบชั่วครู่จึงกล่าว “ครอบครัวมารดานางเกิดเรื่องระดับนี้ขึ้น นางจะร้อนรนใจก็เป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ บางเรื่องก็ไม่อาจรีบร้อนไปได้ ร้อนรนใจไปก็ไม่ช่วยอันใด ทำได้แค่รอคอยไปก่อน หากมีโอกาสในภายภาคหน้า ข้าก็อยากให้ติงฮูหยินลิ้มรสการต้องมาอ้อนวอนต้าเส้าเหยียถึงที่เช่นกัน”
แม่โจวกล่าวเสริม “นั่นสิเจ้าคะ ติงฮูหยินดูหมิ่นเหยียดยามต้าเส้าเหยียมาโดยตลอด คำพูดนั่นไม่น่าฟังเสียยิ่งอะไรดี ต้องให้นางได้รับรู้บ้างถึงจะเป็นการดีเจ้าค่ะ”
“หยินหลิ่ว เจ้าไปห้องยาแล้วหยิบเออเจียวที่ทำไว้เรียบร้อยแล้วนำไปส่งที่เรือนเวยอวี่ทีสิ และบอกให้ต้าเส้าหน่ายนายรักษาสุขภาพให้ดีด้วย” หลินหลันสั่งการ
ตลอดวันนี้หลินจื้อย่วนจิตใจไม่เป็นอันสงบสุข เพราะถูกความต้องการของหลินหลันคอยรบกวน ข้าวปลาอาหารก็รับประทานไม่ลง ได้แต่กลัดกลุ้มอยู่ภายในห้องหนังสือ นางเฝิงจึงสั่งคนให้ต้มโจ๊กรังนกแล้วยกเข้าไปให้ด้วยตนเอง
“ท่านพี่ หลายวันนี้มาท่านยุ่งวุ่นวายไม่เว้นว่าง ดูท่านสิ ซูบผอมไปหมดแล้ว ขืนไม่รับประทานอันใดอีก ร่างกายจะอดทนไหวได้อย่างไรหรือ น้องให้ทางห้องครัวตุ๋นโจ๊กรังนกมาให้ ท่านพี่กินสักหน่อยเถอะนะเจ้าคะ” นางเฝิงกล่าวเกลี้ยกล่อม
หลินจื้อย่วนโบกมือปัดๆ อย่างรำคาญ “ข้าอ่อนแอเพียงนั้นเสียที่ไหนกัน ข้าไม่หิว หิวแล้วเดี๋ยวข้าไปหาอะไรกินเอง”
นางเฝิงถอนหายใจ แล้วกล่าวด้วยความหดหู่ “ท่านพี่ไม่หิว เป็นเพราะแบกรับเรื่องกังวลใจอยู่สินะเจ้าคะ”
หลินจื้อย่วนขมวดคิ้วแน่น แล้วส่งเสียง จิ๊
“ท่านพี่ วันนี้ท่านพูดคุยอันใดกับหลินหลันหรือเจ้าคะ” แม้ว่าสามีไม่ค่อยพูดคุยเรื่องทางราชสำนักกับนางเท่าใดนัก แต่นางเฝิงก็ยังพอได้ยินข่าวคราวอันใดมาบ้าง ยามนี้หมิงอวินยังอยู่ในวัง หลินหลันคงต้องกระวนกระวายใจแทบแย่แล้วเป็นแน่ มิเช่นนั้นคงไม่มาถึงในบ้านไปได้
หลินจื้อย่วนถอนหายใจ แล้วกล่าว “วันนี้ข้าจัดการให้นางเข้าวังไปพบเจอหมิงอวิน”
นางเฝิงตระหนกตกใจ “แล้วอย่างไรเจ้าคะ หมิงอวินยังออกมามิได้หรือเจ้าคะ”
“มันง่ายดายเพียงนั้นเสียที่ไหนกัน หมิงอวินและโหว์เหยียทั้งสองคน หนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊ ล้วนเป็นคนที่เป็นอาวุธสำคัญที่สุดของฮ่องเต้ จำนวนสายตามากมายล้วนจับจ้องพวกเขาทั้งสอง หวังอาศัยเขาทั้งสองคนเป็นตัวชี้นำ องค์ชายรัชทายาทไม่มีทางปล่อยพวกเขาโดยง่ายได้เพียงนั้นหรอก นอกเสียจากพวกเขาแสดงจุดยืนชัดเจนแล้ว” หลินจื้อย่วนกล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม
“นี่ดูเป็นเรื่องยากจริงๆ เจ้าค่ะ หมิงอวินเป็นเสียยิ่งกว่าอาวุธสำคัญของฮ่องเต้ ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ เรื่องประเภทนี้…ช่างสร้างความลำบากใจให้เขาจริงๆ นะเจ้าคะ” นางเฝิงอดหดหู่ใจไม่ได้เช่นกัน
“หลันเอ๋อร์นางอยากเข้าเฝ้าฮ่องเต้ แต่การจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในยามนี้มันง่ายดายเพียงนั้นเสียที่ไหนกันเล่า ตำหนักเจาเฮอทั้งด้านนอกด้านในเต็มไปด้วยคนขององค์รัชทายาท องค์รัชทายาทหวาดระแวงตลอดเวลา ทำไม่ดีคงได้ถึงแก่ชีวิตเอาได้” หลินจื้อย่วนกล่าวด้วยความอึดอัดใจ
นางเฝิงกล่าวอย่างลังเล “ทว่าด้วยนิสัยของหลันเอ๋อร์ หากนางมีความนึกคิดเช่นนี้ แล้วไม่ให้นางลองดู นางคงไม่ยอมวางมือเป็นแน่เจ้าค่ะ”
“ก็เพราะเหตุนี้ ข้าถึงได้กลัดกลุ้มอยู่นี่อย่างไร! วันนี้นางถึงขั้นเอ่ยออกมาว่า หากเกิดอันใดขึ้นกับหมิงอวิน นางขอไม่มีชีวิตอยู่เป็นอันขาด เจ้าว่าข้าจะทำอย่างไรได้หรือ”
นางเฝิงกล่าวด้วยความลังเลใจ “บางที…อาจยังมีวิธีอื่นนะเจ้าคะ”
หลินจื้อย่วนดวงตาลุกวาวทันที “วิธีอันใดหรือ”
นางเฝิงเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน “ท่านพี่ดื่มโจ๊กก่อนสิเจ้าคะ แล้วน้องถึงจะพูด”
หลินจื้อย่วนชำเลืองมองนางอย่างตำหนิ แล้วยกชามโจ๊กรังนกขึ้น ดื่มเข้าไปสองสามอึกก็หมดเกลี้ยง จากนั้นจึงวางชามลงแล้วเร่งเร้า “ตอนนี้เจ้าพูดได้แล้วสินะ! รีบพูดมาเร็วเข้า ข้าร้อนรนใจจนผมเผ้าแทบหงอกหมดแล้ว”
นางเฝิงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ท่านพี่อยากปิดบังองค์รัชทายาท แล้วจัดการให้หลันเอ๋อร์ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ นี่มันแทบจะเป็นไปมิได้ด้วยซ้ำ ทว่าหากเป็นหานกุ้ยเฟยออกหน้าให้หลันเอ๋อร์ไปเข้าเฝ้า ก็น่าจะง่ายขึ้นมากนะเพคะ”
หลินจื้อย่วนกล่าวด้วยความรู้สึกท้อแท้ เมื่อได้ยินดังกล่าว “นี่เจ้ามิใช่พูดจาเพ้อเจ้อหรือไร หานกุ้ยเฟยจะยอมช่วยเหลือได้อย่างไรกัน องค์รัชทายาทเป็นบุตรชายที่นางให้กำเนิดมา นางต้องสนับสนุนองค์รัชทายาทอยู่แล้ว”
นางเฝิงกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “หากน้องคาดเดาไม่ผิด หลันเอ๋อร์ต้องการไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ คงเพราะคิดจะพูดโน้มน้าวฮ่องเต้ให้ปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา หรืออาจกล่าวว่าตราบใดที่มีชีวิตอยู่ ก็ย่อมต้องมีความหวังอะไรทำนองนี้ หากหลันเอ๋อร์พูดโน้มน้าวฮ่องเต้ได้จริง สำหรับองค์รัชทายาทมีแต่ข้อดี ไม่มีข้อเสีย หานกุ้ยเฟยไม่อาจไม่ยินยอมช่วยเหลือประเด็นนี้หรอกเจ้าค่ะ สถานการณ์ความเป็นความตายนี้ หานกุ้ยเฟยอยากคลี่คลายมันมากกว่าใครทั้งนั้น ฮ่องเต้เป็นพระสวามีของนาง องค์รัชทายาทเป็นบุตรชายของนาง นางคงไม่หวังที่จะเห็นบิดาและบุตรชายฟาดฟันกันเป็นแน่ เพราะหากเป็นเช่นนี้จริง ต่อให้องค์รัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์มังกรแล้ว ก็ต้องตามมาด้วยคนสาปแช่งในภายหลัง และจารึกลงในตำราประวัติศาสตร์ด้วยการตำหนิด่าทอ ทว่ายามนี้จะมีผู้ใดไปโน้มน้าวฮ่องเต้ได้ล่ะเจ้าคะ หานกุ้ยเฟยทำมิได้ องค์รัชทายาททำมิได้ บรรดาขุนนางผู้ซื่อสัตย์เหล่านั้นยิ่งแล้วใหญ่ ดังนั้น การให้หลันเอ๋อร์ไปอาจยังพอช่วยอะไรขึ้นมาได้ หากท่านพี่เชื่อมั่นในตัวน้อง พรุ่งนี้น้องก็จะเข้าวังแล้วลองดูสักตั้งเจ้าค่ะ”
หลินจื้อย่วนครุ่นคิดอย่างหนักอยู่เนิ่นนาน ก่อนพยักหน้าแล้วกล่าว “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลเช่นกัน เช่นนั้นเจ้าก็ลองดูสักตั้ง หากกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงตอบตกลงได้ นั่นถือเป็นการดีที่สุด หากกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงไม่ตอบตกลง เจ้าก็อย่าได้ดื้อดึงเป็นอันขาด”
“ท่านพี่วางใจเถิด น้องรู้จักประมาณตนเจ้าค่ะ” นางเฝิงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน