ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 1090
บทที่ 1090 ท้องมีความมุมานะมาก
แสดงแดดยามเช้าปลุกในเช้าวันใหม่ แสงแดดในฤดูหนาวไม่ได้ร้อนแรง แต่ได้ทำลายเสน่ห์ค่ำคืนที่แล้ว แถมยังเสียดตาอีก
ภายใต้แสงแดดที่แรงกล้า เจิ้งซินค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น
เวลานี้ เจิ้งซินตื่นมา นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน รู้สึกว่ามันไม่เหมือนความจริง
เธอไม่อยากจะเชื่อ เมื่อคืนคนคนนั้น เป็นตู้หลิงเซวียนจริงๆเหรอ
เขาดื่มจนเมา หรือว่ายังมีสติ เขาจำหน้าเธอได้ เรียกชื่อของเธอ แต่ในหัวเขามันเป็นเธอจริงๆหรือเปล่า
เจิ้งซินกัดริมฝีปาก มือหนึ่งยื่นไปดึงผ้าห่มที่ตกพื้นไปเกือบครึ่งขึ้นมาห่อตัวเอง ขณะเดียวกัน เธอมองสำรวจชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้างกายอย่างจริงจัง
ตู้หลิงเซวียนราวกับเหนื่อยมาก นอนนิ่งอยู่ด้านข้าง ศีรษะจมลงไปบนหมอน ผมเผ้ายุ่งเหยิง เปลือกตาสองข้างหลับสนิท แสงแดดสาดส่องขนตาเขาเป็นเงาสีดำ เมื่อมองดูดีๆถึงพบว่า ขนตาเขานั้นยาวมาก
จากนั้น จมูกโด่งของเขา ริมฝีปากบางที่ไร้ซึ่งอุณหภูมิทว่าน่ามองของเขา
ผิวของเขาเรียบเนียน ทำให้คนอยากสัมผัส หยิกเบาๆ กัดสักครั้ง
หากละทิ้งสถานะของทั้งคู่ ละทิ้งสิ่งที่อยู่ในใจตู้หลิงเซวียน เจิ้งซินคงยอมรับ ว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มาก ผู้หญิงธรรมดาทั่วไปคงไม่ใช่ศัตรูของเขา
“คุณดูจะชอบมองผมนะ”
ตู้หลิงเซวียนรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจับจ้องเขา ไม่จำเป็นต้องลืมตาก็เดาได้
เจิ้งซินก็ไม่ได้รีบหลีกเลี่ยง แต่กลับหัวเราะ “ตู้หลิงเซวียน คุณได้สติแล้วเหรอ”
“ผมมีสติอยู่ตลอดเวลา เรื่องเมื่อคืน ผมไม่ได้ลืม คุณอยากถามอะไร” ตู้หลิงเซวียนยังคงหลับตา เขาไม่ได้สัมผัสเจิ้งซิน
“เหอะๆ คุณนี่เปิดเผยดีจัง งั้นฉันก็จะถาม คุณทำแบบนั้นทำไม”
เจิ้งซินถามอย่างแปลกใจ มุ่งไปยังฉู่ลั่วหาน
“เดี๋ยวเราก็แต่งงานแล้ว เรื่องแบบนี้ ช้าเร็วก็ต้องเกิด ในเมื่อจะช้าจะเร็วก็ต้องเกิด งั้นก็ไม่สนว่าจะเร็วหน่อยหรือช้าหน่อย ผมว่าคุณก็คงไม่ใช่ผู้หญิงเรื่องมาก”
ความหมายในคำพูดนั้น คือเรื่องเล็กขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องคุย
เจิ้งซินหัวเราะออกมาเสียงเย็นรู้สึกเย้ยหยัน “ตู้หลิงเซวียน คุณคิดว่าฉันเป็นตัวอะไร”
ในที่สุดตู้หลิงเซวียนก็ลืมตาขึ้น ราวกับว่าดวงอาทิตย์ทั้งหมดจะรวมกันอยู่ในตาคู่นั้น สว่างเจิดจ้า “คำถามนี้ ผมไม่อยากพูดอีกแล้ว สายแล้ว อยากตื่นก็ลุกขึ้นมา”
“ตู้หลิงเซวียน ปกติคุณสุภาพกับทุกคน มีมารยาท ทำไมถึงได้ใจร้ายกับฉันนักล่ะ”
ตู้หลิงเซวียนในความทรงจำของเจิ้งซิน เข้าได้กับทุกคน เผชิญหน้ากับนักข่าวเขาก็ไร้ที่ติ แต่เมื่อมาถึงเธอ กลับไม่มีความอ่อนโยนอยู่เลยสักนิด
ตู้หลิงเซวียนยื่นมือไปหยิบผ้าขนหนู พันไว้บนตัว ก้มลงไปมองเห็นรอยเล็บครูด ความร้อนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อคืนกลับเข้าสู่ความทรงจำ
“คุณไม่พอใจเหรอ ต่อไปผมจะไม่บังคับคุณ”
เอ่ยจบ ตู้หลิงเซวียนลุกขึ้นไร้ซึ่งความอาลัยอาวรณ์ เดินมุ่งตรงไปยังห้องน้ำ เปิดประตู ปิดลง เปิดฝักบัว
สายน้ำอุ่นไหลลงมา เสียงน้ำไหลรินกลบทุกอย่างไปจนสิ้น
เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร
เมื่อคืนได้ยินลั่วหานล้อเล่นกับลู่ซวงซวงแบบนั้น คิดถึงเธอ ก็ริษยาจนแทบบ้า โกรธจนแทบบ้า
ในงานเลี้ยง เขามองตัวเองทีละแก้ว ยิ่งเมาเท่าไหร่ สมองยิ่งชัดเจนขึ้น
ตอนนี้พวกเขาทำเรื่องแบบนั้น จะพูดอะไร
เขาเอาใจเธอยังไง
ให้ตายเถอะ เพียงแค่คิด เขาก็แทบบ้า
ตอนนี้ สติเขากลับมาแล้ว คนตรงหน้าถามเขาอย่างชัดเจน
เขากลับพูดมันไม่ออก
เจิ้งซินคืออะไร
เขาเองก็ไม่รู้
เจิ้งซินกำหมัดแน่น ดวงตาจับจ้องไปที่ประตูห้องน้ำ เธอไม่สามารถระบายความโกรธและความทุกข์ใจของเธอได้ทำให้เธอราวกับนั่งอยู่บนพื้นพรมเข็ม
เธอกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง
ก้มหน้าลง น้ำตาหยาดหนึ่งหยดลงบนหลังมือ ไหล่ของเจิ้งซินสั่นระริก
เนิ่นนาน เธอถึงได้ยินเสียงตัวเอง ยอมรับในชะตา รู้สึกผิดหวัง…
“เหมือนฉันจะหลงรักคุณแล้ว ตู้หลิงเซวียน”
……
“เราอย่าไปที่โรงพยาบาลหวาเซี่ยเลยนะคะ ทำตัวไม่ถูก”
หลงเซียวขับรถพาลั่วหานไปตรวจที่แผนกสูตินรีเวชของโรงพยาบาลหวาเซี่ย เมื่อไปถึงหน้าประตูลั่วหานก็ตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง แผนกสูตินรีเวชนะไม่ใช่พวกทางแผนกทางเดินอาหารอะไรทำนองนั้น เดี๋ยวคนจะเอาไปพูดกัน
หลงเซียวกับยิ้มจนตาหยี “คุณหมอฉู่ก็อายเป็นเหรอครับ คุณไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินไม่ใช่เหรอ ยิ่งไปกว่านั้นผมก็อยู่ตรงนี้”
ลั่วหานกำหมัดชกเข้าที่ไหล่ของเขา “พูดบ้าอะไรของคุณ ไม่ใช่อายไม่อาย เกิดถูกเพื่อนร่วมงานเห็นเข้า เดี๋ยวก็ทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่”
หลงเซียวจับปลายคางเธอส่ายไปมาเบาๆ “แล้วแต่พวกเขาจะว่ายังไง คุณแค่จำไว้ว่าตัวเองเป็นคุณนายหลงก็พอแล้ว”
การเอาอกเอาใจและการให้กำลังใจของเขาทำให้เธอจนปัญญา สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้
หลงเซียวติดต่อผู้อำนวยการฝ่ายสูตินรีเอาไว้ก่อนแล้ว ลั่วหานทำใจเตรียมพร้อมอยู่สักพักจึงยอมเดินตามเขาขึ้นไป
ปลดหน้ากากอนามัยและหมวกออก ลั่วหานยิ้มให้ผู้อำนวยการแผนกสูตินรีเวช “ไม่เจอกันนานเลยนะคะ ฉันกลับมาอีกแล้วค่ะ”
หลงเซียวที่อยู่ด้านข้างอดกลั้นเอาไว้ ใครบอกว่าภรรยาเขาไร้อารมณ์ขัน นี่เธอก็ล้อเล่นเป็นกับเขาด้วยไม่ใช่เหรอ
ต่อมาเป็นการตรวจ ผลออกมาอย่างรวดเร็ว
ไม่ถึงสิบนาทีผู้อำนวยการแผนกก็เข้ามาพร้อมรอยยิ้ม ยื่นผลตรวจให้กับหลงเซียว “คุณหลงคะ คุณหมอฉู่ ยินดีกับพวกคุณด้วยนะคะ ตั้งครรภ์แล้วจริงๆ อายุครรภ์พึ่งจะสี่สัปดาห์หน่อยๆ ครรภ์แข็งแรงดีค่ะ”
สี่สัปดาห์กว่าแล้ว…
ลั่วหานมองสบตากันกับหลงเซียว จากนั้นทั้งสองแทบกลั้นหายใจ
นั้นแปลว่า ตลอดระยะเวลาสิ่งที่เกิดขึ้นกับลั่วหานตอนที่อยู่อังกฤษ เด็กน้อยก็ร่วมอยู่ด้วยงั้นเหรอ
สวรรค์…อันตรายขนาดนั้น กลับไม่ส่งผลกระทบอะไรกับครรภ์เลย เด็กคนนี้เก่งมากเลย
“ที่รัก เราไปเยี่ยมแม่กันเถอะค่ะ บอกข่าวดีกับเธอ”
หลงเซียวพยักหน้า เขาเองก็อยากบอกเหมือนกัน
ถ้าให้เธอรู้ว่าที่บ้านจะมีเด็กน้อยเพิ่มมาอีกคน จะทำให้เธอมีแรงผลักดันให้มีชีวิตต่อไปไหม
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ลั่วหานรู้สึกขอบคุณอยู่ในใจ เธอลูบท้องน้อยเบาๆ “ลูกรัก หม่ามี๊ของคุณหนูนะคะ ขอบคุณที่มาได้ตรงเวลาพอดีเลย”
หลงเซียวเองก็ขยับชิดหน้าท้องของเธอ บอกกับลูกน้อยที่มีเสื้อผ้ากั้นเอาไว้ “ลูกครับ พ่อสัญญา ตอนที่หนูเกิดมา พ่อจะอยู่เคียงข้างหนู พ่อสัญญา”
ลั่วหานรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ
ใช่ ตอนที่เธอคลอดชูชู เขาไม่ได้อยู่ในห้องคลอด เธอต้องเผชิญกับความตายเพียงลำพัง
ครั้งนี้ เธอเองก็หวังว่าเขาจะอยู่เคียงข้างเธอ เป็นพยานการเกิดให้กับลูก
……
“จริงเหรอ ท้องแล้วจริงๆเหรอ”
หยวนชูเฟินได้รับข่าวดี ใบหน้าซีดเซียวเผยรอยยิ้มออกมา ไฟที่ใกล้จะดับราวกับได้เติมฟืนแห้งเข้าไปอีกครั้ง ปลุกความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
เธอไม่กล้าคิด ว่าตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่จะได้รับข่าวดีแบบนี้
ลั่วลั่วของเธอใจสู้จริงๆ
ลั่วหานพยักหน้า “ค่ะ เป็นเรื่องจริงค่ะ หนูกับหลงเซียวก็พึ่งรู้วันนี้เอง พึ่งหนึ่งเดือนค่ะ”
มือใหญ่ของหลงเซียวกุมมือเธอเอาไว้ สายตาราวกับจะให้เธอจมลงไป “แม่ครับ เรารอให้แม่ช่วยตั้งชื่อหลานอยู่นะครับ”
ลั่วหานปล่อยมือหลงเซียว จับมือขวาของหยวนชูเฟิน เอาไว้ “แม่คะ หนูเชื่อ เด็กคนนี้เป็นของขวัญที่คุณพ่อมอบให้เรา เขาหวังให้แม่ได้มีชีวิตต่อไป ไม่ต้องรีบไปหาเขา รอให้เด็กคลอดออกมา ไม่งั้นถ้าแม่ไปอยู่บนสวรรค์แล้ว จะบอกกับพ่อยังไงคะ ขนาดเพศของหลานก็ยังไม่รู้เลย”
หยวนชูเฟินชื่นชมเธอที่รู้ความ “เด็กโง่ ไม่ว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ล้วนเป็นคนของตระกูลมู่ ไม่สำคัญหรอกว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“นั่นไม่เหมือนกันนะคะ หนูเป็นลูกสะใภ้ของแม่นะ หลงเซียวเป็นลูกคนเดียวของตระกูลมู่ หนูต้องมีลูกชายให้ตระกูลมู่อีกค่ะ หนูรู้ว่าผู้ชายผู้หญิงก็เหมือนกัน แต่หวังว่าครอบครัวเราจะมีลูกชาย ต่อไปโตขึ้น จะได้เหมือนพ่อ ดูแลปกป้องตระกูล”
เมื่อพูดแบบนี้ หยวนชูเฟินเองก็หวังว่าอยากให้มีผู้ชายสักคน ต่อไปเธอจะได้บอกกับมู่เส้าเอิน คนสืบเชื้อสายตระกูลมู่คนต่อไป ก็จะแตกกิ่งก้านสาขา
ลั่วลั่วถือว่าเป็นคนช่วยยืดอายุให้เธอ
“ลั่วหาน ตระกูลมู่ของเราทำบุญอะไรไว้ ถึงได้มีลูกสะใภ้แบบหนู แม่ขอบคุณหนูนะ ขอบคุณหนูแทนตระกูลมู่” กระบอกตาหยวนชูเฟินร้อนขึ้น น้ำตาเอ่อคลอ
ลั่วหานยิ้มช่วยเธอเช็ดน้ำตา “แม่คะ ถ้าแม่อยากขอบคุณหนูจริงๆ ก็รีบดีขึ้น ต่อไปช่วยหนูเลี้ยงหลาน หนูคนเดียวจะเลี้ยงสองคนได้ยังไงกัน”
หยวนชูเฟินหัวเราะ “เจ้าเด็กคนนี้ พูดเก่งจริงๆ”
ลั่วหานกอดเธออย่างออดอ้อน “หนูไม่สน ยังไงซะ แม่ต้องช่วยหนูเลี้ยงหลาน หนูจะพึ่งแม่ค่ะ”
หลงเซียว “…”
ความสามารถที่ภรรยาเขาซ่อนเอาไว้ ต้องมีอะไรที่เขายังไม่เคยเจอแน่
หลังเยี่ยมหยวนชูเฟินแล้ว ลั่วหานและหลงเซียวก็ออกมาจากห้องพักผู้ป่วย
“ที่รัก ลาคลอดเถอะ วางงานไว้ก่อน” มาถึงห้องทำงานของลั่วหาน หลงเซียวตั้งใจคุยกับเธอเรื่องการดูแลครรภ์
ลั่วหานวางประวัติคนไข้ลง หยิบหนึ่งเล่มขึ้นมา “คุณชายหลงคะ ฉันท้องที่สองแล้วนะ คุณช่วยอย่าทำให้มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายขนาดนั้นได้ไหมคะ ฉันไม่เป็นอะไรเลยจริงๆนะ เพียงแต่…อยากกินอะไรเปรี้ยวๆก็เท่านั้น”
ลั่วหานส่งสายตาน่ารัก เหมือนหญิงตั้งครรภ์ท้องสองที่ไหน เห็นได้ชัดว่าเป็นยัยจอมซน
หลงเซียวรู้แล้วว่าอะไรที่เรียกว่ายิ่งอยู่ยิ่งเด็ก “ก็ได้ ตามใจคุณ”
ลั่วหานดูประวัติคนไข้ที่ผ่าตัดไปเมื่อวาน พอใจกับฝีมือของหลินซีเหวิน “ช่วงนี้ซีเหวินและหลงเจ๋อไม่มีอะไรใช่ไหมคะ”
เธอถามขึ้นมากะทันหัน หลงเซียวกำลังเล่นกับแบบจำลองหัวใจ และศึกษามันอย่างจริงจัง นี่เป็นแนวทางหลักของภรรยาเขา “ไม่เห็นว่ายังไง น่าจะไม่มีอะไรมั้ง”
ลั่วหานพยักหน้าขึ้นลง “ช่วงนี้ซีเหวินเสนอตัวเข้าเวรล่วงเวลาเองบ่อยๆ ดูเหมือนเธอจะมีความสุข ฉันไม่คิดว่าจะมีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้น”
ไม่ดีเหรอ
หลงเซียววางแบบลง “ตอนนี้คุณสนใจดูแลตัวเองให้ดีก็พอแล้ว เรื่องของคุณอื่น ให้คนอื่นกังวลไป”
ลั่วหานเชิดหน้าขึ้น กะพริบตาปริบๆ “ฉันดูแลตัวเองไม่เป็น ฉันก็ต้องการคนอื่นมาดูแลฉันเหมือนกันนะ”
หลงเซียวโน้มตัวลงมา ขยับเข้าใกล้ริมฝีปากของเธอ ลมหายใจอุ่นร้อนสัมผัสกับลมหายใจของเธอ “คุณคือคนของม ผมจะดูแลคุณ”
“ผม…เหมือนจะมาไม่ถูกเวลา”
ด้านนอก น้ำเสียงของถังจิ้นเหยียนมีความกระดากอายเล็กน้อย
หลงเซียวเองก็ไม่ได้รีบร้อนขยับออก “มีอะไรหรือเปล่า”