ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 1101
บทที่ 1101 ก็จะออดอ้อน
“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ครับ กลับมาแล้วเหรอ?”
เมื่อหลงจื๋อเห็นรถของหลงเซียวเล่นเข้ามาในรีสอร์ท เขาก็วิ่งออกไปพร้อมกับอุ้มชูชูที่ห่อตัวเหมือนกับลูกหมีแพนด้าตัวกลม
ลั่วหานกะพริบตาแล้วพูดว่า “เสี่ยวจื๋อ?มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
หลินซีเหวินลงมาจากรถ เธอมองหลงจื๋อที่สวมชุดลำลองอยู่ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เร็วเหมือนกันนี่คุณ”
เมื่อสักครู่เธอเพิ่งจะส่งแชทไปบอกกับหลงจื๋อว่าคืนนี้จะนั่งรถของพี่ชายกลับมา เขาจึงพูดขึ้นว่า “งั้นก็ไปด้วยกันสิ ข้าวเย็นก็จัดการที่บ้านพี่ชายได้เลย”
เขาช่าง……ให้ความร่วมมือดีจริงๆ
หลงจื๋อขยิบตาไปให้หลินซีเหวิน ก่อนจะยิ้มแล้วตอบลั่วหานว่า “พี่สะใภ้ครับ พอดีผมได้กลิ่นอาหารหอมๆมันโชยมาจากทางบ้านของพี่ มันหอมมากจริงๆ ผมก็เลยมาตามกลิ่นนี่แหละครับ”
ลั่วหานหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “จมูกดีจริงๆเรา เกิดปีจอหรือยังไง?”
“ผมเกิดปีภรรยาครับ” หลงจื๋อหัวเราะพูดออกมาด้วยความสนุกสนาน
หลินซีเหวินส่งเสียงเชอะออกมาแล้วพูดว่า “สมองของคนถูกสุนัขกินไปหมดแล้วหรือไงคะ? ไม่รู้ว่าคุณกำลังชมหรือว่าด่าฉันอยู่กันแน่!”
“แน่นอนว่าชมสิครับ ภรรยาของผมทั้งสวยและน่ารักที่สุดในโลกแล้ว” เนื่องจากหลงจื๋อกำลังอุ้มชูชูอยู่ จึงไม่สะดวกที่จะแสดงความรักออกมาเต็มที่ เขาทำได้เพียงส่งสายตาอันหวานชื่นออกไป
หลินซีเหวินรีบผลักเขาเดินเข้าประตูไปแล้วพูดว่า “เอาล่ะพอแล้ว อายคนอื่นเขา”
เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินเข้าไปในบ้าน ลั่วหานและหลงเซียวก็หันมาสบตากันแล้วยิ้มขึ้น ตั้งแต่พวกเขาทั้งสองคนย้ายเข้ามาในรีสอร์ทหยีจิ่ง แทบจะทุกเย็นที่พวกเขามากินอาหารที่นี่
ตอนที่หลินซีเหวินทำโอที หลงจื๋อก็จะพูดว่า “พี่ครับ วันนี้ผมกินข้าวคนเดียวเหงาจังเลย มากินบ้านพี่สนุกกว่า”
หรือบางทีก็จะเข้ามากอดแขนของหลงเซียวเอาไว้พูดด้วยท่าทางน่าสงสารว่า “พี่ พี่ทำใจเห็นผมนั่งกินกับข้าวจืดชืดอยู่ที่บ้านคนเดียวได้เหรอ?ผมเป็นน้องพี่นะ พี่พาผมไปกินด้วยคนสิ ครั้งหน้าผมจะซื้อวัตถุดิบในการทำอาหารกลับมาให้ รับรองว่าผมไม่กินฟรีแน่นอน ผมจะช่วยพี่เลี้ยงลูกนะ!”
เวลาที่หลินซีเหวินไม่ได้ทำโอที หลงจื๋อและหลินซีเหวินก็จะมาพร้อมกันแล้วพูดขึ้นอย่างสง่าผ่าเผยว่า “พี่ นานๆทีแฟนผมจะไม่ทำโอที วันนี้พวกเราทุกคนมาพร้อมหน้ากันกินข้าวร่วมกันดีกว่า ผมนำไวน์มาด้วยนะ จะได้สนุกสนานกัน!”
หรืออาจจะ “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ครับ ว่ากันว่าญาติห่างๆยังไม่มีประโยชน์เท่ากับเพื่อนข้างบ้าน พวกเราทั้งเป็นญาติกันและเป็นเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง ฮ่าๆๆ จะให้แยกกันกินข้าวมันก็ไร้เหตุผลไปหน่อยนะ”
เหตุผลอะไรกันล่ะ?สรุปแล้วก็คือ นับตั้งแต่หลงจื๋อย้ายบ้านมาจนถึงปัจจุบัน ทุกคืนพวกเขาจะมากินข้าวเย็นที่บ้านหลงเซียว บางคืนที่พวกเขาดื่มไวน์กันก็นอนอยู่ในห้องรับแขกของบ้านหลงเซียว
ด้วยเหตุผลที่ว่า “ผมดื่มเหล้าขับรถไม่ได้”
หลงเซียวไม่อยากจะไปจู้จี้จุกจิกกับเขามาก
ขับรถไม่ได้ก็ถือว่าเป็นเหตุผลอย่างนั้นเหรอ? ในเมื่อเขาพูดมันออกมาได้ จะให้ปฏิเสธว่ายังไงล่ะ?
เมื่อพวกเขาทุกคนเข้าไปด้านในแล้ว ห้องรับแขกก็เริ่มครึกครื้นขึ้นมา หลินซีเหวินและหลงจื๋อพากันเข้ามาอุ้มและสอนให้ชูชูเรียกพวกเขาว่า คุณน้า คุณอา แต่ชูชูดูจะไม่ให้ความร่วมมือ
หม่ามี๊กับแด๊ดดี๊ยิ่งพูดยิ่งชัด อีกทั้งยังสามารถพูดคำว่าย่าได้ แต่ทำไมถึงพูดคำว่าอาไม่เป็นกัน?
ลั่วหานสงสัยว่าเจ้าหนูน้อยจะตั้งใจเพื่อไม่ต้องการให้หลงจื๋อยืดอกภูมิใจ
หลงเซียวไปยังห้องหนังสือ เมื่อตอนเดินออกมาเขาพบเข้ากับลั่วหาน
“ในเมื่อหลงจื๋อและหลินซีเหวินชอบเด็กขนาดนั้นก็น่าจะมีเองสักคนสักทีนะคะ” ลั่วหานเบ้ปากพูด ทุกครั้งที่เธอกลับมาถึงบ้านเจ้าตัวเล็กก็จะถูกคนอื่นอุ้มอยู่เสมอ แม้แต่โอกาสที่เธอจะอุ้มได้ยังไม่มี
หลงเซียวหัวเราะเบาๆแล้วพูดว่า “เรื่องมีลูกไม่ใช่แค่พูดก็จะมีได้ ต้องอาศัยความสามารถด้วยนะ”
สีหน้าของลั่วหานเปลี่ยนไปทันที “คุณหมายความว่ายังไงกัน?”
หลงเซียวเอื้อมมือไปกุมมือของเธอขึ้นมาแล้วพูดว่า “หรือจะให้ผมสอนเทคนิคเสี่ยวจื๋อสักหน่อย ช่วยเขาหน่อยเป็นไง?”
ลั่วหานใช้ศอกกระทุ้งเอวของเขาอย่างแรง “คุณลองดูสิ!”
หลงเซียวยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
อาหารค่ำอันหรูหรา พ่อครัวได้เตรียมอาหารสำหรับสี่คนเอาไว้ รสชาติอาหารถูกปากพวกเขาทั้งสี่คน เมื่ออาหารทุกจานถูกวางอยู่ตรงหน้าก็มีความรู้เหมือนอยู่ที่บ้านขึ้นมาทันใด
ชามและตะเกียบทั้งสี่คู่เริ่มลงมือ ไอร้อนลอยขึ้นมาจากถ้วยของพวกเขา ด้านนอกหน้าต่างมีหิมะเริ่มโปรยปรายลงมาราวกับเป็นค่ำคืนฉลองครอบครัวแห่งวันคริสต์มาส
หลงจื๋อคีบหัวสิงห์ซอสน้ำแดงไปใส่ไว้ในจานของหลินซีเหวิน พูดว่า “พ่อครัวที่บ้านของพี่ทำอร่อยมากนะครับ ครั้งที่แล้วผมเคยได้ลิ้มลองมา คุณลองชิมดูสิ”
หัวสิงห์ซอสน้ำแดงนี้มีทั้งหมดสี่ชิ้น ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่พอดีคำ แต่ละชิ้นใช้หมูสับที่จงใจทำอย่างประณีต เนื่องจากเนื้อทุกอย่างในบ้านเขาได้ส่งตรงมาจากทวีปออสเตรเลียโดยเฉพาะ จึงรับประกันเรื่องของความสดใหม่ อีกทั้งยังมีคุณค่าทางโภชนาการเป็นพิเศษ อร่อยกว่าเนื้อตามท้องตลาดทั่วไป
หลินซีเหวินเองก็เป็นคนที่บริโภคแต่อาหารเลิศรสจนเคยชิน วัตถุดิบที่ใช้ประกอบอาหารในบ้านของเธอ ล้วนแต่เป็นวัตถุดิบชั้นเลิศ แต่การที่ได้กินข้าวในบ้านพี่ชายนั้น ทำให้มีบรรยากาศครึกครื้นและอารมณ์ก็ดีตามไปด้วย ทำให้รสชาติของอาหารเพิ่มขึ้นทวีคูณ “อืม อร่อยจริงๆด้วยค่ะ ไม่มันแล้วก็ไม่เละด้วยกำลังพอดีเลย”
“ใช่ไหมล่ะครับ กินเยอะๆนะครับ”
เมื่อหลงจื๋อเห็นว่าเธอกินได้อย่างมีความสุข เขาก็ตัดใส่จานเธออีกชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็คีบอีกชิ้นหนึ่งใส่ปากของตัวเองไป
ทำให้ในจานเหลืออยู่เพียงแค่ชิ้นเดียว
หลงเซียวเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เสี่ยวจื๋อ!”
หลงจื๋อที่กำลังกินอย่างมีความสุขเงยหน้าถามอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ว่า “อะไรเหรอครับพี่?”
หลงเซียวชี้ไปในจานหัวสิงห์ซอสน้ำแดง “แกว่าไงล่ะ?”
หลงจื๋อพูดออกมาไม่ชัด เนื่องจากในเขาเคี้ยวเนื้ออยู่ “พี่ไม่กินแล้วเหรอครับ? พี่ให้ผมเหรอ? ขอบคุณนะ”
ลั่วหานจึงได้พูดออกมาว่า “ถ้าชอบก็กินให้หมดเถอะ”
“จริงเหรอครับ!ขอบคุณครับพี่สะใภ้”
หลงจื๋อยื่นมือออกไปด้วยท่าทางไม่เกรงใจจริงๆ แต่ว่ายังไม่ทันไรก็ถูกตะเกียบของหลงเซียวเข้ามากันเอาไว้
หลงจื๋อเหล่ตามองดูเขาแล้วพูดว่า “พี่ให้ผมกินไม่ใช่เหรอ?”
หลงเซียวจ้องเขาตาเขม็งแล้วคีบหัวสิงห์ซอสน้ำแดงขึ้นมา น้ำลงไปคลุกกับน้ำซุป จากนั้นวางลงในจานของลั่วหาน
ลั่วหานมองไปยังหัวสิงห์ซอสน้ำแดงลูกนี้ แล้วก็หันไปมองแววตาอันเปี่ยมไปด้วยความรักของหลงเซียวก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่นว่า “ขอบคุณค่ะที่รัก”
หลงจื๋อกลืนอาหารลงคอไปแล้วพูดออกมาด้วยความตกตะลึงว่า“พี่สะใภ้พี่ก็ชอบกินหัวสิงห์ซอสน้ำแดงเหมือนกันเหรอครับ ทำไมพี่ไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะ ฮ่าๆๆ”
“ในสายตาเรานอกจากคุณหมอหลินแล้ว ก็มองไม่เห็นคนอื่นหรอก”
“เหอะๆๆ ไม่เท่าไหร่หรอกครับ”
หลินซีเหวินกินหมดไปลูกหนึ่ง อีกลูกหนึ่งเธอยังไม่ได้นำใส่ปาก เธอทำท่าทางน่ารักแล้วพูดขึ้นว่า “พี่คะ พี่ชอบกินหรือเปล่า พี่ชอบกินก็เอาอันนี้ไปเถอะค่ะ ฉันยังไม่ได้กินเลย”
หลงเซียว “……”
“ฮ่าๆๆ คุณกินไปเถอะครับ พี่ชายผมเขาไม่กินหรอก ถ้าไม่ใช่ของพี่สะใภ้น่ะ” หลงจื๋อมองออกถึงสถานการณ์นี้ดี เขานำมือตบลงไปที่หน้าขาอย่างสะใจ
หลินซีเหวินก้าวขาไปถีบเขาแล้วพูดว่า “ทำไมคุณไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะ!”
“ถ้าผมบอกแล้วคุณจะกล้ากินเหรอ ทั้งหมดมีแค่สี่ลูกเอง ถ้าพวกเขากินแล้วคุณจะทำยังไงล่ะ?” เขาจะทำอย่างนั้นกับภรรยาของตัวเองได้ยังไงในเมื่อเธอชอบกินเขาก็จะให้เธอกินมากกว่าเดิม
อีกทั้งตัวเขาเองก็ชอบกินเหมือนกัน เหอะๆ พี่ชายอาจจะน่าสงสารไปสักหน่อย แต่เขาก็รู้ดีว่าพี่เขาจะต้องยอมให้เขาอย่างแน่นอน
การที่เขาทำตัวเป็นเด็กๆออดอ้อนพี่ชายแบบนี้ มันช่างมีความสุขจริงๆ
หลงเซียวหันทิศทางของตะเกียบไปยังปลาแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ชอบก็กินเยอะๆนะ”
หลงจื๋อหรี่ตาลงแล้วพูดว่า “เห็นไหมล่ะ ผมบอกแล้วว่าพี่ชายผมรักจะตาย”
ต่อจากนั้น หลงเซียวก็คีบปลิงทะเลเข้าไปใส่ไว้ในจานของหลงจื๋อพูดว่า “แกเองก็ควรจะกินเยอะๆ เสริมพลังสักหน่อย”
ลั่วหานนึกถึงคำว่า “ความสามารถ” ที่เขาพูดเมื่อสักครู่ก็หัวเราะออกมาไม่หยุด
หลงจื๋อกระแอมออกมา 2-3 ที “เอ่อ……ขอบคุณครับพี่”
หลินซีเหวิน “…..”
เธอควรจะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินดีกว่า
ลั่วหานกัดหัวสิงห์ซอสน้ำแดงเข้าไปคำหนึ่ง อาหารเลิศรสยังคงเป็นรสชาติที่คุ้นเคย ไม่ได้กินมาพักหนึ่งแล้วเมื่อได้กินอีกครั้งก็ยังรู้สึกถึงความแปลกใหม่
“งานเลี้ยงประจำปีของ MBK ในปีนี้ เชิญชวนแพทย์เข้าร่วมด้วยเหรอคะ?” ลั่วหานถามหลงเซียวขึ้นมาระหว่างกินข้าว
“ใช่ครับ เชิญมาเข้าร่วมด้วยกัน เนื่องจากสถานที่ในปีนี้ค่อนข้างกว้างขวาง เราจัดให้ทางโรงพยาบาลหวาเซี่ยไว้เป็นพิเศษ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเข้าร่วมได้” หลงเซียวพูดพลางเคี้ยวเนื้อปลาในปาก
หลงจื๋อให้ความสนใจขึ้นมาทันที “ใช่ครับๆ พี่สะใภ้ พี่ยังไม่รู้ใช่ไหมว่าปีนี้พี่ใหญ่ผมจะขึ้นไปแสดงบนเวทีของงานประจำปีด้วยล่ะ ฮ่าๆๆ!”
ลั่วหานแทบจะสำลัก “คุณจะขึ้นไปแสดงงั้นเหรอคะ?”
หลงเซียวกลบเกลื่อนด้วยการกระแอม “……ก็ยังไม่แน่”
“ยังไม่แน่เหรอพี่? ผมได้ยินมานะ บริษัท MBK ใหญ่โตขนาดไหน ตอนนี้ทุกคนกำลังคุยกันเรื่องนี้ระเบิด ไม่รู้หรือไง?” หลงจื๋อกลัวว่าจะครึกครื้นไม่พอเขาจึงได้พูดเสริมขึ้นไปอีก
หลงเซียวเอาตะเกียบไปเคาะที่จานของเขาแล้วพูดว่า “กินเยอะขนาดนี้ยังอุดปากไม่อยู่อีกหรือไง?”
หลงจื๋อหัวเราะหึๆอย่างรู้ดี “ครับๆ กินข้าวๆ”
ลั่วหานมองไปยังหลงเซียว ในใจของเธอแอบคิดถึงว่าเขาจะขึ้นไปแสดงอย่างนั้นเหรอ?
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แค่ชั่วพริบตาก็มาถึงงานเลี้ยงประจำปีของบริษัท
งานเลี้ยงประจำปีนี้จัดขึ้นในตอนกลางคืน ตอนกลางวันนั้นลั่วหานและหลินซีเหวินล้วนทำงาน ลั่วหานต้องออกตรวจ ส่วนหลินซีเหวินมีเคสผ่าตัด 1 เคส
มีการจำกัดจำนวนคนในการเข้าตรวจสำหรับแพทย์เฉพาะทาง ดังนั้นตอน 11:00 น ลั่วหานก็ตรวจเสร็จสิ้นแล้ว
ถังจิ้นเหยียนเข้ามาเคาะประตูห้องตรวจของเธอเมื่อตอนที่ผู้ป่วยคนสุดท้ายจากไป
ลั่วหานคิดว่าเป็นผู้ป่วยที่เพิ่มเข้ามาจึงได้ก้มหน้ามองดูประวัติคนไข้แล้วถามว่า “หมายเลขที่เท่าไหร่คะ?”
ถังจิ้นเหยียนนั่งลงอย่างเป็นกันเองแล้วถามว่า “ผมมาที่นี่ต้องรับบัตรคิวด้วยเหรอครับ?”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นเคยจากเขา ลั่วหานถึงได้เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “อ้าว!มาได้ยังไงคะเนี่ย”
ถังจิ้นเหยียนโยนหมายเลขบัตรคิวที่ผู้ป่วยวางทิ้งเอาไว้ลงไปในถังขยะแล้วพูดว่า “คุณตั้งครรภ์ยังออกตรวจอีก จริงจังเกินไปหรือเปล่า?”
ที่จริงลั่วหานก็ไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไร เธอไม่ได้ระมัดระวังไปทุกฝีก้าวเหมือนตอนท้องชูชู “สตรีตั้งครรภ์อย่างฉันไม่สามารถไปเล่นลิ้นต่อกลอนกับคุณได้หรอกค่ะ บอกมาเถอะว่ามาหาฉันเรื่องอะไร?”
“งานเลี้ยงประจำปีของบริษัทคืนนี้ไม่จำเป็นต้องพาพาร์ทเนอร์ไปด้วยใช่ไหม?” ถังจิ้นเหยียนยิ้มขึ้น รอยยิ้มของเขายังคงอบอุ่นเหมือนแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ
“เหมือนไม่ได้มีข้อกำหนดตรงนี้นะคะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ต่อให้ต้องมีพาร์ทเนอร์ด้วย คุณก็ไม่เห็นต้องกังวลนี่คะ มีคุณตำรวจเจิ้งอยู่ทั้งคน” ลั่วหานปิดแฟ้มประวัติผู้ป่วย
“เธอ……ยังอยู่ที่อิตาลียังไม่กลับมา” สายตาของถังจิ้นเหยียนรู้สึกโศกเศร้าเล็กน้อย เขาคล้ายกับมีความกังวล
“ยังไม่กลับมาเหรอคะ?เกิดอะไรขึ้นกัน?”
ลั่วหานจำได้ว่าน่าจะเป็นเวลายี่สิบกว่าวันแล้ว ทำไมเธอยังไม่กลับมาอีก?อีกทั้งหลังจากนั้นหลงเซียวก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องความเคลื่อนไหวในอิตาลีเลย
ถังจิ้นเหยียนพูดเพียง “อืม” อยู่ในลำคอ “ตอนแรกที่ไปเธอก็จะโทรศัพท์มาหาผมทุกวันแล้วก็ส่งข้อความด้วย เมื่อวันก่อน จู่ๆก็บอกผมว่ามีภารกิจพิเศษ ไม่สะดวกติดต่อกับโลกภายนอก แถมบอกผมว่าไม่ต้องเป็นห่วง แล้วเธอก็ไม่ได้บอกว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ แต่ผมก็ยังไม่วางใจอยู่ดีผมรู้สึกว่าอาจจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นได้”
ในที่สุดลั่วหานก็เข้าใจวัตถุประสงค์ที่เขาเดินทางมาวันนี้ “คุณอยากให้ฉันลองถามสถานการณ์กับหลงเซียวดูใช่ไหมคะ?”
ถังจิ้นเหยียนลังเลอยู่สักครู่ เขารู้ว่าบางทีข้อมูลนี้อาจจะไม่สะดวกเปิดเผย “……ถ้าหากเป็นไปได้……ผมอยากจะรู้สถานการณ์ล่าสุดของเจิ้งซิ่วหยา”
“เอาอย่างนี้ไหมคะ คืนนี้พวกเราไปเจอกันที่งานเลี้ยงของบริษัท หลังจากที่งานเลี้ยงสิ้นสุดแล้วฉันจะพูดกับเขาเอง แล้วถึงเวลาคุณอยากรู้อะไรก็ให้ถามเขา” ในใจของลั่วหานราวกับมีหินถ่วงลงสู่ก้นบึ้ง เธอเองก็นิ่งเงียบไปสักพัก นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก
“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นเจอกันคืนนี้”
“ค่ะ ปล่อยวางหน่อย บางทีคุณอาจจะคิดมากไปเอง”